ณ สถานทูตอินทิส
เอลเลนกำลังนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จ้องใบหน้าอันงดงามแต่ค่อนข้างซูบผอมของตนนานหลายนาที
การหลบหนีออกจาก ‘กาฬมรณะ’ ทำให้เธอเกิดความคาดหวัง แต่ก็เจือหวาดกลัว โดยกังวลว่าจะถูกเหล่านักผจญภัย โจรสลัด หรือพลเรือโทโรคภัย เทรซี่ พบตัวเข้า หากเป็นเช่นนั้น เธอจะสูญเสียอิสรภาพโดยสมบูรณ์ ไม่มีวันได้กลับบ้านและพานพบชีวิตอันเป็นปรกติอีกเลย
เอลเลนอาศัยเส้นสายเล็ก ๆ ของครอบครัว ซ่อนตัวในสถานทูตของอาณาจักรบ้านเกิด รวมถึงการใช้เส้นสายดังกล่าว ซื้อบัตรเรือโดยสารเพื่อหนีไปออกนอกเกาะ หลังจากเตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้น หญิงสาวเริ่มผ่อนคลายตัวเองลง
แต่ถึงอย่างนั้น เอลเลนก็ยังไม่วางใจเต็มร้อย รอให้ได้ประทับฝ่าเท้าลงบนแผ่นดินใหญ่ของทวีปเหนือเสียก่อน
ครุ่นคิดถึงจุดนี้ เอลเลนอดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือขึ้นมาลูบไล้ผิวแก้ม
แก้มของเธออาจมิได้ขาวเนียนหรือเต่งตึงเหมือนหญิงสาวเลอโฉมคนอื่น แต่ก็มีสุขภาพดีขึ้นจากสมัยทำการค้าขายกลางทะเลมาก ถึงขั้นมองเห็นภาพตัวเองซ้อนทับกับวัยเด็ก
อันที่จริง หลังจากเริ่มซ่อนตัวในอินทิส เธอยังมีสารพัดวิธีในการเอาชีวิตรอด เช่น ร่วมมือกับโบสถ์วายุสลาตัน กองทัพโลเอ็น หรือคนของสถานทูต โดยการใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ให้พลเรือโทโรคภัยลอบแทรกซึมเข้ามาในบายัม
แต่หลังจากไตร่ตรองเป็นเวลานาน เอลเลนตัดสินใจพับเก็บแผนดังกล่าว และทำถึงขั้น ขอร้องให้ทุกคนช่วยปิดข่าวว่าเธอหลบอยู่ในนี้
จะว่าไป เธอก็ไม่เคยทำร้ายเราสักครั้ง… ตรงกันข้าม ยังคอยตามใจและสร้างความพึงพอใจให้เราเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคืนนั้น… คืนนั้น… แล้วก็คืนนั้นด้วย… เมื่อขุดคุ้ยความทรงจำเก่า ใบหน้าของหญิงสาวเริ่มแดงก่ำ
ค่ำคืนเหล่านั้นช่างแสนวิเศษ อุณหภูมิร่างกายอันเกิดจากการกอดก่ายของอวัยวะ รวมถึงความสุขสมขั้นสูงสุด ทั้งหมดคละคลุ้งในความทรงจำหญิงสาวจนยากจะลืมเลือน
เอลเลนสูดลมหายใจเข้าลึก ตามด้วยพ่นออก
หญิงสาวส่ายหน้า ปล่อยให้ความปรารถนาที่จะกลับบ้าน ความปรารถนาในอิสรภาพ ความปรารถนาที่จะได้พบครอบครัว เข้าครอบงำจิตใจแทนจินตนาการอันฟุ้งซ่าน
เธอมองเข้าไปในกระจก ตามด้วยรวบผม
ถัดมา เอลเลนใช้เครื่องสำอางวาดคิ้วสีเข้ม ลักษณะยาวตรง ต่อด้วยการแต่งหน้าเพื่อเน้นอวัยวะ ให้เค้าโครงคมชัดขึ้นกว่าเดิม
เมื่อแต่งหน้าเสร็จ ใบหน้าเอลเลนยากจะระบุได้ชัดเจนว่าเป็นชายหรือหญิง เหลือไว้เพียงสายตาอันเด็ดเดี่ยวที่เป็นเอกลักษณ์
เอลเลนถอดเสื้อผ้าออก นำเศษผ้ามาพันหน้าอกให้แบนราบ ตามด้วยการสวมเชิ้ตขาว เสื้อกั๊กสีดำ และเสื้อโค้ทกระดุมสองแถวตัวใหญ่
ถัดมา เธอสวมหมวกผ้าไหมทรงสูง โดยนำผมสีแดงที่มัดรวบไว้อย่างเรียบร้อยซ่อนด้านใน
ถึงตรงนี้ เอลเลนในกระจกเริ่มมีบรรยากาศคล้ายคลึงชายหนุ่มหน้าหวานมากกว่าหญิงสาว โดยเฉพาะดวงตาสีมรกตที่เข้ากันได้ดีกับภาพลักษณ์ในปัจจุบัน แฝงกลิ่นอายลุ่มลึกอ่อนโยน
เอลเลนรอคอยอย่างใจเย็น จนกระทั่งใครบางคนมาเคาะประตู
หญิงสาวถือกระเป๋าสัมภาระ ออกจากห้อง และเดินตามเพื่อนสนิทของญาติผู้ใหญ่ในตระกูลไปยังประตูฝั่งด้านข้างของสถานทูต
ที่นั่นมีรถม้าจอดรออยู่ มันจะนำพาเธอไปยังท่าเรือของบายัม โดยมีจุดหมายปลายทางคือท่าเรือพริสต์แห่งโลเอ็น หลังจากนั้น การหาทางกลับอินทิสก็จะไม่ยากเย็นแต่อย่างใด
เอลเลนมีพลังต่อต้านการแกะรอย แถมยังมีสายตาเฉียบแหลม เธอมองไปรอบตัวโดยไม่ปล่อยให้รายละเอียดเล็กน้อยตกหล่น ไม่เว้นแม้แต่คนขับรถม้า
ชายชาวพื้นเมือง รูปร่างผอมแต่แข็งแกร่ง ไม่ชอบสวมหมวก ใบหน้าเหมือนกับคราวก่อน… ประหม่าเล็กน้อย แต่นั่นก็ปรกติ…
เอลเลนหายใจทั่วท้อง ก่อนจะหันมากล่าวขอบคุณเพื่อนสนิทของญาติผู้ใหญ่ และยกกระเป๋าสัมภาระเข้าไปในห้องโดยสาร
เมื่อล้มรถม้าเริ่มหมุน หญิงสาวเม้มปากมองออกไปด้านนอก และพบใบเมเปิ้ลตลอดสองข้างทางขณะยังอยู่ในเขตสถานทูต
หญิงสาวรู้สึกประหนึ่งได้กลับไปยังกรุงทรีอาร์
ทรีอาร์คือเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความเจริญรุ่งเรือง มักถูกฉาบด้วยแสงแดดแสนอบอุ่นตลอดทั้งวัน ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำไลอ้อนและแม่น้ำเซอเรนโซ่ ทัศนียภาพงดงาม เต็มไปด้วยกุหลาบ ต้นเมเปิ้ล ตึกรามบ้านช่องถือเป็นจุดสูงสุดของสถาปัตยกรรมมนุษย์ องค์ประกอบทั้งหมดล้วนงดงาม ถือเป็นแดนสวรรค์ของจิตรกร นักดนตรี และนักเขียนนิยาย
เมืองหลวงของอินทิสแห่งนี้ถูกปฏิรูปครั้งใหญ่โดยจักรพรรดิโรซายล์ พัฒนากลายเป็นเมืองหลวงอันสมบูรณ์แบบเฉกเช่นปัจจุบัน และยังเป็นบ้านเกิดเอลเลนอีกด้วย ในบางครั้ง หากเธอบังเอิญฝันถึงทรีอาร์ น้ำตาก็จะไหลรินออกมาเอง
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ แต่เอลเลนเริ่มรู้สึกผิดสังเกต เพราะวิวทิวทัศน์รอบตัวห่างไกลจากความเจริญขึ้นทุกขณะ
เธออาจทำธุรกิจค้าขายอยู่แต่ฝั่งทะเลหมอกจนไม่รู้จักทะเลโซเนียกับเมืองบายัมมากนัก แต่สัญชาตญาณของลำดับ 9 นักล่า ช่วยกระตุ้นให้ทราบถึงความไม่ชอบมาพากล
“ไม่ได้มาผิดทางใช่ไหม” เอลเลนขยับตัวไปถามคนขับรถม้าอย่างใจเย็น
เธอเตรียมกระโดดออกจากรถ รวมถึงเตรียมสร้างบอลไฟขึ้นบนฝ่ามือ
คนขับรถม้าไม่หันกลับมามอง เพียงจ้องไปยังถนนด้านหน้าและมอบคำตอบด้วยรอยยิ้ม
“คุณหนู ถนนเส้นนี้เป็นทางลัด และการจราจรก็ไม่ติดขัด คุณเองก็คงทราบ ถนนของเมืองบายัมสร้างขึ้นนานแล้ว ตอนนั้นยังมีคนไม่มาก ไม่ต้องพูดถึงรถม้า ถนนหนทางจึงมีลักษณะคับแคบ การจราจรจะติดขัดอย่างมากในช่วงเที่ยงวันและช่วงเย็นหลังเลิกงาน เดินด้วยเท้ายังจะถึงจุดหมายเร็วกว่ารถม้าเสียอีก”
งั้นหรอกหรือ… เอลเลนไตร่ตรองสักพัก ก่อนจะยอมเชื่อคำอธิบาย เพราะเธอเคยเผชิญสถานการณ์แบบนี้กับหลายเมืองใหญ่
ไม่มีที่ไหนยอดเยี่ยมเท่าทรีอาร์ นับตั้งแต่จักรพรรดิโรซายล์รื้อเมืองเก่าทิ้งและสร้างใหม่ ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของท่าน ถนนหนทางจึงถูกขยายขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัว ปัจจุบันก็ยังใหญ่พอจะใช้งานได้โดยไม่เกิดภาวะการจราจรแออัด…
ขณะกำลังคิดเรื่อยเปื่อย เอลเลนพลันได้ยินเสียงร้องจากม้าตัวที่กำลังวิ่งลากห้องโดยสาร
เสียงร้องมีลักษณะคล้ายบาดเจ็บ
“รอสักครู่นะครับ ดูเหมือนว่ามันจะเหยียบบางสิ่งเข้า” คนขับรถม้ารีบหยุดรถ ตามด้วยการกระโดดลงไปตรวจสอบ
ในตอนแรก เอลเลนมิได้คิดอะไรมาก จนกระทั่งบังเอิญมองออกไปเห็นว่า สภาพแวดล้อมในปัจจุบันค่อนข้างเปลี่ยวจนผิดวิสัย
หัวใจหญิงสาวพลันถูกบีบรัด เธอเตรียมม้วนตัวและกระโดดออกจากห้องโดยสารทันที
โดยไม่สนว่าจะเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ แต่หญิงสาวเชื่อว่า กันไว้ย่อมดีกว่าแก้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ