“ถูกใครบางคนขัดขวางกลางคัน?” มันพึมพำโดยไม่หยุดก้าวเดิน พลางนำทางทุกคนมาถึงบานประตูหินซึ่งพาไปสู่ด้านในตัวอาคาร
เมื่อประตูถูกเลื่อนเปิดจนสุด บรรยากาศด้านในมีเพียงความมืดสนิทเข้มข้น
นักบุญแอนโทนีเดินนำเหยี่ยวราตรีเข้าไปสำรวจด้านใน
ตลอดทาง พวกมันไม่พบองครักษ์หรือสิ่งของมีค่าแม้แต่ชิ้นเดียว ราวกับถูกเก็บกวาดอย่างหมดจดก่อนหลบหนีไป
จนกระทั่งมาถึงห้องด้านในสุด แต่ก็ไม่พบสิ่งใดหลงเหลือนอกจากเสาหินต้นใหญ่ ไม่มีประตูแสงสีฟ้าซึ่งไคลน์เคยใช้ผ่านเข้ามา
ทันใดนั้น ตะเกียงในมือเหยี่ยวราตรีพลันอับแสง ความดำมืดอันบริสุทธิ์เข้าครอบงำบรรยากาศรอบห้องเป็นเวลานาน
จนกระทั่งความสว่างกลับคืนสู่สภาพเดิม สมาชิกในทีมเริ่มสังเกตเห็นว่าผนังห้องถูกพลังบางอย่างละลายกลายเป็นของเหลว
แต่หลังจากค้นหาอย่างละเอียดก็ไม่พบประตูลับหรืออุโมงค์พิเศษซ่อนอยู่ หลังกำแพงมีเพียงโคลนเหนียวข้นหรือไม่ก็หินก้อนใหญ่
นักบุญแอนโทนีเงียบงันหลายสิบวินาทีก่อนจะออกคำสั่ง
“ทดสอบแกะรอยด้วยพลังทำนาย กระจายตัวค้นหาในบริเวณใกล้เคียง”
…
ฮัดเช่ย!
หลังจากวิ่งผ่านหน้าผาและผืนป่าหนาทึบตลอดทาง ไคลน์เริ่มหดหู่เมื่อตระหนักว่าตนเริ่มประสบอาการป่วยไข้
ด้วยผลข้างเคียงจากพลังพิเศษของมิสเตอร์ A ผนวกเข้ากับการแช่น้ำเป็นเวลานานในฤดูหนาว ไคลน์จึงเลี่ยงการป่วยเป็นหวัดไม่ได้
อย่างไรก็ตาม มันไม่กล้าแวะเก็บกิ่งไม้แห้งข้างทางขึ้นมาจุดไฟเพื่อให้ความอบอุ่น เหตุเพราะกังวลว่า ตนอาจยังถูกหน่วยพิเศษของโบสถ์ไล่ตามมาจากด้านหลัง
จริงอยู่ มันถูกรับรองโดยไอคานส์·เบอร์นาร์ดจากจิตแห่งจักรกลให้กลายเป็นผู้วิเศษกึ่งทางการ แต่เรื่องราวในปัจจุบันค่อนข้างพิเศษ เกี่ยวพันกับการคืนชีพของแม่มดบรรพกาลและพระผู้สร้างแท้จริง คดีจึงถูกจัดลำดับความสำคัญไว้สูงสุด มันคงไม่แคล้วถูกสอบสวนเป็นเวลานาน ต้องไปนั่งดื่มชากับจิตแห่งจักรกล ทูตพิพากษา และเหยี่ยวราตรีพร้อมกับเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าจะด้วยไม้อ่อนหรือไม่แข็ง
ขั้นตอนดังกล่าวรังแต่จะสร้างปัญหาใหญ่
หนึ่ง ปัญหาเรื่อง ไคลน์·โมเร็ตติเคยเป็นเหยี่ยวราตรีของเมืองทิงเก็นมาก่อน จริงอยู่ นักสืบเชอร์ล็อกอาจมีใบหน้าแตกต่างจาก ‘วีรบุรุษแห่งทิงเก็น’ ค่อนข้างมาก แทบไม่มีจุดใดเหมือนกันเลยในเชิงภาพถ่าย แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่วางใจ ถ้าเกิดให้คนใกล้ตัวมาเทียบเคียง ผนวกกับความเหมือนกันของเส้นทางนักทำนาย ความลับของตนอาจก็ถูกเปิดเผย
สอง เนื่องจากครอบครองเส้นทางใกล้เคียงกัน โบสถ์รัตติกาลจึงไม่เป็นมิตรกับผู้มีความสัมพันธ์กับเทพมรณาสักเท่าไร ย้อนกลับไปในยุคแห่งความไร้ชีวิตชีวาในช่วงปลายยุคสมัยที่สี่ เทพมรณาได้ร่วงหล่นด้วยความร่วมมือจากเหล่าเทพจารีตทั้งหมดบนทวีปเหนือ
แต่นักสืบเชอร์ล็อกกลับสามารถ ‘อัญเชิญ’ ทายาทเทพมรณาสุดแข็งแกร่งได้ในช่วงเวลาวิกฤติ ปัญหาข้อนี้คงหาคำอธิบายได้ไม่ง่ายนัก
เสาหลักของโบสถ์สักแห่งคนนั้น หลังจาก ‘ลบ’ มิสเตอร์ A เสร็จ เธอคงมีภารกิจต้องไปจัดการกับอินซ์·แซงวิลล์ต่อ จึงไม่ต้องการเสียเวลากับมดปลวกอย่างเรานาน…
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังประมาทไม่ได้ ต้องรีบหนีขณะยังมีโอกาสให้หนี!
ใช่แล้ว เราจะเขียนจดหมายหาจิตแห่งจักรกลเมื่อมีโอกาส อธิบายว่าทำไมถึงเดินได้ทางออกจากเบ็คลันด์ชั่วคราว ด้วยวิธีนี้ เรายังกลับมาทำงานร่วมกับพวกเขาได้ในฐานะสายข่าว แต่ก่อนจะเริ่มเขียนจดหมาย คงต้องขอจับตามองพวกเขาไปอีกสักระยะ เพื่อประเมินว่ามีพฤติกรรมรังเกียจทายาทเทพมรณามากน้อยแค่ไหน…
แล้วตอนนี้มิสเตอร์อะซิกกำลังทำอะไรอยู่…
ฮะฮะ… บางที เชอร์ล็อก·โมเรียตี้อาจถูกหน่วยพิเศษของทางการจำหน่ายให้เป็นคนตายไปแล้วก็ได้…
ชะตากรรมมิได้ต่างจากตัวจริงเลยสักนิด…
ไคลน์รีบเคลื่อนตัวออกมาให้ไกลจากอาคารซึ่งถูกใช้เป็นแท่นบูชา จนกระทั่งได้พบเมืองเล็กซึ่งสามารถปะปนไปกับผู้คนเพื่อใช้เป็นจุดหลบภัยจนกว่าจะหายไข้
มีเพียงในสังคมมนุษย์เท่านั้น ผู้ไร้หน้าจึงจะแสดงพลังได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ!
ผู้หญิงชุดคลุมขาวคนนั้น หากเดาไม่ผิดคงเป็นแม่มด เธอบอกให้มิสเตอร์ A ส่งตนไปยังเขตตะวันออก…
เมื่อประเมินจากความชั่วร้ายและอารมณ์ด้านลบของพิธีกรรม เขตดังกล่าวจะต้องมีคนสังเวยชีวิตไปมากทีเดียว…
ด้วยสัญชาตญาณของนักทำนาย หัวใจชายหนุ่มเริ่มปวดแปลบ
ทันใดนั้น ทิวทัศน์รอบตัวพลันแปรเปลี่ยนให้มีลักษณะอึมครึม สีแดงยิ่งแดงสด สีขาวสิ่งเจิดจ้า และสีดำยิ่งดำสนิท คล้ายกับดวงตาของมันถูกฉาบด้วยสีน้ำมันกะทันหัน
เหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ เมื่อได้สติกลับมาอีกครั้ง ไคลน์รีบมองไปรอบตัวและพบว่า ตนมิได้อยู่ในจุดซ่อนตัวภายในเมืองเล็ก
ด้านข้างคืออะซิก·อายเกสผู้กำลังจ้องมองด้วยสายตาอ่อนโยน
“มิสเตอร์อะซิก…! คุณบาดเจ็บรึเปล่า?”
ไคลน์ซักถามด้วยสีหน้าโล่งใจ
“ก็มีบ้าง” อะซิกตอบเถรตรง “แต่ด้วยพลังของอมรณา บาดแผลแค่จึงนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โต”
ไคลน์พยายามสงบสติ
“เกิดอะไรขึ้นกับอินซ์·แซงวิลล์และ 0-08 บ้างครับ?”
“อินซ์·แซงวิลล์ยังมีชีวิตอยู่ มันยังคงเป็นเจ้าของ 0-08 ตามเดิม” อะซิกกล่าวขณะเดิน
ไคลน์เดิมตามพลางถอนหายใจยาว
“น่าเสียดาย…”
“คุณไม่ต้องกังวล ชายคนนั้นได้รับบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส” อะซิกเล่าเสียงขรึม “และเหนือสิ่งอื่นใด พวกเราทราบแล้วว่า มันลอบสมคบคิดกระทำบางสิ่งกับราชวงศ์ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะหามันไม่พบในอนาคต
“ด้วยเหตุนี้ คุณสามารถมีสมาธิกับการพัฒนาตัวเองได้โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ส่วนผมจะเดินทางไปยังดินแดนบางแห่งภายในความทรงจำ บางที อาจได้รับอดีตกลับคืนมาเพิ่มเติม… หึหึ นับว่าคุณยังมีโชค ในช่วงก่อนหน้านี้ ผมแอบจับตามองพฤติกรรมของ MI9 กับทางราชวงศ์มาตลอด เพื่อสังเกตว่าอินซ์·แซงวิลล์กำลังวางแผนใดร่วมกับราชวงศ์ และเมื่อพบว่าคฤหาสน์กุหลาบแดงคือจุดยุทธศาสตร์สำคัญของพวกมัน ผมจึงแฝงตัวในบริเวณดังกล่าวบ่อยครั้ง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางโผล่ออกไปช่วยคุณได้ทันเวลา”
ไคลน์พลันหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อได้ยินความจริงอันน่าตกตะลึง
“มิสเตอร์อะซิก แล้วคุณไม่สงสัยบ้างหรือ ว่าทำไมผมถึงยังรอดชีวิตมาจากเหตุการณ์ในเมืองทิงเก็น”
“ไม่เลย เพราะตัวผมเองก็เคยตื่นขึ้นมาบ่อยครั้งหลังจากนอนในโลงศพ นี่คือส่วนหนึ่งของความทรงจำซึ่งผมทวงคืนกลับมาได้”
อะซิกเล่าพลางยิ้ม ปราศจากการปิดบัง
“ในความทรงจำไม่สมบูรณ์ของผม ถึงแม้การคืนชีพหลังความตายจะไม่ใช่เหตุการณ์ปรกติ แต่ก็สามารถพบเห็นได้เป็นครั้งคราว”
เขามักตื่นขึ้นมาหลังจากนอนในโลงศพบ่อยครั้ง…?
บ่อยครั้ง…?
ไคลน์เริ่มผ่อนคลายเมื่อทราบว่า ในสายตาบุคคลทรงพลัง ความกังวลใจตนไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเลยสักนิด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ