ตอนที่ 108 ส่งมาเท่าไร ข้าจะฆ่าทิ้งให้หมด
ที่บอกว่ารู้จักกันระหว่างเดินทางมายังมณฑลจินโจวเป็นเพียงข้ออ้างอย่างหนึ่ง อันที่จริงเดิมทีเขาคิดจะบอกว่ายามนี้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาสวามิภักดิ์ต่อแคว้นหานแล้ว ส่วนหนิวโหย่วเต้าก็เป็นศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์อะไรทำนองนั้น จากนั้นเขาออกหน้าเป็นผู้ไกล่เกลี่ย เช่นนั้นก็นับว่าสมเหตุสมผล
ทว่าหนิวโหย่วเต้าไม่เปิดโอกาสให้เจรจาในเรื่องนี้เลย ยืนกรานว่าไม่เห็นด้วยที่จะนำตนเองไปเชื่อมโยงอันใดกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีก บอกเขาอย่างแน่วแน่ว่าตนถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ขับออกจากสำนักแล้ว ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีกต่อไป!
ซ่งหลงเหลือบมองด้วยสายตาเย็นชา “จูเก่อสวิน เจ้าจะยุ่งเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
จูเก่อสวินรีบโบกมือพลางกล่าวว่า “อย่าเข้าใจผิดไป เพียงแค่เจรจาดูเท่านั้น แค่เจรจาก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่ ก็เหมือนคำกล่าวที่ว่าแค้นไม่มีมิตรภาพไม่เกิด เรื่องบางอย่างผ่านไปแล้วก็แล้วไปเถิด ไยต้องยึดติดไม่ยอมละวางด้วย”
ซ่งหลงแค่นเสียงพลางเอ่ยอย่างเย็นชา “ฟังไม่รู้เรื่องว่าเจ้าพูดอะไรอยู่ รีบพูดเรื่องสำคัญดีกว่า! คนที่ไม่เกี่ยวข้องจงถอยออกไปเสีย! อย่าได้หาเรื่องขายหน้าให้ตัวเอง”
จูเก่อสวินยิ้มเจื่อน หันไปทางหนิวโหย่วเต้าพลางผายสองมือออก ท่าทางคล้ายจะสื่อว่าข้าเองก็จนปัญญาแล้วเช่นกัน
ถูไหวอวี้ราชทูตแคว้นซ่งที่อยู่ด้านข้างเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “นี่คือแขกที่เขาเชิญมา มีแขกที่ไหนมาไล่แขกของคนอื่นเหมือนอย่างเจ้าบ้าง มารยาทของแคว้นเยี่ยนถูกสุนัขคาบไปกินแล้วหรือ?”
ซ่งหลงจ้องมองเขา “ผู้เฒ่าถู อย่าแส่หาเรื่องดีกว่า!”
ยามที่คนเหล่านี้อยู่ในราชสำนักของแคว้นตน การพูดคุยประพฤติตัวล้วนค่อนข้างสงบเสงี่ยมสำรวม แต่หลังจากเดินทางมาปฏิบัติหน้าที่ การตบโต๊ะโต้เถียงกับราชทูตแคว้นอื่น หรือด่าทอกันจนหน้าดำหน้าแดง หรือแม้กระทั่งสบถคำหยาบคายล้วนแต่เป็นเรื่องปกติธรรมดายิ่งนัก ไม่มีคำว่าเกรงใจซึ่งกันและกัน
แต่แน่นอน หลังด่าเสร็จก็ยังสามารถนั่งดื่มสุราด้วยกันได้ ดื่มเสร็จก็ยังด่ากันต่อได้
ต่อให้ยามปกติจะเรียกขานกันเป็นพี่เป็นน้อง แต่เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นต้องช่วงชิงผลประโยชน์ให้แว่นแคว้นก็สามารถแตกหักได้ทันที หรือยามที่แว่นแคว้นต้องการผลประโยชน์ก็สามารถกลับไปยิ้มแย้มพูดคุยกันได้อีกครั้ง
ถูไหวอวี้ไม่สนใจเขา หันไปมองหนิวโหย่วเต้าพลางเอ่ยว่า “น้องชาย ข้าอยากฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่ทราบว่าเจ้ากับตระกูลซ่งผูกปมแค้นอันใดกันหรือ?”
คนอื่นๆ ก็อยากรู้เรื่องนี้เช่นเดียวกัน ตอนที่เห็นภาพจูซุ่นพาคนออกมาจากเรือนพักแคว้นเยี่ยนก่อนหน้านี้ก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างยิ่งแล้ว
จั่วอันเหนียนที่เป็นราชทูตแคว้นฉีก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นอะไรหรอก ลองเล่ามาเถอะ”
คนอื่นๆ เองก็พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงออกว่าเห็นด้วย ซ่งหลงมีสีหน้าคร่ำเคร่ง เขาอยากจะสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไปยิ่งนัก แต่ก็อยากรู้เช่นกันว่าอีกเดี๋ยวจูเก่อสวินจะคุยเรื่องสำคัญอะไรกัน
“เดิมทีข้าเป็นศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ต่อมาถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ขับออกจากสำนัก ระหว่างทางเผชิญการลอบสังหารจากศิษย์พี่ซ่ง…” หนิวโหย่วเต้าหยิบยกเรื่องราวที่เล่าให้จูเก่อสวินฟังก่อนหน้านี้ออกมาเล่าอีกครั้ง หลังเล่าจบ เขาจ้องมองซ่งหลงพลางเอ่ยว่า “ดักสังหารข้าที่วัดหนานซานหนึ่งครั้ง ข้าสังหารซ่งเหยี่ยนชิง ลอบสังหารข้าที่อำเภอชางหลูอีกหนึ่งครั้ง ข้าสังหารบุตรชายพ่อบ้านของเขา มาถึงมหานครจินโจวบังเอิญพบใต้เท้าซ่ง ใต้เท้าซ่งก็ลงมือหมายสังหารข้าอีกครั้ง หากไม่ขอให้จวนผู้ว่าการมณฑลออกหน้า ข้าก็ไม่รู้เลยว่าชีวิตของข้าจะเป็นเช่นไร! ใต้เท้าซ่ง ข้าไม่อยากมีเรื่องพัวพันกับตระกูลซ่งเช่นนี้ต่อไปแล้วจริงๆ แล้วก็ไม่มีปัญญาจะทำอะไรตระกูลซ่งได้ด้วย วันนี้ในเมื่อทุกท่านเป็นสักขีพยานอยู่ที่นี่แล้ว ข้ายินดีขอขมาด้วยใจจริง และอยากขอร้องให้ตระกูลซ่งช่วยเมตตายอมรามือจากข้า!”
ซ่งหลงหัวเราะเยาะอยู่ในใจ เจ้านับเป็นตัวอันใดกัน คู่ควรจะเจรจาต่อรองกับตระกูลซ่งหรือ? แต่ภายนอกกลับตอบอย่างเรียบเฉยว่า “เพ้อเจ้อเป็นคุ้งเป็นแคว ไม่เข้าใจเลยว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ ที่นี่มิใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาพูดจาเหลวไหลได้ ข้าลงมือสังหารเจ้าตั้งแต่เมื่อไร? ไม่มีหลักฐานยืนยันอย่าได้พูดเหลวไหล!”
แทบจะในเวลาเดียวกัน หวงซวี่เซิงและเซี่ยชุนที่ฟังการพูดคุยในศาลาพลันเคลื่อนกายมาอยู่ที่ด้านหลังเขา ป้องกันมิให้หนิวโหย่วเต้าก่อเหตุไม่คาดคิดหากเจรจาไม่สำเร็จ
หนิวโหย่วเต้าลุกขึ้นยืน ประสานมือพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าซ่ง ข้าพูดจากใจจริง ขอเพียงยอมปล่อยข้าไป ไม่ว่าเงื่อนไขใดก็เจรจากันได้ทั้งนั้น!”
นี่มิใช้คำโป้ปด ตระกูลซ่งมีอิทธิพลกว้างขวาง หากสามารถคลี่คลายสมานฉันท์ได้ เช่นนั้นย่อมดีที่สุด
ซ่งหลงพิงพนักเก้าอี้ เอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ในเมื่อไม่มีเรื่องอะไร แล้วเจ้าจะให้ข้าเจรจาอันใด?”
หนิวโหย่วเต้าเงียบลง เขาเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายแล้ว
ทุกคนในที่นี่ล้วนเป็นผู้มีปัญญา ไม่ว่าผู้ใดก็เข้าใจความหมายในวาจาของซ่งหลงทั้งสิ้น แต่ก็เพียงเห็นเป็นเรื่องสนุกอย่างหนึ่ง ไม่มีใครสนใจความรู้สึกของหนิวโหย่วเต้า
ซ่งหลงมองไปทางจูเก่อสวิน “จูเก่อ เลิกเล่นไร้สาระได้แล้ว ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องถอยออกไปเสีย จะได้คุยเรื่องสำคัญกันสักที!”
จูเก่อสวินทำได้เพียงลุกขึ้นยืนเพื่อส่งแขก ประสานมือแล้วเอ่ยว่า “น้องหนิว ขออภัยจริงๆ เจ้าเองก็เห็นแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่?”
ซ่งหลงไม่แยแสหนิวโหย่วเต้า ยิ้มเยาะมุมปากขึ้นมานิดๆ
จู่ๆ ถูไหวอวี้ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยประชดแดกดันว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าบางคนคิดอะไรอยู่กันแน่ เรื่องเช่นนี้ยังกล้ารับปากออกหน้าเป็นผู้ไกล่เกลี่ยอีกหรือ? แค่ใช้สมองคิดดูสักนิดก็รู้แล้วว่าไม่มีปัญญาทำได้ เช่นนี้มิเท่ากับทำให้แขกต้องอับอายหรอกหรือ? ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม จัดการเรื่องราวไม่เข้าท่า!”
จูเก่อสวินที่มีสีหน้าละอายหันขวับมาทันที ท่าทางคล้ายเสียหน้าจนพาลโกรธ เอ่ยโต้กลับไปว่า “ไอ้เฒ่าเคราดก เจ้าด่าผู้ใด?”
ถูไหวอวี้ลุกขึ้นยืน ถลึงตาใส่แล้วย้อนถาม “ไอ้เด็กน้อยจูเก่อ เจ้าด่าใคร?”
จูเก่อสวินเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “ใครด่าข้า ข้าก็ด่าคนนั้นนั่นแหละ!”
“ไอ้เด็กไร้การอบรม ข้าจะสั่งสอนเจ้าแทนพ่อแม่เจ้าเอง!” ถูไหวอวี้ตะคอกด้วยโกรธ ตวัดมือตบออกไปฉาดหนึ่ง
เกิดเสียงฝ่ามือกระทบหน้าดัง ‘เพียะ!’ ตบเข้าไปที่หน้าจูเก่อสวินเต็มแรง
ทุกคนตกตะลึง มิใช่ครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นสองคนนี้ด่าทอกัน แต่เรื่องลงไม้ลงมือกันกลับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกจริงๆ
ซ่งหลงตกตะลึงไปเล็กน้อย แทบจะหลุดขำออกมาแล้ว คุยเรื่องของเขาอยู่ดีๆ ไฉนสองคนนี้ถึงลงมือกันเช่นนี้เล่า? คิดจะมาชมเรื่องน่าขบขันของเขามิใช่หรือ ดูเอาเถิดว่าตอนนี้ผู้ใดกำลังชมเรื่องน่าขบขันของผู้ใดอยู่กันแน่
จูเก่อสวินที่กุมแก้มไว้ก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าคนนี้จะลงมือกะทันหัน ตอนที่แอบนัดหมายกันมันไม่ใช่แบบนี้นี่นา นี่เป็นการฉวยโอกาสเอาคืนเพราะรู้ว่าตนไม่สามารถเปิดเผยความจริงเบื้องหลังได้ชัดๆ!
หนิวโหย่วเต้าก็ตกตะลึงเช่นกัน ลงไม้ลงมือกันด้วยเหรอ สองคนนี้ช่างเล่นละครได้แนบเนียนนัก!
จูเก่อสวินสะบัดมือตบคืนแทบจะในทันที
ถูไหวอวี้ที่ชิงลงมือก่อนระวังตัวไว้แต่แรกแล้ว จึงยกมือกันไว้ แต่เสี้ยวพริบตาต่อมากลับถูกจูเก่อสวินกระชากเคราเอาไว้
ฝ่าซือติดตามของทั้งสองคนพุ่งปราดเข้ามาอย่างรวดเร็ว แยกคนทั้งสองออกจากกัน
ผู้บำเพ็ญเพียรมากมายพุ่งเข้ามาพร้อมกัน อาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ง่ายๆ ฝ่าซือติดตามของราชทูตคนอื่นๆ จึงตามเข้ามาทันที คุ้มกันคนของตนออกไปจากศาลาก่อน
“ใคร?” จู่ๆ มีใครบางคนตะโกนขึ้นมา ฝ่าซือติดตามคนหนึ่งของจูเก่อสวินหันหลังมาในทันใด คว้าไหล่หวงซวี่เซิงที่กำลังอารักขาซ่งหลงไว้แล้วลากตัวออกมา ตะคอกใส่ว่า “เตะข้าทำไม?”
“ข้าไม่ได้เตะ!” หวงซวี่เซิงผลักเขาออกไป ทว่าอีกฝ่ายกลับเซไปชนโต๊ะจนล้มคว่ำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า