ขณะที่เสียงอันยากอธิบายกำลังดังกังวาน ใบหน้าของซินเธียเริ่มบิดเบี้ยว เผยให้เห็นความเจ็บปวดชัดเจน
เธอพยายามดิ้นรน สีหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสับสนและหวาดกลัว คล้ายกับเพิ่งตระหนักว่าตัวเองอยู่ในสภาพที่ไม่ปรกติ
“ท่านนายพล…” หญิงสาวกล่าวเสียงสั่น มองตรงด้วยสายตาสิ้นหวัง แต่ก็พบเพียงใบหน้าอันแปลกตาของคนที่ตนไม่รู้จัก
ในความเป็นจริง ไคลน์สามารถใช้เศษเนื้อและวิญญาณซินเธียป้อนเป็นอาหารให้ยุบพองหิวโหยได้ทันที แต่ท้ายที่สุด ชายหนุ่มทำเพียงถอนหายใจยาว กล่าวอย่างสุขุม
“ในอนาคต อย่าได้สัมผัสกับวัตถุประหลาดหรือไปเข้าศาสนานอกรีตอีก”
ตามความคิดของไคลน์ ซินเธียคงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวัตถุแปลกปลอม หรือไม่ก็เป็นสมาชิกของศาสนาอันตราย แต่ไม่ว่าจะทางใดก็ล้วนเกี่ยวข้องกับ ‘ตัวตนที่ห้ามจ้องมอง’ ทั้งสิ้น เป็นเหตุผลว่าทำไมไคลน์ถึงพูดออกไปเช่นนั้น
ซินเธียเข้าใจในบางสิ่งทันที ด้วยร่างที่เหลือเพียงศีรษะกับเศษเลือด หญิงสาวกล่าวพร้อมกับระเบิดน้ำตา
“ฮึก… มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย… นิกายกายาสวรรค์… ท่านนายพล ท่านนายพล! ฉันไม่อยากตาย ช่วยด้วย! ฉันไม่อยากตาย… ช่วยด้วย…”
มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย…
นิกายกายาสวรรค์… ไม่เคยมีอยู่ในสารบบความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับของเรา…
ขณะสติซินเธียกำลังกระเจิดกระเจิงและเอาแต่ร้องขอความช่วยเหลือ ไคลน์ไม่เปลี่ยนสีหน้า เพียงจ้องเธอด้วยสายตาเวทนา
จากนั้น ชายหนุ่มอ้าแขนกว้าง กล่าวด้วยท่วงทำนองลุ่มลึก
“ความตายมิใช่จุดจบ คุณจะถูกโอบกอดโดยเหล่าทวยเทพ”
ลำแสงสีขาวบริสุทธิ์สาดลงมาอีกระลอก ศีรษะและใบหน้าของซินเธียหยุดการเคลื่อนไหวโดยสมบูรณ์
ดวงตาของเธอเผยความหดหู่ในวาระสุดท้าย แต่ก็ยังเจือความหวังที่จะได้เข้าสู่ดินแดนของเหล่าทวยเทพหลังความตาย
ภายใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรง อวัยวะสุดท้ายของหญิงสาวถูกแผดเผาด้วยความเร็วที่มองเห็นด้วยตาเปล่า จนกระทั่งหายไปโดยสมบูรณ์ เป็นการชำระล้างที่ไม่เหลือร่องรอย
ไคลน์ยืนจ้องด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่แปรเปลี่ยนอากัปกิริยาเป็นเวลานาน
เมื่อทุกสิ่งจบลง ชายหนุ่มยกมุมปากเล็กน้อย เผยรอยยิ้มขื่นขม
“เป็นโลกที่บ้าคลั่งและวุ่นวายอะไรเช่นนี้”
ประสบการณ์เมื่อครู่ทำให้ไคลน์ไม่กล้าสื่อวิญญาณโดยตรง ไม่แม้แต่จะนำซินเธียเข้ามิติหมอกเพื่อ ‘สอบสวน’ ด้วยเกรงว่าออร่าความชั่วร้ายและกัดกร่อนที่ยังหลงเหลือจะก่อปัญหา ไคลน์ทำได้เพียงชำระล้าง ให้ซินเธียได้พบกับสันติสุขครั้งสุดท้ายของชีวิต มันเชื่อว่าโลกนี้มีทวยเทพ และดินแดนหลังความตายมีจริง
ในส่วนของผลข้างเคียงจากยุบพองหิวโหย ชายหนุ่มไม่เป็นกังวลนัก หลังจากอยู่ร่วมกันมานาน ไคลน์เริ่มจับทางได้แล้วว่า สมบัติวิเศษที่สมควรเรียกว่าสมบัติผนึกชิ้นนี้ เริ่มผ่อนปรนให้ตนพอสมควร ไม่เคร่งครัดว่าต้องกินอาหารทันทีหลังจากใช้พลัง แต่จะขยายกรอบเวลาไปเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมงหลังจากนั้น และจะใช้พลังสักกี่ครั้งก็ได้ภายในระยะเวลาดังกล่าว โดยไม่ต้องมีการกินชดเชย
ส่งผลให้ไคลน์มีเวลาในการหา ‘อาหาร’ อย่างเหลือเฟือ โดยไม่ต้องทำร้ายคนบริสุทธิ์
หรือต่อให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน เราก็แค่โยนมันเข้ามิติหมอก…
ไคลน์มองไปรอบตัว พบว่าเหล่าบอดี้การ์ดของนายพล บุรุษรับใช้ และสาวใช้ ล้วนหลุดพ้นจากอำนาจของแรงกระหายอย่างสมบูรณ์แล้ว เพียงหมดสติหลับไปถ้วนหน้า รวมถึงสาวใช้ที่บีบคอเพื่อนร่วมงานและอยากได้คำชมเชยด้านนอก กับลัวอาน เลขานุการผมทอง
“คิดไว้ไม่มีผิด เมื่อขจัดต้นตอได้ ปัญหาทั้งหมดก็จบลง จากข้อมูลของนายพลอมิรุส ลัวอานอยู่ในลำดับ 6 เป็นอย่างน้อย โดยคาดว่าน่าจะเป็น ‘บารอนแห่งการเน่าเปื่อย’ แต่บางที เขาอาจแอบเลื่อนเป็นลำดับ 5 โดยไม่แจ้งกองทัพ… ลัวอานถูก ‘ขยาย’ แรงกระหายเหมือนกับคนอื่นในคฤหาสน์ แปลว่าพลังของซินเธียในร่างสัตว์ประหลาดต้องมีระดับสูงมาก แต่ทำไมในกรณีของเราถึงเป็นแค่ภาวะ ‘ฝันเปียก’ ธรรมดา หากไม่นับสมบัติวิเศษ เราและลัวอานควรจะมีระดับตัวตนเท่ากัน หรืออีกฝ่ายอาจสูงกว่า เพราะพลังกีดขวางของมิติหมอก? เพราะกฎจากพันธสัญญาที่อมิรุสตั้งขึ้น? หรือเพราะทั้งคู่ช่วยส่งเสริม? ไม่ผิดแน่ หากไม่มีสิ่งเหล่านั้น ตัวเราที่เป็นเป้าหมายหลักในการกระตุ้นของซินเธีย คงถูกขยายแรงกระหายออกมาถึงขีดสุด ไม่จบลงแค่ฝันเปียกแน่นอน”
ไคลน์ยกมือขวาขึ้นมาลูบหน้า เปลี่ยนกลับไปเป็นอมิรุส·รีเวลต์
เนื่องจากทุกคนในคฤหาสน์รอดพ้นจากวิกฤติแน่นอนแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่รีบร้อนปลุกให้ตื่น เพียงเดินสำรวจรอบห้องนอนใหญ่อย่างระมัดระวัง จนกระทั่งสัมผัสวิญญาณถูกกระตุ้น
เดินหนึ่งก้าว ไคลน์เข้าใกล้จุดเดิมที่ซินเธียถูกแสงชำระล้าง ก้มลงหยิบสร้อยคอจากกองเสื้อผ้าที่วางอยู่บนเตียง
เป็นจี้ห้อยคอที่ยาวประมาณหนึ่งข้อนิ้ว เชื่อมติดกับสร้อย ผิวสีดำด้าน ลักษณะทางกายภาพคล้ายนอแรด มีรอยแตกร้าวหลายจุด นอกจากกลิ่นอายความชั่วร้ายเจือจาง ไคลน์ไม่พบพลังวิญญาณด้านใน
“นี่คือวัตถุอันตรายที่ทำให้ซินเธียกลายเป็นสัตว์ประหลาด? มันเชื่อมต่อกับตัวตนภายนอก และถ่ายพลังของอีกฝ่ายเข้ามาในร่างซินเธีย?”
ไคลน์คาดเดาเบื้องต้นจากสถานการณ์และประสบการณ์ส่วนตัว
มันตรวจสอบสักพัก เมื่อไม่พบสิ่งใดจึงหยิบกระดาษคนตัวแทนออกมาสะบัด ลบร่องรอยและฉากเหตุการณ์ตกค้าง จากนั้นก็เผาทิ้ง
ถัดมา ไคลน์เดินไปทางเลขาลัวอาน ผู้ถูกดอกไม้เขมือบไปพักใหญ่และยังหลงเหลือร่องรอยการถูกกัดกร่อน ก่อนจะงอเข่า ใช้ปลายเท้าเตะเพื่อปลุก
ตามนิสัยของอมิรุส เขาคงไม่โน้มตัวลงไปปลุกเลขาที่นอนหมดสติแน่… จะว่าไป… สีหน้าโอหังของหมอนี่ ดูแล้วก็น่าหมั่นไส้เอาเรื่องเหมือนกัน อยากจะลองหวดเต็มแรงดูสักที…
ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไคลน์หยุดเท้า พลางยืนจ้องลัวอาน ผู้กำลังฟื้นคืนสติกลับมาทีละนิด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ