หมายความว่า สิ่งที่แอนเดอร์สัน·ฮู้ดเล่าในความฝันคือเรื่องจริง มันสนใจการล่าสมบัติมากกว่า!
น่าเสียดายที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ยังไม่เคยสังหารนายพลโจรสลัด ไม่อย่างนั้น ฉายานักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดคงไม่หนีไปไหน… ไคลน์ไม่ประมาท เพียงจ้องไปทางอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา
หากแอนเดอร์สัน·ฮู้ดเล่นตุกติกแม้เพียงเล็กน้อย ชายหนุ่มจะโยนแผ่นยันต์โลหะในมือเข้าใส่ทันที คาถากระตุ้นของยันต์ทุกใบล้วนเหมือนกันหมด และด้วยลำดับในปัจจุบัน ไคลน์สามารถท่องคาถาไปพร้อมกับโอนถ่ายพลังวิญญาณได้
เมื่อได้ยินคำบรรยายของพลเรือเอกดวงดาว แอนเดอร์สันส่ายหน้าหนักแน่น
“ผิดแล้ว ฉันไม่ใช่นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด”
หืม… อย่างน้อยก็ยังรู้จักถ่อมตัว… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ
แอนเดอร์สันหัวเราะในลำคอพร้อมกับแสยะยิ้ม
“พลเรือเอกดวงดาว เธอควรเพิ่มคำขยายเข้าไปด้วย… ในระดับต่ำกว่าครึ่งเทพ! ใช่แล้ว! นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับต่ำกว่าครึ่งเทพ!”
“…”
ขอถอนคำพูด… มุมปากไคลน์กระตุกเล็กน้อย
เมื่อเห็นพลเรือเอกดวงดาวไม่ตอบโต้ แอนเดอร์สันลดมือลงอย่างเป็นธรรมชาติ
“แม้ทะเลในแถบนี้จะเต็มไปด้วยอันตราย แต่ก็มีสมบัติมากมายซุกซ่อนเช่นกัน ฉันเชื่อว่าพวกนายคงทราบดีอยู่แล้ว… ในอดีต เคยมีนักผจญภัยจำนวนมาก ไม่สิ ต้องเรียกว่านักล่าสมบัติ พวกมันพยายามเข้ามาแสวงหาโชคลาภ แต่เกือบทั้งหมดมักไม่รอดชีวิตกลับไป… หึหึ ฉันกำลังพูดถึงคนส่วนใหญ่ แต่ก็มีส่วนน้อยที่โชคดีและกอบโกยได้อย่างมหาศาล… หนึ่งในนั้นคือกลุ่มนักล่าสมบัติที่มีผู้นำเป็นยอดฝีมือจำนวนสองคน พวกเขาอ้างตัวว่าเชี่ยวชาญเกี่ยวกับทะเลแถบนี้มาก รู้ว่าซากปรักหักพังใดไม่ควรสำรวจ รู้ว่าซากปรักหักพังใดสามารถสำรวจได้ รู้ว่าเส้นทางปลอดภัยเป็นเช่นไร รู้จักวิธีล่าสัตว์ประหลาดหลายชนิด และรู้ว่าควรหลีกเลี่ยงสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่คลุ้มคลั่งด้วยวิธีใด… ฉันนึกสงสัยมาตลอดว่าเก่งสมคำร่ำลือหรือไม่ จนในที่สุดก็ชักชวนมาทำงานด้วยกันสำเร็จ”
“แล้วไงต่อ?” กระจกตาสีม่วงของพลเรือเอกดวงดาว แคทลียา กำลังสะท้อนภาพใบหน้าอีกฝ่าย
แอนเดอร์สันถอนหายใจ
“พวกเราเริ่มต้นอย่างราบรื่น สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายและเก็บเกี่ยวสิ่งของมีค่าที่นักล่าสมบัติรุ่นก่อนเหลือทิ้งไว้ได้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังออกล่าสัตว์ประหลาดและรวบรวมวัตถุดิบโอสถได้หลายชนิด… แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อพวกเราพบวิหารประหลาดบนเกาะน้ำท่วมแห่งหนึ่ง ด้านในมีจิตรกรรมฝาผนังสภาพดี เป็นภาพเดียวกับที่สุภาพบุรุษท่านนี้เห็นในความฝัน”
มันใช้ปลายคางชี้มาทางไคลน์
“เข้าเรื่องสักที” ชายหนุ่มตอบสุขุม
แอนเดอร์สันส่ายหน้าพลางยิ้มขื่นขม
“จิตรกรรมฝาผนังดังกล่าวเต็มไปด้วยความพิสดาร เป็นภาพวาดเกี่ยวกับการเดินทางข้ามทะเลที่ถูกแยกออกเป็นสองซีก… ผู้นำคณะเดินทางถูกวาดให้มีลักษณะคล้ายคลึงเทวทูต เส้นผมสีเงินยาวถึงแผ่นหลัง ใบหน้าอ่อนโยนนุ่มนวล… ฉันคือคนแรกที่ไปถึงจิตรกรรมฝาผนังดังกล่าว และสิ่งที่ทำมีเพียงการเหยียดแขนขวาออกไปวาดอากาศตามความเคยชิน ฉันพูดความจริง มิได้สัมผัสกับผิวภาพแม้แต่น้อย ระยะห่างเกินกว่าห้าเซนติเมตรอย่างแน่นอน แต่เรื่องน่าตกตะลึงได้เกิดขึ้น ดวงตาของเทวทูตลืมขึ้นอย่างกะทันหัน”
“…”
ฉายานักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดคงได้มาเพราะนิสัยชอบหาเรื่องใส่ตัว… ไคลน์ยิ้มเย็น ๆ โดยปราศจากความเห็นใจ
“เทวทูตผมสีเงิน?” แคทลียาย้อนถาม
“ถูกต้อง แต่ฉันไม่รู้ว่าเป็นเทวทูตตนใด อย่างน้อยก็ไม่เคยเห็นในจิตรกรรมฝาผนังของเจ็ดโบสถ์หลักมาก่อน หรืออีกหนึ่งความเป็นไปได้ก็คือ จิตรกรอาจวาดขึ้นมาเองจากจินตนาการโดยมิได้อ้างอิงจากความเป็นจริง” แอนเดอร์สันยกมือลูบไล้เส้นผม พลางพบว่าสุภาพบุรุษผู้สวมเสื้อคอกลม แจ็คเก็ตสีน้ำตาล กางเกงขาบาน และหมวกแก็ป กำลังจ้องมาทางตนด้วยสายตาเย็นชา คล้ายกับพร้อมโจมตีทุกเมื่อหากพบความไม่ชอบมาพากลแม้เพียงเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน ไคลน์กำลังสนใจประเด็นอื่น
เขาเชี่ยวชาญภาพจิตรกรรมมาก อย่างน้อยก็เหนือกว่าคนคนส่วนใหญ่ ที่มิอาจแปลความหมายของจิตรกรรมฝาผนังทางศาสนาได้แตกฉาน…
แคทลียาผู้คิดไม่ตก หันไปจ้องไคลน์ด้วยดวงตาแฝงความสงสัย
เมื่อครู่แอนเดอร์สัน·ฮู้ดระบุว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็ได้เห็นภาพดังกล่าวเช่นกัน
บางที หากเป็นสมาชิกคนสำคัญที่ได้รับพรจากท่าน เขาอาจทราบว่าเป็นภาพของเทวทูตตนใด… พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา แอบเชื่อว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์มีคำตอบในใจแล้ว
สำหรับไคลน์ เมื่อมันพิจารณาว่า ถึงจะยังไม่บอกคำตอบเธอในตอนนี้ แต่มาดามเฮอร์มิทคงหาโอกาสถามตนในชุมนุมทาโรต์อยู่ดี จึงตัดสินใจไม่ปิดบังเป็นความลับ เพียงมอบคำตอบอย่างเรียบง่าย
“ผู้กลืนหาง โอโรเลอุส”
ผู้กลืนหาง โอโรเลอุส? เทวทูตโชคชะตา? ราชาเทวทูต? แคทลียาเม้มริมฝีปากแน่น แสงสีม่วงในดวงตาทวีความเข้มข้นโดยไม่รู้ตัว
ต้องขอบคุณคำแนะนำจากมิสจัสติส เธอได้ยินชื่อดังกล่าวครั้งล่าสุดจากชุมนุมทาโรต์
และนั่นยังเป็นหนแรกที่แคทลียาตระหนักถึงการมีอยู่ของราชาเทวทูต โดยหลังจากผ่านมาเพียงไม่กี่เดือน เธอก็มีโอกาสได้พบเบาะแสบนโลกความจริง!
“ผู้กลืนหาง โอโรเลอุส?” แอนเดอร์สันเคี้ยวคำด้วยสีหน้าเหม่อลอย
ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ คล้ายกับไม่ต้องการเปลืองแรงอธิบาย
เมื่อเห็นพลเรือเอกดวงดาวเงียบงัน แอนเดอร์สันไม่ถามซักไซ้ เพียงหัวเราะและเล่าต่อ
“ในตอนนั้น ฉันคิดว่าตัวเองคงตาฝาดไป เพราะนอกเหนือจากการลืมตา ภาพจิตรกรรมฝาผนังก็ไม่มีความผิดปรกติอื่นใดอีก… หลังจากนั้น ทีมสำรวจของเราแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ส่วนใหญ่ตกใจมากกับเรื่องที่ฉันเล่า จึงตัดสินใจไม่สำรวจวิหารต่อ ส่วนอีกฝ่ายซึ่งมีจำนวนราวหนึ่งในสาม ต้องการสำรวจลึกเข้าไปในวิหาร ทางกลุ่มใหญ่จึงตัดสินใจรอในจุดเดิมตลอดทั้งวัน แต่แม้จะผ่านไปแล้วสามวันคืนเต็ม พวกเขาก็ยังไม่กลับออกมา… เราทุกคนต่างเป็นนักล่าสมบัติมากฝีมือ ย่อมตระหนักได้ว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น หลังจากรออีกสักพักจนแน่ใจ ไม่มีใครกล้าสำรวจหรือรออยู่ในวิหารต่อ ทุกคนรีบเผ่นหนีและแล่นเรือย้อนกลับทางเดิม เมื่อพิจารณาว่าแต่ละคนสามารถกอบโกยสมบัติได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ จึงไม่มีใครคิดเอาตัวเองกลับไปเสี่ยงอันตรายอีก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ