ในตอนนี้ ดวงจันทร์สีแดงเข้มที่ส่องผ่านกลุ่มหมอก กำลังฉาบไปทั่วซากอาคารโบราณ เทียบกับในตอนแรก สีแดงของแสงจันทร์เข้มขึ้นมาก ดูราวกับเป็นเลือดสด
ไคลน์รักษามาดเย็นชาอันเป็นเอกลักษณ์ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ กล่าวเสียงเรียบ
“คุณเคยสำรวจตรงไหนบ้าง”
ขณะพูด ไคลน์เหลือบมองตะเกียงในมือแฮงแมนที่ยังรอดมาถึงตอนนี้แม้จะผ่านอะไรมามาก แสงสะท้อนจากเปลวไฟทำให้กล้ามเนื้อชายหนุ่มหดเกร็งโดยไม่รู้ตัว
แม้ว่าไฟจะถูกคั่นด้วยกระจกหนาและโครงเหล็ก แต่ก็มากพอจะทำให้มันหวาดกลัว
อัลเจอร์มิได้ใส่ใจกับการท่าทีผิดปรกติของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ยกมือขวาข้างที่ถือมีดสั้น ชี้ไปทางอาคารขนาดใหญ่ที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดด้านใน
“ตรงนั้น”
ปัจจุบันเหลือเพียงโครงหลักของอาคาร จึงแทบเดาไม่ออกว่าหน้าตาเดิมเป็นอย่างไร พิจารณาจากส่วนที่เหลือ สามารถยืนยันได้แค่ว่าผนังหนา วิจิตรงดงาม หน้าต่างแคบ และครั้งหนึ่งเคยมีหอคอยสูงและหอนาฬิกา รูปลักษณ์เก่าแก่เรียบง่าย
“สถาปัตยกรรมแบบนี้เคยได้รับความนิยมในช่วงต้นของยุคสมัยที่สี่ จากบันทึกของโบสถ์วายุสลาตัน ทางศาสนจักรเคยสร้างวิหารที่คล้ายคลึงกันมาก่อนในอดีต รวมถึงโบสถ์หลักแห่งอื่นในยุคเดียวกัน” อัลเจอร์ประทับใจกับซากปรักหักพังแห่งนี้มาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อให้เข้าใจสถานการณ์และปูมหลังอย่างชัดเจน “จุดเด่นคือการมีวิหารอยู่ด้านบนและสุสานอยู่ด้านล่าง อาศัยหลักการชีวิตและความตายรวมเป็นหนึ่ง แต่ผมไม่มั่นใจว่าการตกแต่งภายในของวิหารเก่าหลังนี้จะตรงตามคำอธิบายหรือไม่ เพราะยังไม่เคยสำรวจเข้าไปลึก”
บางที ที่นี่อาจเป็นสถาปัตยกรรมจากยุคสมัยที่สาม… ไคลน์คาดเดาพลางเดินไปทางซากอาคารที่สูงผิดปกติ เมื่อลองนำตะเกียงไว้ด้านหลัง ชายหนุ่มสามารถเพลิดเพลินไปกับแสงสว่างโดยไม่ต้องเห็นเปลวไฟ
ทั้งสองเดินขึ้นบันไดหินสีเทาขาวจนกระทั่งถึงทางเข้า พบเสาหินเก่าแก่และโดมหลังคนที่โค้งเข้าหาจุดศูนย์กลาง
ไคลน์ไม่รีบร้อนเข้าไป นำมือซ้ายล้วงกระเป๋า หยิบเหรียญทองออกมาพลิกเล่นระหว่างนิ้ว พึมพำบางสิ่งในปาก
ทันใดนั้น มันดีดเหรียญทองเสียงดัง แบมือและหันไปถามแฮงแมน
“อะไรที่ทำให้คุณเชื่อว่า วิหารแห่งนี้ซ่อนสมบัติซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่าไพ่เย้ยเทพ?”
กล่าวจบ มันมองเหรียญทองที่ตกลงบนฝ่ามือ ก่อนจะเก็บกลับ
อัลเจอร์ชี้เข้าไปด้านใน
“อย่างที่เคยเล่าให้ฟัง ตอนนั้นผมยังแข็งแกร่งไม่เท่าคีลิงเกอร์ ประสาทสัมผัสในการตรวจสอบไม่เฉียบแหลมเท่าหมอนั่น ไม่มีทางรู้ว่าอีกฝ่ายเห็นอะไร ทำได้เพียงเดาจากคำพูดในทำนองว่า ภายในนั้นมีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ และต้องมีลำดับไม่ต่ำกว่า 5 ในการสำรวจ… ส่วนสมบัติจะเป็นอะไรขั้น ผมเชื่อว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังใกล้กับทางเข้า รวมถึงร่องรอยบนพื้น อาจตอบคำถามบางอย่างได้”
ไคลน์พยักหน้า เดินผ่านทางเข้าที่แสงจันทร์สีแดงส่องไม่ถึง เสื้อกันลมสีดำบนร่างกายพัดกระพือแผ่วเบา ส่วนอัลเจอร์ถือตะเกียงและมีดสั้นเดินตาม
ผ่านทางเข้าประตู ไคลน์อาศัยแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาจากช่องว่างบนหลังคาโดม มองเห็นห้องโถงลึกด้านหน้า รวมถึงเสาหินเก่าแก่ที่เหลือเพียงครึ่งท่อน
สุดปลายทางไม่ใช่แท่นบูชา ไม่มีบันไดพาขึ้นไปชั้นบน มีเพียงความดำมืดที่ยากจะหาคำตอบ อาจเป็นทางที่นำไปสู่ชั้นใต้ดิน
ไม่ใช่โครงสร้างแบบวิหารด้านบน หลุมศพด้านล่าง… แต่ทั้งวิหารและสุสานล้วนอยู่ใต้ดิน? อย่าเพิ่งด่วนสรุป ต้องลงไปดูให้แน่ใจ… ไคลน์เหลียวซ้ายแลขวาตามสัญชาตญาณ พบประตูด้านข้างฝั่งละหนึ่งบาน แต่ข้างในถูกซากวิหารถล่มลงมาปิด ไม่สามารถใช้การได้
ภาพจิตรกรรมฝาผนังและร่องรอยบนพื้นใกล้กับทางเข้า… ชายหนุ่มทบทวนคำพูดของแฮงแมน เดินเฉียงหน้าสองก้าวและปล่อย ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลในสภาพล่องหน อาศัยเนตรมองกลางคืน พิจารณาภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เหลืออยู่บนผนัง
พื้นหลังของจิตรกรรมฝาผนังเป็นภูเขางดงาม ด้านบนสุดมีไม้กางเขนขนาดใหญ่ปกคลุมไปด้วยแสงระยิบระยับ
ด้านหน้าไม้กางเขน กลุ่มคนรูปร่างแปลกตากำลังยืนเด่นสง่า ประกอบด้วยเทวทูตสองปีก สี่ปีก และหกปีก
นี่มัน… เพียงไคลน์ชำเลืองเห็น ความรู้สึกคุ้นเคยผุดขึ้นในใจทันที
ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่คล้ายคลึงกัน มันเคยเห็นในอนุสาวรีย์บรรจุศพของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์!
เพ่งสายตาอีกครั้ง ไคลน์พบความแตกต่างอย่างรวดเร็ว ไม่มีทารกสองคนที่เป็นตัวแทนของอามุนด์และอาดัม ไม่มีเทวทูตสิบสองปีก บุคคลสง่างามซึ่งปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ด้านหน้ากางเขน กำลังยกมือทั้งสองข้างระดับอก ถือแผ่นศิลาเรียบง่ายแปลกตา
แผ่นศิลาถูกวาดอย่างคลุมเครือ แต่ก็มอบความรู้สึกเก่าแก่และร่วมสมัย ศักดิ์สิทธิ์และความชั่วร้าย ขัดแย้งในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
แผ่นศิลา… รูม่านตาไคลน์ขยายขนาด ชื่อที่สอดคล้องแล่นเข้ามาในหัว
ศิลาเย้ยเทพ!
นี่คงเป็นเทพสุริยันบรรพกาล พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งที่เมืองเงินพิสุทธิ์นับถือ… นึกแล้วเชียว ‘ศิลาเย้ยเทพ’ เกี่ยวข้องกับท่านจริงๆ … แต่ไม่รู้ว่าเป็นศิลาเย้ยเทพแผ่นแรกหรือแผ่นที่สอง… ไคลน์เริ่มเข้าใจผิวเผินว่าวิหารแห่งนี้เป็นของใคร ขณะเดียวกันก็เริ่มเชื่อว่า อาจมีสิ่งล้ำค่าและสำคัญซ่อนอยู่ในส่วนลึกของซากปรักหักพัง
ชายหนุ่มบังคับให้เซนอลถอนสายตากลับ นำ ‘หุ่นเชิด’ ก้มมองที่พื้นทางเดิน
นอกจากรอยแตกบนแผ่นหิน ยังมีรอยแปลกๆ สีแดงเข้ม ขนาดใกล้เคียงหน้าผากมนุษย์ เรียงรายเป็นทางยาวจนสุดโถงทางเดิน
ไคลน์จินตนาการฉากหนึ่งขึ้นในใจ
สาวกเคร่งศาสนากำลังหมอบกราบบนพื้น ค่อยๆ คลานไปข้างหน้า และนำหน้าผากโขกพื้นจนเลือดออก
เมื่อสังเกตเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถอนสายตากลับ ไม่สำรวจต่อ อัลเจอร์ถามด้วยความลังเล
“เทพสุริยันบรรพกาล?”
ขณะเดียวกัน มันรู้สึกคล้ายกับมีลมหนาวพัดมาจากด้านข้างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ สงสัยว่าอาจมีเงาดำหรือวิญญาณอาฆาตซ่อนอยู่ในละแวกใกล้เคียง
แต่พอนึกถึงการเหตุการณ์ที่ลิงบาบูนกลายพันธุ์ถูกควบคุมร่างด้วยวิธีการแปลกประหลาด อัลเจอร์พอจะคาดเดาบางสิ่ง แต่ไม่ได้พูดออกมา
ได้ยินคำถามจากแฮงแมน ไคลน์อยากหัวเราะและตอบกลับไปว่า “หรืออีกชื่อหนึ่งคือ พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง” แต่เมื่อพบว่าน้ำเสียงและถ้อยคำใกล้เคียงกับเดอะฟูลมากเกินไป ไม่คล้ายกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ จึงหักห้ามใจตัวเองและทำเพียงพยักหน้า
“เดาได้ไม่ยาก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ