สรุปตอน ราชันเร้นลับ 529 – จากเรื่อง ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ โดย Internet
ตอน ราชันเร้นลับ 529 ของนิยายInternetเรื่องดัง ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ในสภาพสวมแจ็คเก็ตหนาและกางเกงขาบานท้องถิ่น ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิสเดินอ้อมหลายตลบกว่าจะกลับมาถึงหน้าโรงแรม แต่มันยังไม่กล้าเข้าไป เพียงยืนหลบมุมพิงกำแพงด้านนอก และครุ่นคิดว่าตนควรฉวยโอกาสนี้หลบหนีจากชายเสียสติ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ดีหรือไม่
ไม่เหมือนกับศึกท่าเรือแบนชี คราวนี้มันซ่อนตัวอยู่ในจุดปลอดภัยค่อนข้างห่าง ส่งผลให้มองเห็นรายละเอียดการต่อสู้ทั้งหมดอย่างชัดเจน ดังนั้น หลังจากยื่นมือช่วยเหลือโดยการฆ่า ‘พุ่มหนามเลือด’ เฮนดรี้ เดนิสมีโอกาสรับชมรูปแบบการต่อสู้ของนักผจญภัยเสียสติตั้งแต่ต้นจนจบ จึงตระหนักถึงพลังพิเศษและจุดแข็งของอีกฝ่าย
กระดาษคนตัวแทน กระโจนไฟ ทะลวงจิต แสงศักดิ์สิทธิ์ในขอบเขตสุริยัน กระสุนอากาศ แปลงโฉม ถุงมือเปลี่ยนรูปลักษณ์และสามารถเขมือบสควอล…
ฝีมือแท้จริงของมันแข็งแกร่งเหนือจินตนาการเราไปมาก โดยพลังแต่ละชนิดก็แทบไม่สอดคล้อง และสิ่งนี้มิได้เกิดจากการใช้สมบัติวิเศษหลายชิ้นพร้อมกัน…
แต่เป็นถุงมือของพลเรือโทวายุ…
ยุบพองหิวโหย!
กัปตันเคยเตือนเราไว้ ถุงมือนั่นสามารถกลืนกินเลือดเนื้อของผู้วิเศษได้ และยังขโมยพลังจากดวงวิญญาณมาเป็นของตัวเอง…
เดนิสปล่อยความคิดล่องลอยสักพัก
ก่อนจะได้ข้อสรุป
เกอร์มัน·สแปร์โรว์คือเจ้าของยุบพองหิวโหยคนปัจจุบัน!
คิดมาถึงจุดนี้ มันมิได้กำลังดูแคลนว่าอีกฝ่ายเอาแต่พึ่งพาพลังจากสมบัติวิเศษ ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ เดนิสกลับชื่นชมและยำเกรงเกอร์มัน·สแปร์โรว์ยิ่งกว่าเดิม
เหตุผลก็คือ หนึ่ง ผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้บ่งบอกทุกอย่าง หากเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่มีความแข็งแกร่งพื้นฐานและประสบการณ์ต่อสู้ระหว่างผู้วิเศษอย่างโชกโชน ต่อให้ครอบครอง ‘ยุบพองหิวโหย’ สองข้าง ก็คงไม่สามารถจัดการกับ ‘เหล็กกล้า’ ได้ภายในระยะเวลาเพียงสิบวินาที
สอง กัปตันของมัน พลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ด ได้ทราบข้อมูลลับจากเครือข่ายอันกว้างใหญ่ของเธอ มีใจความว่า พลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์ มิได้เสียชีวิตด้วยฝีมือของโบสถ์วายุสลาตัน แต่เป็นการตายขณะกำลังหลบหนี โดยถูกบุคคลลึกลับทรงพลังสังหารในพริบตา
สำหรับฝีมือของคีลิงเกอร์ เดนิสย่อมเคยได้ยินตำนานมาไม่น้อย หากนับเฉพาะการหลบหนีเอาตัวรอด คีลิงเกอร์จะเก่งกาจในระดับหาตัวจับได้ยาก
ฉะนั้น ผู้ลงมือสังหารคีลิงเกอร์จะต้องมีพลังทัดเทียมจุดสูงสุดของโลกโจรสลัดทั้งสอง ‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ และ ‘ราชินีเงื่อนงำ’
จริงอยู่ อาจมีปัจจัยการลอบจู่โจมเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงต้องลดทอนฝีมือบุคคลดังกล่าวลงเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็คงไม่ด้อยไปกว่า ‘ราชาอมตะ’ อาการิธ และเหนือกว่า ‘พลเรือเอกนรก’ กับ ‘พลเรือเอกโลหิต’ แน่นอน…
ในเมื่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์คือเจ้าของยุบพองหิวโหยคนล่าสุด อาจสรุปได้ว่า มันลงมือสังหารคีลิงเกอร์ด้วยตัวเอง หรือไม่ก็มีบุคคลทรงพลังระดับทัดเทียมราชาโจรสลัดทั้งสี่อยู่เบื้องหลัง…
ไม่ว่าจะทางไหนก็แย่สำหรับเราทั้งนั้น!
ร่างกายเดนิสกำลังสั่นเทา มันไม่ต้องการเผชิญหน้ากับนักผจญภัยอำมหิตเอาเสียเลย
เฮ่อ…
เพลิงพิโรธถอนหายใจยาว และเริ่มตระหนักว่าตนใช้เวลาตัดสินใจนานเกินไปแล้ว ต้องรีบหาข้อสรุปโดยด่วน
เกอร์มัน·สแปร์โรว์มั่นใจในพลังทำนายของตัวเองมาก แถม ‘ผ้าคลุมเงา’ ของเราก็ยังอยู่กับมัน… การหลบหนีไม่เพียงประสบความล้มเหลว แต่ยังจะทำให้หมอนั่นขุ่นเคืองใจ…
ผ้าคลุมเงานับเป็นสมบัติวิเศษหายาก…
เดนิสกัดฟันกรอด ตามด้วยการเดินออกจากมุมมืดและตรงไปยังห้องพักสุดหรูของตน
มันหยุดยืนหน้าประตูสามวินาที พยายามสังเกตความเคลื่อนไหวด้านใน จึงค่อยหยิบกุญแจออกมาไขเปิดประตู
บรรยากาศภายในห้องค่อนข้างสลัว โคมไฟผนังไม่ถูกเปิด แสงแดดยามเช้าแทบไม่ส่องเข้ามาจากหน้าต่าง เกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังนั่งบนเก้าอี้เอนหลัง และหันหน้ามาทางประตู
นักผจญภัยเสียสติได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายกลับไปเป็นแบบเดิม—โค้ทขนสัตว์ตัวใหญ่และกางเกงขายาวสีเข้ม ในมือถือหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง เท้าขวายกขึ้นมาพาดเข่าซ้าย
อีกฝ่ายเอนตัวนอนลง ใบหน้าส่วนใหญ่ถูกซ่อนอยู่ในความมืดสลัว เหลือเพียงดวงตาสีน้ำตาลเข้มยังคงส่องแสงเด่นชัด จ้องมองมาทางประตูอย่างเย็นชา
เดนิสลดศีรษะลงโดยไม่รู้ตัว พลางหัวเราะเสียงแห้งสองครั้ง
“ฉันทำตามคำสั่งของนายแล้ว ตระเวนไปตามสำนักพิมพ์หลายแห่งและโยนกระดาษเข้าไปข้างใน ใจความเขียนว่า : เหล็กกล้า·แม็ควิตี้ พุ่มหนามสีเลือด·เฮนดรี้ และสควอล จบชีวิตลงด้วยน้ำมือของเพลิงพิโรธ·เดนิส! แน่นอน ยังระบุไปด้วยว่าฉันมีผู้ช่วยแข็งแกร่งคอยสนับสนุน เป็นชายลึกลับนิรนาม นักผจญภัยมากฝีมือ และเคยเป็นนักล่าค่าหัวมือฉมังมาก่อน”
ไคลน์พยักหน้ารับ ยิ้มอย่างสุภาพ
“ทำได้ดี”
เดนิสทำสีหน้าโล่งใจ ก่อนจะมองไปรอบห้องและเห็น ‘พรมวิเศษ’ สีน้ำเงินหางนกยูง
มันชะงักเล็กน้อย ซักถามอย่างงุนงง
“แล้วศีรษะของเหล็กกล้ากับเฮนดรี้?”
ไคลน์ตอบเสียงค่อย
“ไม่ได้หยิบมา”
“ทิ้งไว้อย่างนั้นเลยหรือ…” เดนิสกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ “แล้วเงินค่าหัว?”
หากศีรษะของ ‘เหล็กกล้า’ และ ‘พุ่มหนามสีเลือด’ การขึ้นเงินค่าหัวก็ไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงติดต่อกับเส้นสายของทางการให้ช่วยรับรางวัลแทน อาจต้องเสียค่านายหน้าราวสิบห้าถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ของเงินรางวัล แต่ก็นับว่าคุ้มค่าแล้วสำหรับโจรสลัด—ผู้ไม่สามารถขึ้นเงินได้ด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ทางกองทัพและโบสถ์หลักจงใจใช้ระบบ ‘ค่าหัว’ เพื่อยั่วยุให้โจรสลัดเข่นฆ่ากันเอง ดังนั้น หากมีศีรษะโจรสลัดมาประเคนถึงหน้าสำนักงาน พวกมันก็ไม่ใจร้ายเกินไปนัก ยังคงมอบเงินรางวัลให้ตามปรกติโดยแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
แต่เหตุการณ์กลับผิดคาดเดนิสอย่างมาก โจรสลัดหน้าเงินและเสียสติอย่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์กลับไม่ได้นำศีรษะของ ‘เหล็กกล้า’ และ ‘พุ่มหนามเลือด’ กลับมาขึ้นเงิน
ไคลน์ไม่ตอบ เพียงชี้ไปทางพรมวิเศษ
“นายเองก็เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจคราวนี้ ดังนั้น เลือกมาหนึ่งอย่าง ระหว่างเงินสดสามพันปอนด์หรือพรมวิเศษผืนนี้ มีเวลาให้คิดห้าวินาที เกินกว่านั้นจะถือว่ายกให้ฉันทั้งหมด”
“ขอพายุจงสถิตกับท่าน!” อัลเจอร์ทุบกำปั้นใส่หน้าอกข้างซ้ายของตน
“ขอพายุจงสถิตกับท่าน” โชโกรียิ้ม
แม้อัลเจอร์จะไม่เคยตกลงกับเดอะเวิร์ลว่าส่วนแบ่งของแต่ละคนเป็นเท่าไร แต่มันเชื่อว่าสิ่งนี้จะถูกจัดสรรตามหลักสามัญสำนึก
ยกตัวอย่างเช่น แต่ละคนจะไม่ก้าวก่ายงานของกันและกัน ใครฆ่าโจรสลัดคนใดก็หยิบทรัพย์สินติดตัวของเหยื่อไปได้เลย ส่วนรางวัลนำจับซึ่งโบสถ์วายุจะได้รับอย่าง ‘ชอบธรรม’ และเต็มเม็ดเต็มหน่วย สิ่งนี้จะถูกหารสอง
สำหรับค่าหัวจากอาณาจักรอื่นเช่นอินทิสและฟุซัค อัลเจอร์มิได้ใส่ใจนัก การขึ้นค่าหัวส่วนใหญ่ต้องใช้ศีรษะและร่างกายเหยื่อ ส่งผลให้เกือบทุกกรณีจะขึ้นเงินค่าหัวโจรสลัดได้เพียงหนึ่งประเทศอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ใครสนิทกับประเทศใดก็ให้ไปขึ้นกับประเทศนั้น สามพันปอนด์เป็นของเดอะเวิร์ล… แต่ถ้าเงินของเราหายไปรวดเดียวสามพันปอนด์ คนรอบข้างอาจตั้งข้อสงสัยได้… จริงสิ.. ต้องเอาเงินไปซื้อสมบัติวิเศษสักชิ้น สิ่งนี้สามารถมีราคาสูงกว่าปรกติได้ถ้าคนซื้อใจร้อน จะไม่มีใครสงสัยหากเราบอกว่านำเงิน ห้าพันปอนด์ไปซื้อสมบัติวิเศษมูลค่าสามพันปอนด์… และเมื่อโปะด้วยเงินจากขายทรัพย์สินเฒ่าควินน์ บัญชีของเราก็จะสมดุล…
อัลเจอร์หาทางออกให้ตัวเองได้ในเวลาอันสั้น
…
ไคลน์รู้อยู่แล้วว่าตนจะได้รับเงินสามพันปอนด์ จึงนั่งลงอย่างมีความสุขบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล
จุดประสงค์การเข้ามาในคราวนี้คือ หลังจากต้อนแกะ (ดวงวิญญาณ) ของแม็ควิตี้เข้าคอกสำเร็จ มันจะต้องปล่อยวิญญาณภายในถุงมือออกไปหนึ่งดวงตามสัญญา
พลังแต่ละชนิดล้วนมีประโยชน์กับเรา การปล่อยออกไปก่อนจะหาพลังอื่นมาแทนค่อนข้างน่าเสียดาย เฮ่อ… ในกรณีของผู้ไร้หน้า เราต้องการสอบถามข้อมูล แถมยังเป็นพลังซ้อนทับกับเรา จึงกล้าปล่อยออกไปก่อนโดยไม่ต้องคิดมาก…
ชายหนุ่มเผยท่าทีลังเล พลังในทุกนิ้วล้วนสำคัญในการต่อสู้ เป็นเหตุผลว่าทำไมอะซิกถึงยังเก็บไว้จนกระทั่งส่งต่อให้ตน
ผ่านไปสักพัก มันเอนหลังและถอนหายใจ
“ในเมื่อสัญญาไว้แล้ว…” ชายหนุ่มส่ายหน้าพร้อมกับยิ้ม มันตัดสินใจหนักแน่น
ไคลน์เตรียมรักษาสัญญา เรื่องที่จะปลดปล่อยวิญญาณหนึ่งดวงให้เป็นอิสระ
แต่จะปล่อยใคร? นักจิตบำบัด?
ไม่ดีเท่าไร จริงอยู่ มิสจัสติสอาจต้องการซื้อตะกอนพลังของนักจิตบำบัด แต่เธอเพิ่งซื้อสมบัติวิเศษมูลค่าห้าพันห้าร้อยปอนด์ไป ถึงจะร่ำรวยแค่ไหน แต่หญิงสาวคนหนึ่งก็คงมีขีดจำกัดการใช้เงิน หลักฐานคือการขอผ่อนผันหนี้จำนวนสองพันปอนด์ของข้ารับใช้เดอะฟูลออกไปจนถึงเดือนมีนาคม เธอคงยังไม่พร้อมซื้อตะกอนพลังจากเราในเร็วๆ นี้…
ไคลน์ปัดตกแนวคิดปัจจุบัน ก่อนจะตัดสินใจปล่อย ‘ฝันร้าย’ ออกไปเป็นคนแรก
ในฐานะอดีตเหยี่ยวราตรีผู้เคยมีหัวหน้าเป็นฝันร้าย มันมักเอนเอียงและเห็นอกเห็นใจผู้วิเศษเส้นทางนี้มากเป็นพิเศษ จึงเลือกได้ไม่ยากหากจำเป็นต้องปล่อยออกไปหนึ่งดวง
ชายหนุ่มปรับอารมณ์ สลัดความเสียดาย พลางสวมถุงมือหนังมนุษย์ซึ่งถูกส่งเข้าห่วงมิติเหนือสายหมอกผ่านมิติ ก่อนจะหลับตาลงและเพ่งสมาธิสัมผัสถึงดวงวิญญาณอันทุกข์ทรมานภายในถุงมือ
ไคลน์จัดการปล่อยฝันร้ายเป็นอิสระ
……………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ