ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 104

ตอนที่ 104 ยอดหมอ

ภายใต้ค่ำคืนยามราตรี เกี้ยวหลังหนึ่งถูกหามมาหยุดด้านนอกจวนผู้ว่าการมณฑล พูดอีกอย่างคือถูกองครักษ์ด้านนอกขวางเอาไว้

ฟางเจ๋อสืบเท้าเข้าไปติดต่อเจรจากับอีกฝ่าย หนิวโหย่วเต้าที่นั่งอยู่ในเกี้ยวหลับตาสงบนิ่ง สีหน้าเรียบเฉย

…..

แสงโคมภายในจวนส่องสว่าง ภายเรือนงดงามโอ่อ่าหลังหนึ่ง

เห็นๆ อยู่ว่าอากาศอบอุ่นแล้ว ทว่าภายในเรือนกลับมีการจัดวางกระถางไฟเอาไว้

อาหารโอชาเลิศรสจัดวางเต็มโต๊ะ เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ริมโต๊ะสวมเสื้อผ้าหนาชั้น ผิวพรรณขาวซีด ใบหน้าไร้สีเลือด รอบตาคล้ำเป็นวง ท่าทางคล้ายไม่มีความอยากอาหารใดๆ เลย

แต่สภาพของสตรีวัยกลางคนนางหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นางสวมชุดผ้าไหมแบบหญิงชาววัง บางเบาแผ่พลิ้ว บนผิวที่ขาวเนียนมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมขึ้นมาเล็กน้อย

ช่วยไม่ได้ จุดกระถางไฟกันในฤดูนี้ ไม่ร้อนก็แปลกแล้ว

กริยาท่าทางของสตรีวัยกลางคนดูทรงอำนาจเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าเองก็ผุดผาดผ่องใส เกล้าผมเป็นมวยสูง คิ้วตาดั่งภาพวาด รูปโฉมงามงด อ้อนแอ้นเพรียวบาง ทรวดทรงอวบอัดเล็กน้อย เป็นประเภทที่มีน้ำมีนวลยวนใจคน

เด็กหนุ่มย่อมเป็นเซียวเทียนเจิ้น บุตรชายผู้รับสืบทอดตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลจินโจวต่อจากบิดา

สตรีวัยกลางคนคือไห่หรูเยวี่ย องค์หญิงใหญ่ของแคว้นจ้าวในยามนี้ เป็นน้องสาวแท้ๆ ขององค์ฮ่องเต้และเป็นมารดาของเซียวเทียนเจิ้น ถึงแม้จะอายุสี่สิบปีแล้ว ทว่ากาลเวลากลับนับว่าปรานีต่อนางเป็นอย่างยิ่ง ไม่ทิ้งริ้วรอยใดๆ ไว้บนกายนางเลย

“แม่รู้ว่าเจ้าไม่อยากกิน แต่ถึงไม่อยากก็ต้องกินสักหน่อยนะ!” ไห่หรูเยวี่ยขยับตะเกียบคีบอาหารให้บุตรชายด้วยตัวเอง

นอกเรือน พ่อบ้านผมหงอกขาวนามจูซุ่นปรากฎตัวขึ้นตรงประตู มิได้ก้าวเข้ามา ทว่าพยักหน้าส่งสัญญาณให้ไห่หรูเยวี่ยเล็กน้อย

ไห่หรูเยวี่ยเงยหน้ามองเล็กหนึ่ง วางตะเกียบลงแล้วลุกขึ้นยืน ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยกำชับบุตรชาย “ถึงไม่อยากกินก็ต้องกินสักหน่อย นี่ก็เพื่อตัวเจ้านะ ไม่มีผลร้ายต่อเจ้า!”

นางลุกออกจากโต๊ะอาหาร เดินนวยนาดไปที่ประตู สาวใช้ที่เฝ้าอยู่ตรงประตูสวมเสื้อคลุมให้นางทันที อุณหภูมิด้านนอกไม่อุ่นเท่าในห้องที่จัดวางกระถางไฟเอาไว้

หลังจากสองนายบ่าวเดินออกมาห่างพอสมควรแล้ว จูซุ่นก็เอ่ยรายงานว่า “ฮูหยิน ฟางเจ๋อคนนั้นมาอีกแล้วขอรับ”

ไห่หรูเยวี่ยปรายตามองแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “มีอันใดต้องคุยกันอีก?”

ที่สมควรพูดก็พูดไปแจ่มแจ้งชัดเจนแล้ว แล้วก็ไม่มีอะไรต้องเจรจากันอีก นางเคยสั่งไปแล้วว่าไม่พบ อีกอย่างนี่ก็ค่ำมืดแล้ว โดยทั่วไปแล้วหญิงม่ายอย่างนางจะไม่พบแขกบุรุษในยามราตรี ปกติแล้วพ่อบ้านจะทำการเชิญแขกกลับไปโดยไม่ต้องให้บอก แต่นี่กลับวิ่งมารายงานตน เห็นทีคงต้องมีสาเหตุเป็นแน่

จูซุ่นกล่าวว่า “ครั้งนี้เขาพาคนผู้หนึ่งมาด้วยขอรับ บอกว่าเป็นยอดหมอที่ยงผิงจวิ้นอ๋องแห่งแคว้นเยี่ยนส่งมารักษาอาการป่วยให้นายน้อยขอรับ”

“ยอดหมอหรือ?” ไห่หรูเยวี่ยขมวดคิ้ว “พวกเขารู้เรื่องอาการป่วยของเจิ้นเอ๋อร์แล้วนี่ ยังจะมียอดหมออันใดที่รักษาได้อีก?”

จูซุ่นกล่าวต่อว่า “บ่าวเองก็รู้สึกแปลกขอรับ ว่ากันตามหลักแล้วไม่น่าจะมีเรื่องแบบนี้ได้ แต่บ่าวก็รู้สึกว่าซางเฉาจงไม่น่าจะกระทำตัวเหลวไหลในเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงมาสอบถามฮูหยิน ต้องการพบหรือไม่ขอรับ?”

ไห่หรูเยวี่ยลังเลเล็กน้อย แต่นางเองก็มีความคิดเช่นเดียวกับบ่าวผู้นี้ ซางเฉาจงน่าจะไม่กระทำตัวเหลวไหลในเรื่องแบบนี้ จึงพยักหน้าเอ่ยตอบว่า “พาเข้ามาเถอะ!”

“ขอรับ!” จูซุ่นค้อมคำนับ รีบเดินออกไป

ไม่นานนัก เขาก็นำทางฟางเจ๋อและหนิวโหย่วเต้าเข้ามา กระบี่ของหนิวโหย่วเต้าถูกยึดไว้ชั่วคราว

เมื่อเข้ามาภายในเรือน เส้นลมปราณพิเศษแปดเส้นของทั้งสองคนถูกผู้บำเพ็ญเพียรของจวนนี้ผนึกไว้ ทำให้หนิวโหย่วเต้าโคจรพลังในร่างไม่ได้

ว่ากันตามจริงแล้ว ไห่หรูเยวี่ยก็ปฏิบัติต่อซางเฉาจงอย่างนับว่าเห็นแก่มิตรภาพในอดีตที่มีต่อหนิงอ๋องอยู่ ถึงอย่างไรเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายจะหารือกันก็เป็นความลับ ให้คนนอกล่วงรู้มากไม่ได้ หากไม่ผนึกพลังของหนิวโหย่วเต้าไว้ ก็จำเป็นต้องมีคนเฝ้าระวังอยู่ข้างกาย

ณ ศาลาริมน้ำ ไห่หรูเยวี่ยในชุดกระโปรงยาวงดงามยืนพิงราวกั้น เงยหน้าทอดมองจันทร์กระจ่างบนท้องฟ้ายามค่ำคืน แผ่นหลังดูโดดเดี่ยว แสงจันทร์สะท้อนอยู่ในสายน้ำ

ฟางเจ๋อและหนิวโหย่วเต้าหยุดยืนไม่ไกลนัก เอ่ยทักทายไห่หรูเยวี่ยที่หันหลังอยู่อย่างพร้อมเพรียง “คารวะองค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”

จูซุ่นเดินเข้าไปหาไห่หรูเยวี่ยพร้อมเอ่ยแจ้งเล็กน้อย

ไห่หรูเยวี่ยค่อยๆ หันกายกลับมา ภายใต้แสงโคมที่ส่องสว่าง ทั้งใบหน้าท่าทางของนางล้วนทรงเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง ทำให้หนิวโหย่วเต้าอดไม่ได้ที่จะลอบเอ่ยชม ช่างงดงามยิ่งนัก!

“หนิวโหย่วเต้า? เจ้าก็คือศิษย์ที่ถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แห่งแคว้นเยี่ยนทอดทิ้งผู้นั้นมิใช่หรือ?” ไห่หรูเยวี่ยมองพินิจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา

หนิวโหย่วเต้าคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรู้เรื่องนี้ด้วย แต่ก็พอจะเข้าใจได้ ย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะมีการจัดวางสายสืบไว้คอยสอดแนมเรื่องราวในแคว้นของศัตรู ยิ่งไปกว่านั้นคือซางเฉาจงกำลังติดต่อเจรจากับทางนี้อยู่ แล้วมีหรือที่อีกฝ่ายจะไม่ทำการสืบสถานการณ์ของทางนี้ให้กระจ่างว่าเป็นอย่างไรบ้าง ดังนั้นจึงไม่นับว่าน่าแปลกใจอันใด เขาพยักหน้าตอบรับ “กระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”

ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยขึ้นว่า “สมัยก่อนตอนอยู่แคว้นเยี่ยน ข้าไปมาหาสู่กับหนิงอ๋อง ก็ได้พบปะกับตงกัวเฮ่าหรานผู้เป็นอาจารย์ของเจ้าอยู่บ่อยครั้ง นับว่าเป็นสหายเก่าเช่นกัน เหตุใดศิษย์ของตงกัวเฮ่าหรานจึงกลายเป็นยอดหมอที่สามารถรักษาโรคร้ายยากรักษาไปได้ล่ะ?”

หนิวโหย่วเต้าพบว่าเส้นสายของอาจารย์ตงกัวช่างกว้างขวางนัก เขาตอบกลับไปว่า “องค์ใหญ่ทรงปรีชา ผู้รักษาตัวจริงมิใช่กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงรับคำสั่งท่านอ๋องให้คุ้มกันยอดหมอมา แต่หลังจากเข้ามหานครมากลับเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ยอดหมอถูกคนลักพาตัวไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ไห่หรูเยวี่ยหรี่ตาลงเล็กน้อย จูซุ่นขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น?”

หนิวโหย่วเต้าจึงเล่าว่า “องค์หญิงอาจจะไม่ทรงทราบ ตอนที่กระหม่อมอยู่ในแคว้นเยี่ยน กระหม่อมมีความแค้นบางอย่างกับตระกูลซ่งแห่งแคว้นเยี่ยน วันนี้เพิ่งจะเดินทางมาถึงมหานคร ไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญพบบุตรชายของซ่งจิ่วหมิงเข้า จึงถูกไล่ล่าสังหาร กระหม่อมโชคดีหนีรอดมาได้ แต่ยอดหมอที่พามาด้วยกลับตกอยู่ในมือของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบเช่นกันว่ายามนี้ยอดหมอท่านนั้นถูกพาไปที่ใดแล้ว แล้วก็ยิ่งไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร กระหม่อมจึงหวังว่าองค์หญิงใหญ่จะทรงเมตตาช่วยตามหาตัวยอดหมอด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ เพราะว่าที่นี่คืออาณาเขตขององค์หญิงใหญ่”

เขาไม่มีเส้นสายและกำลังคนอยู่ที่นี่เลย หากอยากจะช่วยหยวนฟาง เช่นนั้นก็ทำได้เพียงหยิบยืมกำลังของหญิงม่ายนางนี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า