หลังจากเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าแห้งและสะอาดสะอ้าน ไคลน์บรรจงวางธนบัตรเปียกเรียงรายบนโต๊ะทีละใบ รอให้พวกมันแห้งตามกระบวนการธรรมชาติด้วยอุณหภูมิห้อง
ขณะตั้งใจเรียง มันขยับปลายนิ้วอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ กระทั่งการจามหรือไอซึ่งยังป่วยค้างคาก็ยังถูกฝืนข่มไว้
เพื่อมิให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ไคลน์ตัดสินใจไม่ใช้พลังควบคุมไฟกับธนบัตรแสนมีค่า
หลังจากจัดการตาก มันเดินตรงไปยังมุมห้องของโรงแรม ณ ตรงนั้นมีกระจกเงาเต็มบานแผ่นใหญ่
เส้นผมสีดำเงางามของไคลน์ถูกหวีเรียบ ชายหนุ่มมีดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าผอมเพรียว และปลางคางเรียวแหลม
สวมแว่นตากรอบทองภูมิฐาน รอบริมฝีปากปราศจากหนวดเครา ใบหน้าค่อนไปทางอ่อนเยาว์แต่ไม่อ่อนต่อโลก
รูปลักษณ์ในปัจจุบันถูกดัดแปลงมาจากใบหน้าเดิมของโจวหมิงรุ่ย แต่ยังเจือกลิ่นอายของชาวทวีปเหนือไว้เพื่อมิให้ผิดแผก
มันเลือกใช้ใบหน้ากระฉับกระเฉงสมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย มิใช่ใบหน้าอวบอูมหลังจากเข้าสังคมการทำงาน
ไคลน์เตรียมกลับไปยังเบ็คลันด์หลังจากเหตุการณ์ความวุ่นวายเริ่มซาลง จุดประสงค์เพื่อจัดหาเอกสารยืนยันตัวตนให้กับรูปโฉมใหม่ในปัจจุบัน
เทียบกับสมัยทิงเก็น มันมิได้ขาดแคลนช่องทางค้าขายเหมือนกับในอดีต ปัจจุบันมีทั้งเด็กหนุ่มเอียนจากผับวีรบุรุษ มาดามชารอนกับชุมนุมลับของเธอ รวมไปถึงยอดนักสืบไอเซนการ์ด·สแตนธอนผู้เป็นเจ้าของชุมนุมลับเสียเอง
คิดถึงจังแฮะ…
ไคลน์จ้องกระจกพลางพึมพำ ก่อนจะลงมือประกอบพิธีกรรมภายในห้องซึ่งม่านถูกขึงมิดชิดรอบด้าน อันดับแรก มันต้องการส่ง ‘ยุบพองหิวโหย’ ขึ้นไปบนมิติสายหมอกเทาเพื่อศึกษาข้อดีข้อเสียอย่างละเอียด
ท่ามกลางวังโบราณบรรยากาศเงียบเชียบ ไคลน์ปรากฏตัวบนเก้าอี้มุมโต๊ะทองแดงยาว แผ่นหลังเอนพิงพนักพลางถือถุงมือบางเฉียบซึ่งถูกสร้างจากผิวหนังของมนุษย์
โดยไม่รีรอ มันหลับตาลงและแผ่พลังวิญญาณเข้าไปในวัตถุซึ่งถูกผนึกมาอย่างดี
ไคลน์เริ่มสัมผัสถึงความหิวกระหายราวกับกระเพาะอาหารไม่มีวันถูกเติมเต็มจากถุงมือหนังตรงหน้า แต่คงเป็นเพราะกำลังอยู่บนห้วงมิติเหนือสายหมอก ถุงมือเจ้าปัญหากลับเชื่องจนผิดวิสัย ไม่กล้าปลดปล่อยแม้แต่เศษเสี้ยวของความมุ่งร้าย คล้ายกับหมาล่าเนื้อกำลังนอนหมอบข้างเจ้าของอย่างว่าง่าย
ยิ่งสำรวจ ไคลน์ก็ยิ่งได้ยินเสียงครวญครางอย่างคับแค้นและเจ็บปวดจากภายใน
ทันใดนั้น ทั้งใบหน้าเศร้าโศก ใบหน้าเกลียดชัง และใบหน้าบิดเบี้ยวจำนวนหนึ่งเริ่มปรากฏในนิมิตวิญญาณ ทุกใบหน้ากำลังท่วมท้นไปด้วยกลิ่นอายความบ้าคลั่งและโหยหาเหนือพรรณนา
แต่ละใบหน้าผสานเป็นหนึ่งเดียวกับตะกอนพลังต่างสีสันและต่างสถานะ โดยไม่ว่าไคลน์จะแผ่พลังวิญญาณเข้าไปหาตะกอนพลังชนิดใด มันจะผสานเป็นหนึ่งเดียวกับใบหน้าและมอบพลังพิเศษให้ไคลน์ยืมใช้ชั่วคราว
นี่คือวิธีใช้งาน…?
ไคลน์สำรวจดวงวิญญาณทั้งห้าภายในยุบพองหิวโหยพลางใช้พลังทำนายทดสอบควบคู่ไปด้วย สำหรับดวงวิญญาณเหล่านี้ ตนสามารถ ‘ปล่อยกินหญ้า’ ได้อย่างอิสระของเพียงเพ่งจิตนึกคิด
ดวงแรก ‘ผู้ไร้หน้า’ มีเพียงพลังเปลี่ยนแปลงใบหน้าและร่างกายเล็กน้อย
ดวงสอง ‘นักจิตบำบัด’ สามารถทำให้เป้าหมายบ้าคลั่ง สามารถฝังการชี้นำทางจิตอย่างลับ ๆ ใส่เป้าหมาย และสามารถปลดปล่อย ‘ฤทธิ์มังกร’ สำหรับข่มขู่กลุ่มคนหรือบุคคลให้เกิดความโกลาหลได้
ดวงสาม ‘นักสอบสวน’ ช่วยให้ผู้สวมถุงมือเชี่ยวชาญอาวุธทุกชนิด ชำนาญการใช้ระเบิด มีจิตใจเข้มแข็ง และสามารถเสียดแทงใส่ดวงวิญญาณเป้าหมายได้โดยตรง
ดวงสี่ ‘ฝันร้าย’ มีพลังแค่ชนิดเดียว นั่นคือการดึงเป้าหมายให้ตกอยู่ในภวังค์ความฝันโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพลังมิได้ถูกใช้ผ่านร่างกายผู้สวม แต่เป็นการใช้ผ่านยุบพองหิวโหย ผู้สวมถุงมือจึงยังเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอิสระขณะเหยื่อตกอยู่ในภวังค์
ดวงห้า ‘นักบวชแสง’ มีพลังในการสร้างแสงทรงกลดเพื่อขจัดปัดเป่าสิ่งมีชีวิตประเภทอันเดดหรือชั่วร้ายภายในรัศมีรอบตัว รวมถึงมีทักษะด้านร้องเพลงปลุกใจของนักขับขาน ช่วยให้พวกพ้องแข็งแกร่งขึ้นจากปรกติเล็กน้อย และยังสามารถสร้างแสงศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นรอง ‘ยันต์เพลิงสุริยัน’ เพียงไม่มาก
ยุบพองหิวโหยสามารถกักเก็บวิญญาณได้สูงสุดห้าดวง…
หลังจากกลืนดูดวิญญาณใหญ่เข้าไป การ ‘ปล่อยกินหญ้า’ ครั้งแรกจะสุ่มทักษะออกมาตั้งแต่หนึ่งถึงสามชนิดโดยไม่สามารถเลือกเองได้ และทักษะชุดดังกล่าวจะคงอยู่ถาวรจนกว่าจะปลดปล่อยดวงวิญญาณนั้นให้เป็นอิสระ…
ไคลน์พยักหน้าพลางครุ่นคิด ตามด้วยการถอนหายใจยาวและกล่าวกับดวงวิญญาณอันเจ็บปวดทรมานทั้งห้า
“เราไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะเคยเป็นใครในอดีตมาก่อน เราจะค่อย ๆ มอบอิสระอันเป็นนิรันดรคืนกลับไปให้พวกเจ้าทุกคน และในอนาคต เราขอสัญญาว่าดวงวิญญาณใหม่ซึ่งจะนำมากักขังไว้ในถุงมือ ต้องเป็นดวงวิญญาณของคนชั่วช้าเกินกว่าจะได้รับการอภัยเท่านั้น หลังจากเราฆ่าผู้วิเศษและกักขังมันไว้ภายใน เราจะปล่อยหนึ่งในพวกเจ้าออกไปทีละคนโดยไม่สนว่าพลังนั้นจำเป็นหรือไม่”
เสียงอ่อนโยนแต่แฝงความขึงขังของชายหนุ่มกำลังก้องกังวานท่ามกลางราชวังโบราณ
เพียงพริบตา อารมณ์อาฆาตและเสียงโหยหวนเริ่มบรรเทาอย่างเห็นได้ชัด มิได้พยายามอาละวาดและต่อต้านเหมือนกับช่วงแรก
ฟู่ว!
ถอนหายใจโล่งอก ไคลน์ลืมตาขึ้นพลางใช้นิ้วเคาะโต๊ะทองแดงยาวและพึมพำกับตัวเอง
พลังผู้ไร้หน้าซ้อนทับกับเรา หมายความว่าดวงวิญญาณนี้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง หากเราหาดวงวิญญาณอื่นมาทดแทนได้เมื่อไร คงต้องปล่อยผู้ไร้หน้าออกไปเป็นลำดับแรก
ถ้าวันนั้นมาถึง เราคงต้องหาโอกาสสื่อวิญญาณเพื่อสอบถามข้อมูลเบื้องต้น บางทีอาจได้รับเบาะแสสำคัญของเส้นทางนักทำนาย หรือไม่ก็วิธีการค้นหานางเงือก…
ไม่สิ… เราไม่จำเป็นต้องรอให้ได้ดวงวิญญาณใหม่มาทดแทน สามารถปล่อยออกไปได้ทันที…
ตกลงตามนี้… ในอีกสองสามวันข้างหน้า รอให้อาการหวัดหายขาด เราจะปลดปล่อยผู้ไร้หน้าและทำการสื่อวิญญาณ…
ขณะเดียวกัน ดวงวิญญาณของนักบวชแสงก็สามารถเติมเต็มสูตรโอสถนักบวชแสงอันไม่สมบูรณ์ในมือเราได้พอดิบพอดี… นอกจากนั้น เมื่อดวงวิญญาณสลายตัว เราจะได้รับตะกอนพลังของเส้นทางดังกล่าวมาครอบครอง…
หมายความว่า เดอะซันน้อยไม่ต้องกังวลกับการเลื่อนลำดับอีกต่อไป ดวงวิญญาณของนักบวชแสงจะถูกปล่อยเป็นลำดับสอง…
สำหรับเรา การต้องคอยป้อนเลือดเนื้อและวิญญาณของมนุษย์ให้ยุบพองหิวโหยภายในหนึ่งวันหากมีการนำพลังมาใช้ เรื่องนี้ไม่ค่อยน่ากังวลสักเท่าไร เพราะเราจะไม่ใช่มันในยามปรกติอยู่แล้ว การยืมพลังแต่ละครั้งจะต้องเข้าตาจนอย่างแท้จริง และในสงครามประเภทดังกล่าว ซากศพสังเวยคงมีจำนวนเกลื่อนกลาด…
หรือต่อให้ไม่มีเหยื่อเหมาะสม เราก็แค่โยนยุบพองหิวโหยกลับเข้าไปในมิติสายหมอกโดยไม่ต้องกังวลผลลัพธ์ตามมา มันไม่มีทางกินเราภายในมิติเหนือสายหมอกได้อยู่แล้ว อย่างมากก็คงใช้การไม่ได้ไปสักระยะ…
ไคลน์สลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งพลางใช้สมบัติวิเศษสุดอันตราย ยุบพองหิวโหย เป็นสื่อกลางสำหรับทำนายถามโอสถเส้นทางคนเลี้ยงแกะ
แต่ผลลัพธ์กลับออกมาล้มเหลว
ชายหนุ่มไม่กล้าถามถึง ‘ต้นกำเนิด’ ของถุงมือหนังมนุษย์ข้างนี้ เนื่องจากเกรงว่าตนอาจได้ ‘เห็น’ บุคคลไม่พึงประสงค์เข้า
จริงอยู่ ไคลน์มั่นใจว่าตนไม่มีทางถึงแก่ความตายถ้ามีมิติสายหมอกช่วยแทรกแซงและขัดขวางพลังไว้บางส่วน แต่มันกังวลว่าการทำเช่นนั้นจะส่งผลให้ยุบพองหิวโหยเสียหายหรือถูกปนเปื้อน
ไว้ค่อยทดสอบหลังจากไม่ใช้งานมันแล้ว…
ชายหนุ่มโน้มตัวไปด้านหน้าพลางกดศอกเท้ากับพนักแขน
ไคลน์นั่งทบทวนทุกเหตุการณ์ก่อนหน้าอย่างละเอียด ไม่ปล่อยให้เบาะแสเล็ก ๆ น้อย ๆ รอดพ้นสายตา
ไม่ผิดแน่… หลังจากผิวนอกของมาสเตอร์คีย์ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ ตะกอนพลังของมันจะไม่ปรากฏทันที แต่ถือกำเนิดใหม่เป็นละอองแสงสีขาวระยิบระยับ จากนั้นจึงพยายามรวมตัวเป็นตะกอนพลังชนิดใหม่…
เราสามารถอนุมานได้ว่า ตะกอนพลังใหม่จะไม่มีคำสาปเสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตูแฝงอยู่…
หรือสรุปโดยสั้น วิธีนี้สามารถใช้แยกจิตปนเปื้อนออกจากตะกอนพลังได้เช่นกัน!
แต่ปัญหาคือ ในสถานการณ์ปรกติ ตะกอนพลังแทบไม่มีทางถูกทำลายได้เลย จำเป็นต้องผ่ากระบวนการพิเศษอย่างมาก…
สำหรับในตอนนั้น เราอาศัยความยิ่งใหญ่ของพิธีกรรมขณะมิสเตอร์ A พยายามส่งเทพลงมาจุติบนโลก ผนวกกับอิทธิพลของม่านแสงปริศนาและอารมณ์ด้านลบอันเข้มข้น…
เช่นเดียวกัน หากดวงตาดำล้วนของโรซาโก้แตกละเอียด จิตกัดกร่อนของพระผู้สร้างแท้จริงซึ่งฝังอยู่ภายในก็จะออกมาสัมผัสกับอากาศ แล้วแบบนั้นใครจะทนรับไหว?
หรือเราควรทำบนมิติเหนือสายหมอก?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ