หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที ไคลน์รู้สึกเพียงว่า กระแสเวลาไหลผ่านอย่างเชื่องช้าเสียเหลือเกิน ประหนึ่งผ่านไปเป็นสิบปีก็มิปาน
ในที่สุด มันได้ยินเสียงอะซิกกล่าวด้วยความสงสัย
“เป็นท่านเองหรือ…”
เพียงพริบตาหลังจากนั้น เสียของสตรีที่ไม่สั่นคลอน ดังขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เจ้ามีสามทางเลือก… ประการแรก สานต่อกระบวนการปัจจุบัน แสวงหาความสมบูรณ์แก่ดวงวิญญาณและยอมให้ซาลินเจอร์เกิดใหม่ในร่างกายเจ้า… ประการที่สอง ข้าจะช่วยดึงวิญญาณของเจ้าครึ่งหนึ่งออกจากงูตัวนั้น ส่วนเจ้าไปหาวิธีเย็บเอาเอง แต่วิธีนี้จะทำให้เจ้ากลับไปเป็นตัวตนเก่า หยุดวังวนการตายและฟื้นฟูความทรงจำ แต่เจ้าจะไม่ใช่ตัวเจ้าในปัจจุบัน และช่วงชีวิตที่เคยผ่านมาในอดีตจะกลายเป็นหนึ่งในความฝันซึ่งค่อยๆ เลือนหายไป… ประการที่สาม หันหลังให้กับทุกสิ่งและออกไปจากที่นี่ แต่ลำดับพลังของเจ้าจะหยุดค้างในระดับปัจจุบันโดยไม่สามารถเลื่อนขั้นได้อีก และจะเผชิญกับวังวนความตายไม่จบสิ้น ต้องฟื้นฟูความทรงจำไม่จบสิ้น และไขว่คว้าหาอดีตไม่จบสิ้น”
ไคลน์พลันผงะ คาดไม่ถึงว่าจะยังมี ‘คนอื่น’ อยู่ในส่วนลึกของสุสานแห่งนี้ด้วย แถมยังมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่นี่ สามารถมอบทางเลือกให้แก่ ‘กงสุลมรณะ’ อะซิก·อายเกสได้ถึงสามทาง
หรือจะเป็นเทพมรณาเทียมที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหมอกดำ?
ไม่ใช่… ใครๆ ก็รู้ว่าเทพมรณาเทียมไม่มีสติปัญญามากขนาดนี้ ไม่เคยมีข้อมูลที่ ‘ท่าน’ พยายามสื่อสารมาก่อน…
ดึงวิญญาณออกมาครึ่งหนึ่งและหาวิธีเย็บเอง… หมายความว่ายังไง? ดวงวิญญาณของมิสเตอร์อะซิกอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์?
แล้วไปดึงมาจากไหน? ‘ท่าน’ ผู้นี้สามารถทำในสิ่งที่แม้แต่มิสเตอร์อะซิกก็ยังทำไม่ได้?
และนอกจากนั้น ใครคือซาลินเจอร์? แล้วทำไมถึงเกิดใหม่ภายในร่างกายมิสเตอร์อะซิก? อย่างบอกนะว่า เขาหรือ ‘ท่าน’ คือ ‘เทพมรณา’ ผู้ทำให้เกิดยุคสมัยแห่งความไร้ชีวิตชีวา? บิดาหรือปู่ของมิสเตอร์อะซิก? เทพมรณามองเห็นอนาคตการร่วงหล่นของตัวเอง จึงเหลือเศษเสี้ยวสำหรับคืนชีพไว้ในร่างมิสเตอร์อะซิก?
ตัวเลือกแรกตัดทิ้งได้เลยโดยไม่ต้องคิด ทั้งข้อสองและข้อสามต่างมีปัญหาในตัวเอง สำหรับข้อที่สอง มิสเตอร์อะซิกจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็น ‘ท่าน’ ที่เราไม่คุ้นเคย… ส่วนข้อสามจะต้องแบกรับคำสาปของอมรณาไว้ตลอดชีวิต ไม่มีทางหนีพ้น… หากมิสเตอร์อะซิกมั่นใจในตัวเอง เชื่อว่าชีวิตที่ผ่านมาเป็น ‘หลักยึดเหนี่ยว’ การเลือกข้อที่สองก็ไม่เลวนัก สามารถปรับปรุงอุปนิสัยระหว่างอดีตและปัจจุบันให้สมดุล… แต่นั่นก็ต้องครึ่งอยู่กับดวงวิญญาณอีกหนึ่งซีกที่ถูกแบ่งออกไป เราไม่เคยสัมผัสกับอีกครึ่งหนึ่งของเขา ไม่มีทางเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ บางที หลักยึดเหนี่ยวอาจไม่ได้ผล…
ข้อมูลมากมายแล่นเข้ามาในหัวไคลน์อย่างรวดเร็ว สมองเต็มไปด้วยคำถามและความอยากรู้อยากเห็น แต่ก็ทำไม่ได้มากไปกว่าการยืนอยู่ห่างๆ และปิดตาให้สนิท
นั่นคือชีวิตของอะซิก เป็นอนาคตที่ชายคนนั้นต้องเผชิญ ไม่มีใครสามารถตัดสินใจแทนได้
และสิ่งที่ไคลน์ควรจะพูด มันได้พูดไปหมดแล้ว ปัจจุบันจึงทำได้เพียงยืนเป็นกังวลอยู่ที่นี่อย่างมิอาจยื่นมือช่วย รอให้มิสเตอร์อะซิกเป็นคนตัดสินใจเอง
อะซิกจ้องหน้าสตรีเลอโฉมในเสื้อคลุมศีรษะ ไม่กล่าวคำใดออกมาเป็นเวลานาน เปลวไฟสีซีดในดวงตายังคงสั่นไหว
งูขนนกกึ่งมายากึ่งคมชัด คล้ายกับมันสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์ รีบตวัดหางกวาดไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็ก้มศีรษะลงพร้อมกับอ้าปากกว้าง เผยให้เห็นเลือดเนื้อสีแดงเข้มและเขี้ยวที่ย้อมน้ำมันสีเหลือง ก่อนจะเหยียดลิ้นงูสีดำสนิทเปื้อนเมือกสีเขียวเข้ม ออกมาตวัดอะซิก·อายเกส
ทว่า ความพยายามทั้งหมดของมันลงเอยด้วยความล้มเหลว คล้ายกับพลังของมันไม่มีผลกับโลกทางนี้
ท่ามกลางความเงียบเชียบ อะซิกยกมือขวาขึ้น ลูบหน้าผากพลางยิ้มและตอบ
“บางที ผมคงคุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้ไปแล้ว… เลือกข้อสาม”
เมื่อสิ้นเสียง สตรีสวมผ้าคลุมศีรษะตรงหน้าเหยียดแขนออกมาคว้าเครื่องประดับทองคำรูปนกและบีบไว้ในมือสักพัก ก่อนจะชักแขนกลับพร้อมกับดึงวัตถุโบราณออกจากรอยแยกกึ่งกลางหน้าผากของอะซิก
สีหน้าอะซิกพลันบิดเบี้ยวอีกครั้ง คล้ายกับกำลังเผชิญความเจ็บปวดแสนสาหัส
ในทุกหยดของเลือดที่ไหลริน ในทุกอณูของเลือดเนื้อ เศษเสี้ยวดวงวิญญาณจำนวนมากค่อยๆ แผ่ซ่าน ก่อนจะผสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นร่างวิญญาณที่โปร่งใส
แม้ร่างวิญญาณดังกล่าวจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียว แต่ก็เผยให้เห็นความขัดแย้งและไม่กลมกลืน เนื่องจากครึ่งหนึ่งของวิญญาณเป็นสีเหลืองทอง ไล่ตั้งแต่คิ้ว ดวงตา ไปจนถึงแขนขา มอบบรรยากาศสง่างามแต่เรียบง่าย
เมื่อไม่มีเครื่องประดับทองคำเป็นตัวเชื่อม ร่างวิญญาณกึ่งทองคำของอะซิกจึงค่อยๆ แยกออกจากกันทั้งเป็น
ลำคออะซิกแผดเสียงที่ฟังดูไม่เหมือนมนุษย์อีกครั้ง ไคลน์ซึ่งได้ยินจากระยะไกล พลันปวดศีรษะรุนแรงประหนึ่งถูกเข็มจำนวนมากทิ่มแทงสมอง
ผ่านไปไม่กี่วินาที ร่างวิญญาณของอะซิกถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนโดยสมบูรณ์ ครึ่งหนึ่งกลายเป็นละอองแสงสีทองที่ผสานเข้ากับเครื่องประดับรูปนก ครึ่งหนึ่งกลับคืนสู่ร่างเนื้อ ผสมผสานกับเลือดเนื้อที่เป็นของอะซิก·อายเกส
เปลวไฟสีซีดในดวงตาทั้งสองข้างของอะซิกพลันดับมอด ขนนกสีขาวและเกล็ดสีดำที่งอกขึ้นบนตามผิวหนังค่อยๆ เลือนหาย สีหน้าที่บิดเบี้ยวค่อยๆ บรรเทาลงก่อนจะกลับเป็นปรกติ
ใบหน้าของอะซิกค่อนข้างซีด ค่อนข้างโปร่งใส หน้าผากสั่นกระตุกอย่างชัดเจน คล้ายกับกำลังเจ็บปวดจากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับดวงวิญญาณ
“ขอบคุณที่ช่วยเหลือ” อะซิกคำนับสตรีเลอโฉมผู้สวมเสื้อคลุมศีรษะอย่างนอบน้อม ก่อนจะหมุนตัวเดินมาทางขั้นบันไดที่ว่างเปล่า กลับมายืนด้านข้างไคลน์
“ลืมตาได้แล้ว” อะซิกยิ้มด้วยความอ่อนเพลีย
ไคลน์ลืมตาขึ้นและรีบสำรวจอะซิกฝั่งตรงข้าม เมื่อพบว่าไม่มีอาการเสียสติหรือคลุ้มคลั่งจึงเผยความโล่งใจ แอบชำเลืองสายตาไปยังส่วนลึกของสุสานด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ที่นั่นมีเพียงหมอกดำคอยปกคลุมทุกสิ่ง
“เมื่อครู่ใครหรือครับ?” ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถาม
อะซิกยิ้มพลางยื่นมือมาจับไหล่
“ถึงผมอยากจะบอกมากเพียงใด แต่คุณก็คงไม่ได้ยิน เว้นเสียแต่ท่านต้องการให้คุณได้ยิน”
ได้ยินเช่นนั้น ไคลน์จับไหล่หุ่นเชิดทั้งสองตามสัญชาตญาณ
สีสันรอบตัวฉูดฉาดและซ้อนทับกันอีกครั้ง ในไม่ช้าทั้งคู่ก็เคลื่อนที่ผ่านโลกวิญญาณซึ่งสอดคล้องกับทะเลคลั่ง เดินทางกลับไปยังห้องพักโรงแรมที่ไคลน์เช่าไว้ในเมืองเครน
อะซิกปล่อยมือ ลูบหน้าผากพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ