ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 1

ตอนที่ 1 มาไม่เสียเที่ยว

แสงไฟสายหนึ่งลากผ่านไปมาอยู่ภายในอุโมงค์ของสุสาน ชายผู้หนึ่งถือไฟฉายแรงสูงส่องไปรอบด้าน สำรวจดูผนังและเพดานของอุโมงค์ อีกทั้งเส้นทางเบื้องหน้าที่ดำมืด

ในตอนที่แสงไฟฉายส่องเข้ากับผนังหินในระยะใกล้ ภายในความมืดก็ได้มีรูปร่างหน้าตาของชายผู้นั้นสะท้อนออกมา

ชายวัยกลางคน รูปร่างผอมสมส่วน ผมหวีเรียบไปด้านหลัง ใบหน้าขาวผ่องเกลี้ยงเกลา เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต ดวงตาทั้งสองเปล่งประกายมีชีวิตชีวา สีหน้าสุขุมเยือกเย็น

สะอาดสะอ้านตั้งแต่หัวจรดเท้า เสื้อผ้าหน้าผมเองก็เป็นระเบียบเรียบร้อย สวมชุดคอจีนและกางเกงสีดำ มือถือไม้เท้าที่เหยียดตรงเอาไว้แท่งหนึ่ง

การที่คนที่แต่งกายเรียบร้อยสะอาดสะอ้านเช่นนี้มาปรากฏตัวอยู่ในสุสาน คนที่ไม่รู้จักก็จะคิดว่าน้อยนักที่จะได้พบเห็น แต่คนที่รู้จักก็จะคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติ เพราะคนผู้นี้คือ ‘นักโบราณคดีใต้ดิน’ ที่ในอดีตถูกคนในวงการยกย่องว่าเป็นเต้าเหยี่ย[1] ภายหลังเมื่อสถานะและความอาวุโสภายในวงการเพิ่มขึ้น จึงถูกผู้คนยกย่องว่าเป็นเต้าเหยี่ย[2]

ปัจจุบันในเวลาปกติ เต้าเหยี่ยจะเก็บตัวบำเพ็ญเพียรเหมือนอย่างนักพรตจริงๆ น้อยครั้งนักที่จะออกมาด้วยตัวเอง มีเพียงตอนที่พบเจอสถานที่ที่ค่อนข้างน่าสนใจ เขาถึงจะออกมาเดินดูด้วยตัวเอง อย่างเช่นสุสานที่อยู่ตรงหน้าในเวลานี้ที่มีโครงสร้างและการออกแบบที่ยากจะพบเห็นได้

ไม้เท้าเคาะไปบนพื้นดังก๊อกๆ ตามฝีเท้าที่ก้าวเดิน กระทั่งในตอนที่บนพื้นมีเสียงกระทบของโลหะดัง ‘เป๊ง ขึ้นมา เต้าเหยี่ยจึงหยุดเดิน ทว่าเขามิได้เร่งร้อนก้มลงมองดูพื้น หากแต่กวาดตามองตามแสงไฟฉายไปรอบด้าน เบื้องหน้ามีโถงใต้ดินขนาดใหญ่ที่ดำมืดแห่งหนึ่งปรากฎขึ้นมา ด้วยแสงจากไฟฉายทำให้พอมองออกว่าเขาได้มาถึงพระราชวังใต้ดินของสุสานแล้ว และพระราชวังใต้ดินที่ใหญ่ขนาดนี้ก็เป็นสิ่งที่พบเห็นได้น้อยนัก

เมื่อสำรวจดูรอบด้านอย่างคร่าวๆ แล้ว แสงไฟฉายถึงจะส่องไปยังใต้เท้า ไม้เท้าเคาะไปบนพื้นดัง ‘เป๊งๆ’ อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นใช้ปลายเท้าถูไปบนพื้นสองสามที ปัดเอาฝุ่นที่จับตัวอยู่บนพื้นออกไปแถบหนึ่ง เผยให้เห็นพื้นโลหะที่สะท้อนสีสัมฤทธิ์โบราณออกมาเล็กน้อย

ชายวัยกลางคนดึงไม้เท้ากลับมาเหน็บไว้ใต้แขนข้างที่ถือไฟฉาย มือที่ว่างลงห้อยตกลงอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะค่อยๆ ยกฝ่ามือขึ้นมาอย่างเนิบช้าอีกครั้ง บนพื้นที่มีฝุ่นจับตัวมีลมหมุนปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นจู่ๆ เขาพลันพลิกฝ่ามือผลักออกไปเบื้องหน้า ระเบิดพลังภายในออกมา ลมจากฝ่ามือพัดออกไปดังฟู่ว พัดพาเอาฝุ่นที่จับตัวอยู่บนพื้นเบื้องหน้าออกไป จากนั้นปัดมือเล็กน้อยท่ามกลางฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย

ชายวัยกลางคนถือไม้เท้าค้ำยันไว้ข้างกายอีกครั้ง ยืนรอคอยอย่างเงียบๆ ฝุ่นละอองที่ฟุ้งกระจายยากจะเข้าใกล้ร่างกายเขาได้ ไฟฉายแรงสูงส่องไปบนพื้นที่ฝุ่นละอองถูกลมพัดออกไป ทำให้เห็นว่าบนพื้นเบื้องหน้าภายในรัศมีสิบกว่าเมตรล้วนแต่ถูกปูด้วยโลหะ มิได้มีแค่เพียงพื้นที่เล็กๆ ใต้เท้าของเขาเท่านั้น บนพื้นโลหะคล้ายมีลวดลายอะไรบางอย่างแกะสลักเอาไว้ หากไม่ปัดเอาฝุ่นทั้งหมดออกไป ก็คงยากที่จะเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของลวดลายทั้งหมดได้

กระทั่งฝุ่นละอองร่วงตกลงจนหมด เต้าเหยี่ยจึงถือไม้เท้าเดินต่อไปข้างหน้า ไฟฉายส่องเพดานที่อยู่ด้านบนเป็นระยะ รอบๆ พระราชวังใต้ดินแห่งนี้ยังมีทางเข้าที่มืดสลัวเหมือนอย่างอุโมงค์ที่เขาเดินเข้ามาอยู่อีกหลายแห่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าอุโมงค์เหล่านั้นทอดยาวไปถึงที่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าปลายทางมีความลับอะไรแอบซ่อนอยู่

“สุสานแบบนี้ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยจริงๆ น่าสนใจ…” เต้าเหยี่ยกล่าวพึมพำพลางยิ้มเล็กน้อย แต่ใต้เท้ากลับมีเสียงครึกดังขึ้นมา คล้ายว่าเขาเหยียบพื้นจนจมลงไป จากนั้นใต้พื้นก็คล้ายมีเสียงครืดๆ ดังขึ้นมา ราวกับว่ามีสลักกำลังเคลื่อนไหวอยู่

โครม! เสียงวัตถุหนักๆ กระแทกลงบนพื้นดังลอยมาจากทางอุโมงค์ที่เขาเดินเข้ามา

เต้าเหยี่ยสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ด้วยประสบการณ์ของเขา เพียงแค่ได้ยินก็รู้ว่าอุโมงค์ที่เขาเดินเข้ามาได้ถูกอะไรบางอย่างที่ตกลงมาตัดขาดแล้ว

จากนั้นในปากโพรงที่ดำมืดอีกหลายแห่งก็มีเสียงครืดที่ทุ้มต่ำดังลอยออกมา คล้ายว่ามีประตูบางอย่างที่หนักอึ้งได้เปิดออก

เต้าเหยี่ยยกเท้าออกจากพื้น ถอยหลังไปสองสามก้าว ไฟฉายที่อยู่ในมือส่องไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว ในใจเขารู้ว่าตนเองไปเหยียบถูกกลไกเข้าแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าไปสัมผัสถูกกลไกอะไรภายในสุสานเข้า แต่การที่มันสามารถตัดขาดอุโมงค์ทางเข้าออกได้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่ากลไกนี้มิได้มีเจตนาที่ดีแน่

เขามองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง แต่หลังจากรอคอยอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง รอบด้านก็เงียบสนิท ไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ

กลับกลายเป็นตรงปากทางเข้าที่เขาเดินเข้ามาที่มีเสียงระเบิดดัง ‘ตู้ม’ ขึ้นมา สั่นสะเทือนจนมาถึงพื้นที่เขายืนอยู่ เสียงครืนๆ ดังสะท้อนไปมาภายในพระราชวังใต้ดิน

ไม่นานเขาก็สัมผัสได้ว่าภายในเสียงครืนๆ ที่ดังสะท้อนไปมานั้นมีเสียงความเคลื่อนไหวบางอย่างที่แตกต่างออกไป ไฟฉายส่องไปยังปากโพรงที่ดำมืดแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว คล้ายว่ามีอะไรบางอย่างกำลังวิ่งออกมา ภายใต้แสงไฟฉายที่ส่องไปได้มีดวงตาสีเขียวเข้มคู่หนึ่งปรากฏขึ้นมาในส่วนลึกของปากโพรงแห่งนั้น จากนั้นโครงร่างทั้งหมดของมันก็ปรากฏขึ้นมา นั่นคือคนที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งผู้หนึ่ง

แต่ก็มิคล้ายคนไปเสียทีเดียว หากแต่ดูคล้ายมัมมี่อย่างไรอย่างนั้น ทั่วทั้งร่างมีขนสีขาวงอกยาว ฟันแหลมคม ดวงตาเปล่งเป็นแสงสีเขียวเมื่อต้องแสงจากไฟฉาย ปลายนิ้วทั้งสิบเป็นสีดำคล้ำและแหลมคม วิ่งออกมาจากปากโพรงอย่างคลุ้มคลั่ง กระโจนเข้ามาหาเขาพลางส่งเสียงคำราม ปากโพรงที่อยู่รอบด้านล้วนแต่มีตัวประหลาดแบบเดียวกันปรากฏขึ้นมา

ซอมบี้! ภายในหัวของเต้าเหยี่ยมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา แต่บนมือยังคงไม่หยุดเคลื่อนไหว หัวไม้เท้าถูกบิด ประกายที่เย็นเยียบสายหนึ่งพุ่งออกมาจากในไม้เท้า ร่างกายของเขาถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็วหนึ่งก้าว เบี่ยงตัวหลบซอมบี้ที่กระโจนเข้ามาอย่างดุร้าย บนมือมีลำแสงกระบี่สายหนึ่งปรากฏขึ้นมา พริบตานั้นโลหิตสีเขียวก็สาดกระจายออกมาจากคอของซอมบี้

ศีรษะของซอมบี้กระเด็นลอยออกไป แยกหลุดออกจากร่าง ร่างกายของซอมบี้กระแทกลงไปกับพื้นดังตึง บิดงอไปมาอยู่บนพื้น พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาอยู่หลายทีแต่ก็ไม่สำเร็จ

แต่ความเคลื่อนไหวของเต้าเหยี่ยกลับมิได้หยุดลง ลำแสงกระบี่ภายในมือวูบไหวอย่างต่อเนื่อง ร่างมนุษย์ร่างแล้วร่างเล่าที่กระโจนเข้ามาถูกเขาฟันร่วงลงไปกับพื้น แสงจากไฟฉายกวัดแกว่งไปมาอยู่ตรงเบื้องหน้าเขา

มิได้มีซอมบี้แค่เพียงตัวเดียว ปากโพรงที่อยู่รอบด้านมีซอมบี้ส่งเสียงคำรามพลางพุ่งกระโจนเข้ามาหาเขาอย่างคลุ้มคลั่งไม่ขาดสาย ทวีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า