ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ นิยาย บท 482

สรุปบท ราชันเร้นลับ 482: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

สรุปเนื้อหา ราชันเร้นลับ 482 – ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ โดย Internet

บท ราชันเร้นลับ 482 ของ ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ ในหมวดนิยายInternet เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 482 : เก่าไปใหม่มา
ราชันเร้นลับ 482 : เก่าไปใหม่มา
โดย
Ink Stone_Fantasy
31 ธันวาคม ช่วงเช้า

ณ วิหารฤดูเก็บเกี่ยวย่านทิศใต้ของสะพาน

เอ็มลิน·ไวท์กำลังยืนในห้องครัว สวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำตาลของนักบวช

มันโยนสมุนไพรหลากชนิดลงในหม้อต้มใบใหญ่พลางใช้ทัพพีไม้คนกวนเป็นระยะ

หลังดำเนินทุกขั้นตอนเสร็จ แวมไพร์หนุ่มยืนรออย่างใจเย็นจนกระทั่งครบสิบนาทีเต็ม จึงค่อยใช้กระบวยเหล็กตักของเหลวคล้ายหมึกดำออกมาใส่แก้วและขวดแก้วบนถาดด้านข้างลำตัว

สี่สิบแปด สี่สิบเก้า ห้าสิบ…

เอ็มลินชำเลืองหม้อเปล่าพลางนับจำนวนยาวิเศษซึ่งมันเพิ่งปรุงเสร็จ

เมื่อยืนยันปริมาณจนแน่ใจ แวมไพร์หนุ่มยกถาดโลหะแผ่นใหญ่เดินถือเข้าไปในห้องโถง บนถาดมีขวดแก้วบรรจุของเหลวสีดำวางเรียงรายเบียดเสียด

ภายในโถงสวดมนต์ ม้านั่งเกินกว่าครึ่งถูกนำออก บนพื้นเต็มไปด้วยผ้าปูรองนอนสภาพเก่าโทรม บนผืนผ้ามีเหยื่อของโรคระบาดกำลังนอนอย่างแออัด บ้างหลับลึก บ้างครวญครางอย่างเจ็บปวด

เอ็มลินและหลวงพ่อยูทรอฟสกี้กำลังร่วมมือร่วมใจอย่างสามัคคี แยกกันไปแจกจ่ายยาวิเศษปรุงสดใหม่จากปลายแถวทั้งสองฝั่ง

บุคคลแรกในลำดับแถวเป็นชายวัยกลางคนใบหน้าซีดเซียว มันรีบพยุงตัวนั่งอย่างยากลำบาก จากนั้นจึงรับยาและกระดกดื่มทันที

ชายคนเดิมคืนขวดเปล่ากลับมาและกล่าวกับเอ็มลินอย่างสำนึกในบุญคุณ

“หลวงพ่อไวท์ ขอบคุณมากครับ! ร่างกายของผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นอย่างชัดเจน สัมผัสได้ถึงกำลังวังชาและเรี่ยวแรง”

เอ็มลินเชิดปลายคางพอเป็นพิธีพลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงกึ่งเย้ยหยัน

“แค่นี้เรื่องเล็กน้อย ไม่คู่ควรกับคำชมเชยเลยสักนิด พวกคุณก็ทำได้ด้วยตัวเอง แค่ยังขาดโอกาสและความรู้”

พูดจบ เอ็มลินเร่งมือแจกจ่ายยาคนอื่น ๆ

ผ่านไปสิบนาทีหรือราว ๆ นั้น มันเดินกลับมายังแท่นบูชาของพระแม่ธรณีและบ่นกับหลวงพ่อยูทรอฟสกี้อย่างไม่สบอารมณ์

“ทำไมท่านถึงไม่หาอาสาสมัครมาช่วยทำงานอีกสักสองสามคน!”

หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ไม่ตอบโต้ เพียงมองไปทางกลุ่มคนไข้และกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“พวกเขาจะหายเป็นปรกติในอีกสามวัน”

“ท่านทราบได้ยังไง” เอ็มลินประหลาดใจ

บิชอปยูทรอฟสกี้ก้มมองใบหน้าเอ็มลินด้วยสายตากรุณา

“ยาสมุนไพรคือหนึ่งในขอบเขตของพระแม่ธรณี ด้วยฐานะสาวกของพระองค์ ผมย่อมมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับลักษณะพิเศษของพลัง ถึงแม้จะไม่ได้อยู่บนเส้นทางธรณีก็ตาม”

เอ็มลินส่ายหน้า

“ข้าไม่เคยสนใจคำสอนศาสนา”

การคัดลอกพระคัมภีร์ตลอดหนึ่งเดือนเต็มนั้นไม่นับ! เพราะเราถูกสั่งให้ทำ!

เอ็มลินเสริมในใจด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

ก่อนจะกล่าวต่อไป

“หลวงพ่อ ข้าไม่คิดมาก่อนว่าท่านจะรับคนไข้จากศาสนาอื่นมารักษา จากบรรดาผู้ป่วยมากมายของเรา กลับมีสาวกพระแม่ธรณีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น”

ยูทรอฟสกี้เพียงยิ้ม ไม่ถือสา

“ทุกคนคือหนึ่งชีวิตเท่าเทียม เป็นชีวิตอันบริสุทธิ์”

เอ็มลินชะงักงัน ก่อนจะถอนหายใจยาว

“หลวงพ่อ ข้าพบวิธีรักษาการชี้นำทางใจของท่านแล้ว อีกไม่นานคงต้องอำลาวิหารแห่งนี้เป็นการถาวร”

เดี๋ยวสิ… แล้วเราไปบอกเขาทำไม…

รู้สึกผูกพัน? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาตัดสินใจชกเราสักหมัดและจับกลับไปขังไว้ในห้องใต้ดินเหมือนเดิม?

เอ็มลินเริ่มลนลาน

สีหน้าหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ยังคงอ่อนโยน ดวงตาก้มมองเอ็มลินและเริ่มอธิบาย

“ด้วยความสัตย์จริง คุณไม่จำเป็นต้องหาวิธีรักษาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะอีกไม่นาน การชี้นำทางใจของผมจะสลายไปเอง คุณจะได้รับอิสระกลับคืนมาและมีสิทธิ์เลือกว่าจะแวะเข้ามายังวิหารแห่งนี้หรือไม่”

“ถ้าถูกชี้นำนานกว่านี้อีกสักนิด ข้าคงได้กลายเป็นสาวกของท่านแม่… พ…พระแม่ธรณีกันพอดี!”

เอ็มลินแผดเสียงโต้แย้ง

ยูทรอฟสกี้เลิกคิ้วเล็กน้อย สีหน้าคล้ายกับกำลังประหลาดใจ

“ผมไม่เคยโน้มน้าวให้คุณเปลี่ยนศาสนา การชี้นำทางใจของผมจะทำให้คุณรู้สึกต้องการแวะเข้ามายังวิหารแห่งนี้ในทุก ๆ วัน ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น ผมหวังเพียงให้คุณได้ซาบซึ้งกับคุณค่าของชีวิต ลิ้มรสความสุขอันแท้จริงทุกลมหายใจ”

“ก…การชี้นำทางใจ… มีผลแค่โน้มน้าวให้ข้าแวะมายังวิหารทุกวัน?” เอ็มลินอ้าปากค้าง

ยูทรอฟสกี้พยักหน้ารับหนักแน่น

“ถูกต้อง”

“…”

ริมฝีปากแวมไพร์หนุ่มพลันสั่นระริก

มันหันไปมองแท่นบูชา หันไปมองตราศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตของพระแม่ธรณีโดยไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน ประหนึ่งถูกสาปให้กลายเป็นหุ่นกระบอกใบ้

31 ธันวาคม ช่วงเย็น

เมืองทิงเก็น

ณ อาคารหมายเลข 2 ถนนดารารัตน์

เบ็นสันเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับถอดหมวกและเสื้อโค้ทแขวน ตามด้วยการหัวเราะ

“ฉันจองบัตรโดยสารรถจักรไอน้ำชั้นสองไปยังกรุงเบ็คลันด์เรียบร้อยแล้ว เที่ยวเดินทาง 3 มกราคม”

เมลิสซ่า ผู้กำลังนั่งในห้องกินข้าวพลางถือหนังสือพิมพ์ในมือ กล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความกังวล

“เบ็นสัน อากาศในเบ็คลันด์กำลังแย่มาก ผู้คนนับหมื่นเสียชีวิตเพราะพิษของหมอกและโรคระบาดเมื่อไม่กี่วันก่อน…”

“ถูกต้อง นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่”

เบ็นสันเดินเข้ามาในห้องอาคาร ถอนหายใจยาวและเล่าต่อ

“แต่สองสภาต่างเห็นพ้องและยอมรับรายงานของคณะกรรมการมลพิษทางอากาศแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการปล่อยควันพิษและน้ำเสียจะถูกผลักดันให้เสร็จสมบูรณ์ในอีกไม่นาน หมายความว่า กรุงเบ็คลันด์โฉมใหม่จะเป็นมิตรกับพวกเรา เธออย่าได้กังวลไป”

เมื่อกล่าวจบ มันยิ้มอย่างอารมณ์ดี

“ขากลับจากถนนกางเขนเหล็ก ฉันเห็นเจ้าของโรงงานในเบ็คลันด์ หรือไม่ก็ตัวแทน กำลังประกาศรับสมัครคนงานจำนวนมาก พวกเขาเล่าว่า ควันพิษและโรคระบาดทำให้โรงงานหลายแห่งขาดแคลนแรงงาน จึงต้องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและลดชั่วโมงทำงานลง มาตรฐานใหม่จะทำให้ทุกคนพึงพอใจ ฮะฮะ!”

“แล้วนายคิดว่าพวกเขาทำได้จริง?”

“คงยาก เพราะหากผู้คนทั่วทั้งอาณาจักรพร้อมใจกันเข้าไปทำงานในกรุงเบ็คลันด์ สถานการณ์ก็จะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน คนงานถูกกดค่าแรงและบังคับให้ล่วงเวลา …นอกเสียจากรัฐบาลจะออกร่างกฎหมายฉบับใหม่มาบังคับใช้อย่างเป็นกิจจะลักษณะ”

เบ็นสันผายมือไปทางโต๊ะอาหาร

ไคลน์ลดข้อมือลง สะบัดแผ่วเบา เปลี่ยนแท่งเหล็กลับเป็นกระดาษ

ไคลน์ในรูปลักษณ์ผมดำขลับ ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ร่างกายผอมเพรียว เริ่มเผากระดาษบนฝ่ามือจนลุกไหม้ คล้ายกับกำลังประกอบพิธีสวดส่งวิญญาณแก่เถ้ากระดูกทั้งหมดภายในบริเวณโดยรอบ

ชายหนุ่มตัดสินใจไม่ไปพบเดซีย์ เด็กหญิงผู้สูญเสียมารดาและพี่สาวโดยตรง แต่เลือกช่วยทางอ้อมโดยการเขียนจดหมายถึงนักข่าวไมค์แบบไม่ลงชื่อ อธิบายสถานการณ์ความยากลำบากของเธอ ทั้งหมดเพื่อมิให้เด็กสาวต้องเข้ามาพัวพันกับอันตรายจากตน

ไมค์เดินทางไปพบเดซีย์ทันที รับฟังเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ และกระตือรือร้นในการเปิดรับเงินบริจาคสำหรับใช้เป็นค่าเล่าเรียนจนจบหลักสูตรพื้นฐาน ไคลน์มั่นใจว่า เท่านี้คงมากพอจะช่วยให้เด็กหัวดีอย่างเดซีย์มีงานการมั่นคงทำหลังจากเรียนจบ

ชายหนุ่มถอยหลังออกมาสองก้าว กวาดสายตาไปรอบชั้นวางตู้บรรจุกล่อง พยายามบันทึกชื่อและรูปภาพของเหยื่อทุกคน รวมถึงผู้ปราศจากใบหน้าและชื่อเสียงเรียงนาม เอาไว้ในความทรงจำ

มันแหงนหน้ามองฟ้า ถอนหายใจยาว และเดินออกจากสุสานใหม่อย่างเงียบงัน

ขณะรถจักรไอน้ำกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังกรุงเบ็คลันด์ เมลิสซ่าตั้งใจอ่านหนังสือเรียน ส่วนเบ็นสันกำลังสนทนากับผู้โดยสารเก้าอี้ใกล้เคียง

“แพงมาก! บัตรโดยสารมีราคาแพงเกินไปอย่างมาก! ตั้งสิบซูลครึ่งเชียวนะ!”

ชายร่างกำยำอายุยังไม่ถึงสามสิบ ถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว

“ถ้าไม่เพราะบัตรโดยสายชั้นสามถูกจองจนเต็ม ผมก็คงไม่ต้องเสียเงินมากถึงครึ่งหนึ่งของค่าจ้างรายสัปดาห์เช่นนี้!”

“แย่หน่อยนะครับ มีผู้คนไม่น้อยเดินทางเข้าไปในเบ็คลันด์หลังจบเทศกาลปีใหม่”

เบ็นสันเห็นพ้อง

ชายร่างกำยำรีบสลัดสีหน้าหดหู่

“แต่เป็นเพราะเจ้านายสัญญาว่าจะตอบแทนด้วยค่าจ้างยี่สิบเอ็ดซูลต่อสัปดาห์ แถมยังไม่ต้องทำงานเกินวันละสิบสองชั่วโมง ผมจึงตอบตกลงทำสัญญากันทันที! หลังจากได้เงินค่าตอบก้อนแรกและเริ่มเช่าบ้าน ภรรยาของผมก็จะตามมาอาศัยในเบ็คลันด์ด้วยเช่นกัน! ไม่เพียงเท่านั้น เธอสามารถทำงานค่าจ้างค่อนข้างดีได้ด้วย ตกราวสิบสองถึงสิบสามซูลต่อสัปดาห์ เห็นว่ากรุงเบ็คลันด์กำลังขาดแคลนแรงงานประเภทนี้อย่างหนัก! …หากวันนั้นมาถึงเมื่อไร ด้วยรายได้รวมเกินกว่าสัปดาห์ละหนึ่งปอนด์ ครอบครัวของผมจะได้กินเนื้อวัวบ่อยขึ้นกว่าเดิมมาก!”

“ไม่ต้องห่วงครับ ความฝันของคุณเป็นจริงได้แน่นอน เพราะตอนนี้พระราชาได้ลงนามในร่างกฎหมายค่าแรงขั้นต่ำและจำกัดจำนวนชั่วโมงทำงานสูงสุดแล้ว”

เบ็นสันอวยพรอีกฝ่ายจากใจ

“สมกับเป็นดินแดนแห่งความหวัง”

ปู๊น—! รถจักรไอน้ำคันใหญ่พาผู้คนจำนวนมหาศาลมาถึงสถานีเบ็คลันด์

ท้องฟ้าด้านบนกำลังสดใส หมอกหนาทึบเจือจางลงจากปรกติมาก โคมตะเกียงบนชานชาลาจึงไม่จำเป็นต้องถูกจุดก่อนเวลาอันควร

เบ็นสันมากประสบการณ์ช่วยน้องสาวปกป้องทรัพย์สินสำคัญ พลางเดินออกจากสถานีในลักษณะเบียดเสียดกับผู้คน

ทันใดนั้น สองพี่น้องสัมผัสถึงสายตาจดจ้องจากบุคคลปริศนา

เมื่อมองกลับไป เบ็นสันและเมลิสซ่าพบกับชายหนุ่มใบหน้าอ่อนเยาว์ ทรงผมหวีเรียบ ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม

พร้อมกันนั้น สุภาพบุรุษหนุ่มผู้สวมแว่นตากรอบทอง กดหมวกลงเล็กน้อยและมองผ่านทั้งคู่ไปยังด้านหลัง

เบ็นสันและเมลิสซ่าเบือนหน้ากลับทันที โดยหันไปให้ความสนใจกับปล่องพ่นควันใจกลางลานหญ้าสีเขียวด้านนอกแทน

ทั้งสองอยากลองใช้บริการรถไฟใต้ดินอันลือชื่อของมหานครเบ็คลันด์มานานแล้ว

ในสภาพหิ้วกระเป๋าเดินทางด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ไคลน์เดินผ่านสองพี่น้องพลางทำตัวตามปรกติ ก่อนจะเดินเข้าไปในชานชาลารถจักรไอน้ำขาออก เบียดเสียดกับผู้คนมากมายอันกำลังพรั่งพรูเข้ามายังดินแดนแห่งความหวัง แต่ละคนเปี่ยมด้วยความฝันอันสดใส

นี่คือยุคสมัยอันยอดเยี่ยม

ขณะเดียวกันก็เป็นยุคสมัยอันเลวร้าย

(จบภาคที่สอง)

……………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ