ไคลน์ถือลูกเต๋าความน่าจะเป็นด้วยมือขวา บรรจงเลื่อนมันเข้าหาดวงตาดำล้วนทีละนิด
ทันใดนั้น ลูกเต๋าสีขาวนมสดพลันสั่นระริก
ชายหนุ่มสะบัดข้อมือ โยนมันไปยังอีกฝั่งของเคาน์เตอร์อ่างล้างมือหรูหรา
ลูกเต๋าพิสดารหมุนตัวเองสักพัก ในที่สุดก็ทอยออกมาเป็นสี่แต้ม
ไคลน์เผยรอยยิ้มมุมปาก หยิบลูกเต๋าความน่าจะเป็นขึ้นมาอีกครั้ง ซักถามอย่างนุ่มนวลพลางเอนตัวเข้าไปใกล้
“แกไม่อยากฟังคอนเสิร์ตใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็ตอบฉันมา… หกแต้มหมายถึงยอมร่วมมือ ส่วนที่เหลือคือปฏิเสธ”
กล่าวจบ ชายหนุ่มโยนลูกเต๋าความน่าจะเป็นขึ้นไปบนอากาศ สายตาจ้องมองผลลัพธ์
ลูกเต๋าสีขาวนมสดตกลงบนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า กลิ้งกุกกัก ตามด้วยการเผยสัญลักษณ์หกแต้มสีแดง!
“ดีมาก” ไคลน์หัวเราะในลำคอพลางชมเชย
หลังจากโยนดวงตาดำล้วนกลับเข้าไปในมิติสายหมอก ชายหนุ่มเปิดประตูห้องน้ำ เดินกลับไปทางห้องนั่งเล่น
ท่ามกลางสายตาคาดหวังและเฝ้ารอจากนักปรุงยาอ้วน·ดัควีลล์และนกฮูกแฮร์รี่ ไคลน์ชะงักฝีเท้า โยนลูกเต๋าความน่าจะเป็นไปทางอีกฝ่าย
“ไม่!”
“อย่า!”
ดัควีลล์และนกฮูกแหกปากโหวกเหวกพร้อมกัน ด้วยกังวลว่าผลการทอยจะออกมาต่ำกว่าสามแต้ม รายหลังรีบกระพือปีกบินตามสัญชาตญาณ ถอยออกห่างจากนักปรุงยาอ้วนที่อาจถูกฟ้าผ่า
เสียงกระทบดังคมชัด ลูกเต๋าสีขาวนมสดหมุนกลิ้งไปบนโต๊ะกาแฟสักพัก ก่อนจะเผยผลลัพธ์ออกมาเป็นสองแต้ม
ขณะใบหน้าดัควีลล์เริ่มซีดเผือด ลูกเต๋าทอยตัวเองอย่างเกียจคร้านอีกรอบ หงายด้านสี่แต้มขึ้นมาแสดง
“ถัดจากนี้อีกสิบสองชั่วโมง มันจะทำตัวค่อนข้างเรียบร้อย” ไคลน์นั่งลงด้วยมาดสุขุม ก้มหน้าจัดการกับอาหารเที่ยงที่เริ่มเย็นชืด
วิธีของเขาได้ผล…?
ดัควีลล์มองต่ำ จ้องลูกเต๋าบนโต๊ะกาแฟ
จากนั้นสักพัก มันอดใจไม่ได้ที่จะลองเหยียดแขนไปพลิกลูกเต๋าเป็นหน้าหกแต้ม
เพียงปล่อยฝ่ามือออก ลูกเต๋าทอยตัวเองทันทีโดยปราศจากแรงลม กลับยังไปสี่แต้มตามเดิม
เจ๋ง…!
เกอร์มัน·สแปร์โรว์ใช้วิธีใดกันแน่… หรือความเชื่อของชนพื้นเมืองจะได้ผล ถ่ายอุจจาระออกมาแล้วเอาลูกเต๋าจุ่มลงไป? อุแหวะ…
ดัควีลล์ยอมรับผลลัพธ์แต่โดยดี ไม่ครุ่นคิดหาเหตุผลเพิ่มเติม ด้วยเกรงว่าตนอาจพ่นอ้วกเรี่ยราดห้องนั่งเล่น
เงยหน้าขึ้นมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังปาดเนยลงบนขนมปังอย่างสบายใจ ดัควีลล์เริ่มตระหนักว่า การยอมจ่ายหนึ่งพันปอนด์เพื่อใช้บริการบอดี้การ์ดระดับนี้นับว่าคุ้มค่าทุกเพนนี!
ด้วยฝีมือระดับพลเรือโจรสลัดของเขา หากมหาเศรษฐีคนใดประสบชะตากรรมคล้ายคลึงเรา พวกมันคงไม่ลังเลที่จะจ้างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตัวเอง… โชคยังดี เราต้องจ่ายเพียงสามร้อยปอนด์ ส่วนที่เหลือจะออกโดยอาจารย์…
เมื่อไม่ต้องกังวลว่าลูกเต๋าระยำจะเปลี่ยนหน้าไปอีกสิบสองชั่วโมง ดัควีลล์ถอนหายใจผ่อนคลาย อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้น ยืดเส้นยืดสาย
มันเดินไปทางหน้าต่างภายในห้อง เลือนมือเปิดหน้าต่างที่ปิดอยู่ เผยให้เห็นเมฆบางเบา ท้องฟ้าสูงโปร่ง และท้องทะเลกว้างใหญ่ด้านนอกลำเรือ
ผืนน้ำสีน้ำเงินเข้มโยกคลอนอย่างอ่อนโยน สะท้อนแสงแดดเจิดจ้าจนเกิดประกายวิบวับ ประหนึ่งใครบางคนนำทองคำไปโปรยจนทั่ว ฉากตรงหน้าปลุกดัควีลล์ให้ตื่นจากภวังค์ซบเซา คล้ายกับหัวใจได้รับความร่าเริงกลับคืน
แตกต่างจากอากาศในกรุงเบ็คลันด์ที่จะเริ่มอุ่นเมื่อย่างเข้าปลายกุมภาพันธ์ บรรยากาศรอบหมู่เกาะรอสต์มิได้เย็นจัดจนไม่เป็นอันทำอะไร แต่กลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ได้เห็นทัศนียภาพทางทะเลท่ามกลางอากาศอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ…
ไคลน์ถือขนมปังคุณภาพดีเดินมายืนด้านหลังดัควีลล์ รู้สึกคล้ายกับตัวเองเป็นสัตว์ที่เพิ่งตื่นจากการจำศีล
ชายหนุ่มมิได้ท่องบทกวีที่แล่นเข้ามาในหัว ส่วนหนึ่งเพราะสิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับบุคลิกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ แต่อีกส่วนหนึ่งก็คือ มันไม่อยากได้ยินดัควีลล์สรรเสริญความปรีชาสามารถของจักรพรรดิโรซายล์
…
ตกเย็น ลูกเต๋าไม่เปลี่ยนแปลงตลอดทั้งวัน แต่อากาศภายนอกเรือเริ่มผันผวน เมฆดำก่อตัวพร้อมพายุ ฝนฟ้าคะนองเริ่มตั้งเค้า
นี่คืออันตรายที่พบได้บ่อยในทะเล ไม่เว้นแม้แต่การล่องเรือไปบนเส้นทางที่บรรพชนสำรวจแล้วว่าปลอดภัย เหตุการณ์ในทำนองเดียวกันสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ และมิได้น่ากลัวมากนักในสายตาชาวเรือ
ไคลน์มองไปยังคลื่นทะเลสองฝั่งที่มีขนาดมหึมาราวกับสูงเสียดฟ้า พลันเกิดความรู้สึกว่าเรือลำนี้กำลังแล่นเข้าไปในหุบเขาสีฟ้าครามที่พร้อมพังครืนตลอดเวลา
ความรู้สึกถูกข่มขวัญทำให้ตัวมันที่เป็นผู้วิเศษลำดับกลาง เกิดอยากจะสวดวิงวอนต่อองค์เทพขึ้นมาจับใจ ภาวนาให้เรือโดยสารของตนผ่านพ้นพายุได้อย่างปลอดภัย
เข้าใจแล้วว่าทำไมบรรดาลูกเรือ โจรสลัด และพ่อค้าที่ดำรงชีวิตในทะเลเป็นเวลานานจึงหวาดกลัวต่อเทพวายุสลาตันโดยมิอาจขัดขืน บ้างมาก บ้างน้อย แตกต่างกันไป…
ไคลน์แอบถอนหายใจ
แม้จะไม่เชื่อว่าพายุลูกนี้สามารถจมเรือโดยสารพลังเครื่องจักรไอน้ำลงได้ แต่มันก็ไม่คิดประมาท พึมพำคำสวดวิงวอนไปยังเทพสมุทร คาเวทูว่า หนึ่งในตัวตนของตัวเอง
ไคลน์กังวลว่า ขณะพายุกำลังโหมกระหน่ำ ลูกเต๋าความน่าจะเป็นอาจเกิดคลั่งขึ้นมา เปลี่ยนตัวเองกลายเป็นหนึ่งแต้มและจมเรือลงก้มทะเล ดังนั้น ความรอบคอบคือสิ่งจำเป็น
ชายหนุ่มไม่เคลือบแคลงคำอธิบายของอสรพิษแห่งชะตา วิล·อัสติน ที่บอกว่าลูกเต๋าความน่าจะเป็นจะเชื่องนานเวลาสิบสองชั่วโมงหลังจากถูกข่มขู่ครั้งแรก แต่นั่นคือในกรณีทั่วไป
ในเมื่อลูกเต๋าความน่าจะเป็นคือสมบัติปิดผนึกที่มีสัญญาณชีพ ก็ควรประเมินพฤติกรรมของมันให้เหมือนกับมนุษย์ มิใช่สิ่งของที่จะทำตามกฎและกลไกเพียงอย่างเดียว ต้องคอยระวังการฉวยโอกาสจากอีกฝ่าย…
มองไปยังดัควีลล์และนกฮูกที่เผยสีหน้ากระวนกระวายเนื่องจากพายุ ไคลน์กล่าวเสียงเรียบ
“ฉันจะเข้าไปพัก พวกนายคอยจับตามองลูกเต๋าไว้ ผลัดเวรกันให้ดี ห้ามประมาทเด็ดขาด”
นี่คือความไม่ปรกติ… ใช่ไหม…
ฟอร์สเดินกลับออกมาอย่างระมัดระวัง ไม่มีการตรวจสอบเพิ่มเติมโดยไม่จำเป็น
หลังจากเดินไปจนสุดเส้นถนนวิลเลียมส์ หญิงสาวตรงกลับบ้านทันที เรียบเรียงความผิดปรกติและวัตถุดิบสำหรับเขียนนิยายลงบนกระดาษแผ่นใหม่เพื่อให้อ่านง่าย จากนั้นก็ประกอบพิธีกรรมสังเวยถึงมิสเตอร์ฟูล รบกวนให้อีกฝ่ายส่งต่อไปยังเดอะเวิร์ล
ฟอร์สเล่าทุกสิ่งที่เห็นโดยไม่ปิดบัง แม้บางเรื่องอาจดูเหมือนไร้สาระ แต่เธอก็มิได้ด่วนตัดสินเอาเองอย่างโง่เขลา ปล่อยให้เดอะเวิร์ลไปพิจารณาเอาเอง
…
เหนือสายหมอก ภายในวังโบราณ
ไคลน์ก้มหน้าอ่านรายงานจากมิสเมจิกเชี่ยน
มีร่องรอยการขุดดินภายในห้องสวดมนต์ร้างกลางถนนวิลเลียมส์? เรากับมาดามชารอนกลบร่องรอยไปแล้วไม่ใช่หรือ… มีใครบางคนพยายามขุดกลับลงไปใหม่? หรือจะเป็นราฟเตอร์·พาวน์ ลูกหลานตระกูลทูดอร์คนนั้น?
แต่มันเคยเกือบตายเพราะถูกวิญญาณมารสิงร่างมาแล้วครั้งหนึ่ง หากไม่มีผู้ช่วย เกรงว่าคงไม่กล้าลองดีอีกรอบแน่…
“ยังจะเป็นใครไปได้อีก…” ไคลน์ครุ่นคิดเป็นเวลานาน แต่ก็ยังมิอาจระบุตัวผู้ต้องสงสัย
มันก้มหน้าอ่านรายงานส่วนถัดไป
เมื่อยิ่งอ่านรายงานที่ถูกเขียนอย่างประณีต ชายหนุ่มเริ่มพบความผิดปรกติที่เด่นชัด
“บนถนนวิลเลียมส์เต็มไปด้วยชาวต่างชาติ โดยส่วนมากมักเป็นฟุซัคและอินทิส… ฟังดูไม่เหมือนกับถนนวิลเลียมส์ที่เราเคยไปเยือนเมื่อหลายเดือนก่อน… แถวนั้นมีบริษัทของฟุซัคและอินทิสมาเปิดใหม่หรือไง ฟุซัค… อินทิส…”
ไคลน์เคี้ยวคำงึมงำ ทันใดนั้นก็ฉุกคิดบางสิ่งได้อย่างกะทันหัน
นั่นก็คือ ไม่ว่าจะตระกูลไอน์ฮอร์นที่เป็นราชวงศ์ของจักรวรรดิฟุซัค หรือตระกูลเซารอนที่เป็นอดีตราชวงศ์ของสาธารณรัฐอินทิส พวกมันต่างครอบครองเส้นทาง ‘นักล่า’ หรืออีกชื่อหนึ่งคือเส้นทาง ‘นักบวชสีชาด’ เป็นเลือดของสองในสามตระกูลที่วิญญาณมารต้องการนำไปปลดผนึกให้ตัวเอง!
เมื่อรวมเข้ากับลูกหลานตระกูลเมดีซีที่ถูกทำลายไปบนเกาะแบนชี สามตระกูลใหญ่ที่ครอบครองเส้นทาง ‘นักบวชสีชาด’ ล้วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ทั้งหมด!
“หมายความว่า การทำลายท่าเรือแบนชีจนราบเป็นหน้ากลอง ส่งผลให้ตะกอนพลังของตระกูลเมดีซีกลับมารวมตัวกับวิญญาณมารที่น่าจะเป็น ‘เทวทูตสีชาด’ ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้ความเข้มข้นของตะกอนพลังในตัวมันเพิ่มสูงขึ้น จนถึงขั้นดึงดูดคนของตระกูลเซารอนและไอน์ฮอร์นให้เข้ามาหา? ไม่สมเหตุสมผล… ถ้าคนของโบสถ์วายุสลาตันไม่พบตะกอนพลังในจุดเกิดเหตุ พวกมันก็ต้องเอะใจบ้าง และพบความผิดปรกติที่เกิดขึ้นบนถนนวิลเลียมส์ คงเป็นเหตุผลอื่น… หรือว่าวิญญาณมารในซากอาคารใต้ดินโบราณ จะให้บอกใครบางคนช่วยดึงดูดคนของตระกูลไอน์ฮอร์นและเซารอนมารวมตัวกัน? แล้วเป็นใคร… มีเพียงไม่กี่คนที่ทราบเรื่องวิญญาณมารตนนั้น… แค่เรา และมาดามชารอน…”
ครุ่นคิดมาถึงจุดนี้ ไคลน์พบความเป็นไปได้อีกหนึ่งทาง
นั่นคือราฟเตอร์·พาวน์ ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลทูดอร์ที่เคยถูกวิญญาณมารครอบงำ
ชายคนนั้นอาจกลายเป็นทาสรับใช้ให้วิญญาณมารโดยไม่รู้ตัว และแอบแพร่กระจายข่าวของมันออกไป!
“ในตอนนั้น วิญญาณมารแสร้งขอความช่วยเหลือจากมาดามชารอนและเรา เพียงเพื่อให้พวกเราตายใจว่ามันไม่มีคนอื่นอีกแล้ว! แต่ในความเป็นจริง ลับหลังมันแอบบังคับให้ทายาทของตัวเองเสี่ยงเผยแพร่ความลับ!”
ไคลน์พลันตะลึง เพิ่งตระหนักว่าตนถูกวิญญาณมารปั่นหัวมาตลอด
……………………

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ