จากนั้น ไคลน์สับเปลี่ยนนกกระเรียนกระดาษของวิล·อัสตินด้วยของปลอมที่ตัวเองพับ และเอานกกระดาษต้นตำรับมาทำนายหาเบาะแสบนห้วงมิติเหนือสายหมอก แต่ก็ไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากนัก
จนกระทั่งภรรยาของนายแพทย์อลันตั้งครรภ์ ไคลน์จึงเริ่มเข้าใจเกี่ยวกับวัฏจักรของลำดับ 1 และลำดับ 0 ของเส้นทางสัตว์ประหลาด โดยวัฏจักรจะเริ่มต้นใหม่เมื่ออสรพิษกินหางตัวเอง
ชายหนุ่มยังคาดเดาอีกว่า อสรพิษปรอททั้งสามกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อแย่งชิงตำแหน่งลำดับ 0 โดยฝันร้ายเทียมที่วิล·อัสตินสร้างแก่นายแพทย์อลันเป็นแค่ประเด็นรอง จุดประสงค์หลักคือการระบุพิกัดและเข้าไปเกิดใหม่ในครรภ์ของภรรยาอลัน
ระหว่างเหตุการณ์ดังกล่าว เรื่องน่าขันก็คือ นกกระดาษที่ไคลน์พับขึ้นเอง ถูกเหยี่ยวราตรีกรุงเบ็คลันด์เข้าใจผิดว่าเป็นของจริง และสับเปลี่ยนด้วยนกกระดาษที่พับได้ห่วยยิ่งกว่าของไคลน์
ส่วนนกกระดาษของวิล… เราเก็บไว้ในมิติหมอกจนเกือบลืมไปแล้ว… การใช้มันเป็นสื่อกลางเพื่อทำนายคงไม่เกิดประโยชน์มากนัก ระดับตัวตนของอีกฝ่ายสูงเกินไป ผลลัพธ์การทำนายคงออกมาคลุมเครือจนคล้ายกับล้มเหลว ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ทารกในครรภ์ภรรยาศัลยแพทย์อลันคือวิล·อัสตินตัวจริงหรือไม่…
แต่ในทางกลับกัน วิล·อัสตินสามารถใช้นกกระดาษระบุพิกัดปัจจุบันของเราได้… เหมือนที่เคยทำกับอลันในอดีต และเหมือนกับที่อาโรเดสใช้ออร่าสายหมอกระบุตำแหน่งเรา จากนั้นก็ติดต่อกับเครื่องรับโทรเลขผ่านโลกวิญญาณ…
จริงสิ… ยังมีวิธีนั้นอยู่!
ไคลน์เหยียดหลังตั้งตรง สมองผุดแนวคิดใหม่ที่น่าสนใจ
มันวางแผนจะใช้นกกระดาษตัวนี้ เป็นสื่อกลางในการพูดคุยกับวิล·อัสตินผ่านความฝัน!
จริงอยู่ การติดต่อกับอสรพิษปรอท อาจยังไม่เกิดประโยชน์อันใดกับตัวเราในปัจจุบัน อีกทั้งยังถือเป็นการเสี่ยงอันตราย… แต่ถ้าวิล·อัสตินเป็นอสรพิษแห่งชะตาจากโรงเรียนชีวิตจริง เรามั่นใจมาก ว่าการแจ้งเบาะแสที่เป็นประโยชน์ในวันนี้ จะทำให้อีกฝ่ายตระหนักถึงบุญคุณ และตอบแทนกลับคืนมาหลายเท่าในอนาคต…
ในเมื่อวิล·อัสตินคือตัวตนระดับเดียวกับราชาเทวทูต การลงทุนหว่านเมล็ดพันธุ์ล่วงหน้าเพื่อรอเก็บเกี่ยวคือสิ่งจำเป็น ไว้อสรพิษปรอทคลอดจากครรภ์มารดาเมื่อไร เราคงได้รับการช่วยเหลือไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง… เหนือสิ่งอื่นใด การเสี่ยงติดต่อในคราวนี้ก็ไม่ทำให้เราถึงตาย… หรือถ้าเกิดถึงตาย ก็น่าจะยังคืนชีพกลับมาได้…
ไคลน์ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ถึงขั้นกลับขึ้นห้วงมิติเหนือหมอกเทาเพื่อทำนายยืนยันว่า การเสี่ยงติดต่อกับวิล·อัสตินมีอันตรายหรือไม่ จึงค่อยวางแผนตามผลลัพธ์ดังกล่าว
หลังจากจัดการตัวเองเสร็จ ชายหนุ่มยืนยันว่าระดับอันตรายอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ จึงรีบประกอบพิธีกรรมเพื่อนำนกกระดาษออกจากห้วงมิติเหนือสายหมอก
บางที อาจเพราะว่ามันคือนกกระดาษที่พับโดยลำดับ 1 อสรพิษปรอท จึงไม่ถูกออร่าของมิติปนเปื้อนเหมือนกับวัตถุชนิดอื่น ยังคงเป็นเพียงนกกระดาษแสนธรรมดา
หวังว่าออร่าของมิติหมอก จะไม่สลายความพิเศษของมันไปเสียก่อน ไม่อย่างนั้นวิล·อัสตินคงระบุตำแหน่งเราไม่ได้… หืม… ถ้าจำไม่ผิด ลำดับก่อนหน้าอสรพิษปรอทมีชื่อว่า ‘นักพยากรณ์’ หรือวิล·อัสตินมองเห็นอนาคตในวันนี้ล่วงหน้า?
หรือที่เขาเลือกอลันเป็นบิดา เพราะอลันเป็นเพื่อนกับเรา จะได้ติดต่อเราสะดวก?
เราคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปไหม…
ไม่เลย… ประเด็นนี้มีน้ำหนักพอให้วิเคราะห์! เมื่อพิจารณาจากการกระทำของวิล·อัสติน มีบางจุดไม่สมเหตุสมผล เช่น ในเมื่อระบุตำแหน่งของศัลยแพทย์อลันได้แล้ว ก็น่าจะเข้าไปเกิดในครรภ์มารดาได้เลยไม่ใช่หรือ ไม่มีความจำเป็นต้องสร้างฝันร้ายเลยสักนิด และเนื้อหาของฝันร้ายก็ยังค่อนข้างซับซ้อน เป็นการบอกใบ้ว่าอสรพิษปรอทสองตนกำลังต่อสู้กัน ไม่มีทางที่คนธรรมดาอย่างอลันจะเข้าใจความนัยแฝง และไม่มีทางมอบความช่วยเหลือใดได้ ไม่ต่างอะไรกับการโยนแว่นขยายให้คนตาบอด…
หมายความว่า ฝันร้ายของวิล·อัสติน มีเจตนาเพื่อแจ้งข่าวกับเราตั้งแต่แรก?
ไคลน์ขมวดคิ้วชนกัน ในหัวกำลังผุดสมมติฐานมากมาย
จนกระทั่ง ชายหนุ่มสลัดความคาใจ หยิบปากกาหมึกซึมขึ้นมาใส่หมึก ครุ่นคิดหาข้อความที่จะเขียนลงบนนกกระเรียนกระดาษ เพื่อดึงดูดความสนใจของอสรพิษปรอท
เขียนว่าอะไรดี…
ไคลน์พิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันจากข้อมูลที่อาโรเดสมอบให้ จนกระทั่งนึกออกหนึ่งประโยคที่สั้นกระชับ และสามารถสรุปทุกสิ่งอย่างรวบรัดชัดถ้อยชัดคำ ความหมายตรงประเด็น อัดแน่นด้วยความรู้สึก และเนื้อหาครอบคลุม
ประโยคดังกล่าวก็คือ :
“บ้านเอ็งบึ้มแล้ว!”
แต่ความหมายออกจะห่ามและขาดความยำเกรงไปสักหน่อย อีกฝ่ายเป็นถึงลำดับ 1… และถ้าวิล·อัสตินเกิดไม่ใช่คนของโรงเรียนชีวิต เราก็จะหน้าแตกทันที…
ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเขียนตัวอักษรลงบนนกกระดาษจำนวนหนึ่ง ประกอบกันเป็นประโยคสั้นใจความว่า
“รอย·คิงถูกจับ”
เมื่อจัดการเสร็จ ไคลน์เก็บปากกา พับนกกระดาษใส่กระเป๋าสตางค์ แบบเดียวกับที่นายแพทย์อลันเคยทำ
…
ณ เขตรอบนอกหมู่เกาะรอสต์ บนเกาะขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่มีหมอกหนาปกคลุม อยู่ห่างจากเส้นทางเดินเรือหลักค่อนข้างมาก
ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน เหยี่ยวสีฟ้ากำลังร่วงหล่นจากผืนนภาอย่างรวดเร็วจนเห็นเพียงเส้นเงาดำ ร่างตกกระแทกพื้นหนักหน่วง ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย โลหิตสาดกระเซ็น
อัลเจอร์·วิลสันไม่ประมาท ยืนรักษาระยะห่างพลางยกมือซ้าย เผยให้เห็นแหวนเหล็กสีดำบนนิ้วหัวแม่มือ โดยใช้มันเล็งเป้าไปยังสิ่งชีวิตอันน่าสะพรึง—เหยี่ยวเงาฟ้า
บนแหวนมีหนามแหลมงอกยาว เกรอะกรังไปด้วยคราบเลือดแห้ง แผ่กลิ่นอายโบราณแฝงความชั่วร้าย
นี่คือสมบัติวิเศษที่อัลเจอร์ใช้เงินค่าหัวของเหล็กกล้า·แม็ควิตี้ซื้อจากช่างฝีมือ มันบอกกับทุกคนว่าสิ่งนี้มีราคาห้าพันสองร้อยปอนด์ ทั้งที่ราคาจริงเพียงสามพันหนึ่งร้อยปอนด์เท่านั้น
ชื่อของแหวนคือ ‘แส้จิต’ มีสรรพคุณในการสร้างความเสียหายทางจิตแก่เป้าหมาย นอกจากนั้นยังช่วยให้ผู้สวมชำนาญอาวุธทุกชนิด และเหนือสิ่งอื่นใด ราคาของมันไม่แพง
ย้อนกลับไปในตอนนั้น ช่างฝีมือยังมีอีกหนึ่งตัวเลือกนอกจาก ‘แส้จิต’ (แหวน) ให้อัลเจอร์ สิ่งนั้นคือ ‘แหวนมนตร์คาถา’ โดยอย่างหลังมีความสามารถหลากหลายกว่า แถมยังเป็นพลังที่มีประโยชน์ และมีราคาต่างกันไม่มาก ไม่ว่าจะมองมุมใดก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบ อัลเจอร์กลับเลือกแส้จิต โดยเชื่อว่าหากไม่มีเจ้าสิ่งนี้ การล่าวัตถุดิบโอสถอย่าง ‘เหยี่ยวเงาฟ้า’ จะยากขึ้นจากเดิมหลายเท่า เพราะการโจมตีสัตว์วิเศษประเภทบิน ต้องอาศัยท่าเกี่ยวกับจิตใจเป็นหลัก และผลลัพธ์ก็พิสูจน์แล้วว่าอัลเจอร์คิดถูก
ลงเอยด้วย อัลเจอร์ต้องยอมทนกับผลข้างเคียงที่เป็นอาการปวดหัวรุนแรง ชนิดอยากจะโขกกำแพงให้รู้แล้วรู้รอด
ยืนรอสักพัก จนกระทั่งเห็นจุดแสงลอยขึ้นจากเหยี่ยวเงาฟ้า เป็นผลึกขนนกจำนวนหกเส้นที่ควบแน่นตรงตำแหน่งปีก อัลเจอร์เริ่มหายใจทั่วท้อง ย่างกรายเข้าไปหยิบ
ตั้งแต่ก่อนเริ่มออกล่า มันใช้ผ้าลินินผืนหนึ่งผูกอัญมณีเม็ดสีแดงสดไว้กึ่งกลางหน้าผาก ส่องแสงคล้ายกับคืนจันทร์สีแดงนวล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ