ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 118

ตอนที่ 118 เฮยหมู่ตาน

และในเวลานี้เอง ทั้งสองถึงได้ทราบว่าลานม้าที่ตีนเขาก็เป็นกิจการของผู้ปกครองเมืองไจซิงเช่นกัน แขกที่เข้าพักในโรงเตี๊ยมเชิญเดือนจะได้รับการงดเว้นค่าบริการลานม้า นับว่าประหยัดไปหนึ่งเหรียญทอง ทางโรงเตี๊ยมได้ขอหมายเลขป้ายลงทะเบียนพาหนะของทั้งสองไป ประเดี๋ยวทางนี้จะนำไปแจ้งให้ทางลานม้าทราบ ให้ป้อนหญ้าชั้นดีแก่ม้าของทั้งสอง

ที่แท้ถึงแม้นจะจ่ายค่าบริการหนึ่งเหรียญทองให้ทางลานม้าก็ใช่ว่าจะได้รับหญ้าชั้นดี หากคำนวณเช่นนี้ คล้ายจะคุ้มค่ากว่าการประหยัดเงินหนึ่งเหรียญทอง

จากนั้นพนักงานก็นำทางคนทั้งสองไปที่ห้องพัก หนิวโหย่วเต้าพิจารณาดูห้องโถงใหญ่หลังคาทรงโค้งที่แขวนโคมไฟไว้ทั่วทุกหนทุกแห่ง ให้ความรู้สึกเหมือนโรงแรมห้าดาวในชีวิตก่อนของเขา เพียงแต่กลิ่นอายความเก่าแก่ที่ผสมผสานเข้ากับสถาปัตยกรรมรูปแบบปราสาทแห่งนี้มิใช่สิ่งที่โรงแรมห้าดาวจะเทียบชั้นได้ ความรู้สึกของการข้ามผ่านกาลเวลาอันยาวนานที่แฝงอยู่ในกลิ่นอายเหล่านั้นทำให้ผู้คนดื่มด่ำได้ไม่รูจบ

ช่วยไม่ได้ โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีชื่อว่าโรงเตี๊ยมเชิญเดือน โรงแรมในชีวิตก่อนอยู่แค่ระดับดวงดาว แต่ที่นี่เป็นระดับพระจันทร์เชียวนะ หนิวโหย่วเต้านึกขบขันอยู่ในใจ

เมื่อเข้าสู่ด้านใน ทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้ดวงตาเขาเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง มันเป็นสวนพฤกษศาสตร์แห่งหนึ่ง ด้านนอกไม่มีต้นหญ้างอกเงย แต่ที่นี่กลับเขียวชอุ่มชุ่มชื้น กระถางไฟลุกโชนใบแล้วใบเล่าส่องสว่างอยู่ภายในสวน กลิ่นอายจากแสงเพลิงที่วูบไหวไปมาดูงามกว่าไฟประดับในชาติที่แล้ว งดงามมีเอกลักษณ์ มีแขกผู้เข้าพักกำลังดื่มชาและเดินหมากอยู่ภายในสวน

หนิวโหย่วเต้าร้องจุ๊ๆ อยู่ภายในใจ จากรูปแบบของสวนแห่งนี้ทำให้มองออกว่าเจ้าเมืองเป็นคนมีรสนิยมคนหนึ่งเลยทีเดียว สภาพแวดล้อมของที่นี่ทำให้แขกรู้สึกว่าเงินที่เสียไปคุ้มค่าแล้ว

เขาขึ้นมาถึงห้องพักชั้นบน ภายในห้องพักตกแต่งอย่างวิจิตรเรียบง่าย

เสี่ยวเอ้อจุดตะเกียงภายในห้อง ชี้แจงว่าใบชาอยู่ที่ไหน เตาไฟอยู่ตรงไหน สามารถชงชาได้เลย ส่วนเรื่องตักน้ำ ภายในห้องมีท่อทองแดงสำหรับชักน้ำเข้ามา เป็นน้ำจากหิมะที่ละลายลงมาจากบนภูเขา ไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง อาบน้ำล้างหน้าในห้องได้โดยไม่จำเป็นต้องไปตักจากด้านนอก

หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา พบว่าที่นี่แตกต่างจากโรงเตี๊ยมทั่วไปจริงๆ เริ่มมีรูปแบบที่ดูคล้ายโรงแรมแล้ว

“หากท่านลูกค้าต้องการสิ่งใด สามารถเรียกใช้พวกเราได้ทุกเมื่อขอรับ” เสี่ยวเอ้อเอ่ยทิ้งท้ายไว้อย่างสุภาพนอบน้อม ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูห้องให้

หนิวโหย่วเต้าเปิดหน้าต่างออก ชะโงกหน้ามองแสงไฟภายในเมือง ซ้ำยังมีท้องฟ้ายามราตรีที่ประดับประดาไปด้วยหมู่ดาวระยิบระยับ ดูเจริญหูเจริญตา อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง เขาเอ่ยสั่งโดยไม่หันกลับมามองว่า “ชงชา!”

หยวนฟางตั้งเตา จุดไฟใส่ถ่าน ยกกาน้ำขึ้นตั้ง จากนั้นเดินไปที่ริมหน้าต่าง จุ๊ปากพลางกล่าวว่า “เต้าเหยี่ย สิบเหรียญทองต่อวัน โหดร้ายยิ่งกว่าปล้นกันเสียอีก ตอนอยู่ที่วัดหนานซาน ข้าต้องใช้เวลาตั้งนานหลายวันกว่าจะหาเงินได้สิบเหรียญทองเลยนะขอรับ!” เขานับนิ้วคำนวณให้หนิวโหย่วเต้าฟัง “หนึ่งเหรียญทองคือร้อยเหรียญเงิน หนึ่งเหรียญเงินคือร้อยเหรียญทองแดง พักที่นี่หนึ่งวันคิดเป็นเงินแสนเหรียญทองแดง มากพอให้ชาวบ้านธรรมดาใช้ไปได้หลายปีเลยนะขอรับ พวกเราพักที่นี่หนึ่งวัน โรงเตี๊ยมแทบจะไม่ต้องเสียต้นทุนเลย…”

“คิดแบบนี้ไม่ได้หรอก การจะสร้างโรงเตี๊ยมเช่นนี้ขึ้นมาในสถานที่แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นเดียวกัน อีกอย่างคนเขาก็ทำงานคุ้มราคา รับผิดชอบความปลอดภัยให้ด้วยมิใช่หรือ ความปลอดภัยมันยากที่จะประเมินค่าเป็นเงินทองได้” หนิวโหย่วเต้าแย้มยิ้มพลางเอ่ยหยอกว่า “ใช่ว่าเจ้าจะจ่ายไม่ไหวเสียหน่อย ต่อให้พักอยู่ที่นี่ทั้งปีเจ้าก็คงไม่มีปัญหากระมัง?”

หยวนฟางหัวเราะแหะๆ ลูบตั๋วแลกทองในอกเสื้อ ก่อนออกเดินทาง หนิวโหย่วเต้าได้ขอค่าใช้จ่ายจากไห่หรูเยวี่ยเป็นเงินหมื่นเหรียญทอง เพื่อจะเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาแล้ว ทางนั้นจึงมอบตั๋วแลกทองที่สามารถใช้ได้ในเจ็ดแคว้นไว้ให้ ตั๋วแลกทองที่ว่ามีทั้งตั๋วมูลค่ามากและตั๋วมูลค่าน้อยปะปนกันไป รวมๆ กันแล้วมีมูลค่าหนึ่งหมื่นเหรียญทอง ใช้แลกเปลี่ยนเป็นเงินสดตามร้านแลกเงินของแคว้นต่างๆ ได้ทุกเมื่อ

มีเงินก็ส่วนมีเงิน หยวนฟางที่เคยชินกับการใช้ชีวิตลำบากยากไร้ยังคงปวดใจอยู่บ้าง เขาเอ่ยเตือนว่า “เต้าเหยี่ยขอรับ เมื่อครู่ข้าเห็นป้ายของโรงเตี๊ยมอื่นๆ ในเมืองเช่นกัน ราคาน่าจะถูกกว่าที่นี่มากนัก”

“หยุดคิดเล็กคิดน้อยกับเงินแค่นี้ได้แล้ว” หนิวโหย่วเต้าหัวเราะ หันมามองเขาพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าหมี ฟังให้ดีนะ ติดตามข้าไม่มีทางขาดแคลนเงินทอง ขอเพียงปัจจัยเอื้ออำนวย เราต้องกินของที่ดีที่สุด ใช้ของที่ดีที่สุด พักสถานที่ที่ดีที่สุด ความปลอดภัยสำคัญกว่าอะไรทั้งนั้น เงินไม่มีก็หาใหม่ได้ ขอเพียงข้ายังอยู่ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องเงินเลย ต่อไปเจ้าจะเข้าใจเองว่าเงินก็เป็นแค่จำนวนตัวเลขอย่างหนึ่งเท่านั้น เอาเข้าจริงแล้วค่าใช้จ่ายต่อคนก็ไม่เท่าไรเลย”

“แหะๆ!” หยวนฟางหัวเราะอย่างเซ่อซ่า คำพูดนี้ฟังดูมือเติบใจป้ำนัก แต่ในใจยังคงบ่นอิดออดว่าหากเก็บเงินพวกนี้ไว้บูรณะวัดของข้าคงจะดีไม่น้อย ใช้จ่ายเช่นนี้สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว

นอกโรงเตี๊ยม ทันทีที่แสงไฟในห้องพักนี้สว่างขึ้น ด้านนอกก็มีคนจำนวนไม่น้อยจับจ้องขึ้นมาทันที

สตรีผิวคล้ำนางหนึ่งกัดฟัน หันกลับไปโบกมือเรียกลูกน้องหลายคนให้ไปยังสถานที่ลับตา หลบซ่อนอยู่ในมุมมืดกระซิบกระซาบพูดคุยกันในกลุ่มว่า “ข้าจะเข้าไปหาเขา”

ใครบางคนเอ่ยขึ้นว่า “ลูกพี่ ที่นี่ถ้าไม่ได้เข้าพักก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านใน เว้นแต่คนที่พักอยู่ด้านในจะเรียกเข้าไปพบ แต่พวกเราก็ไม่รู้จักเขา จะให้พวกเราฝืนบุกเข้าไปก็คงไม่ไหวหรอก!”

หญิงสาวตอบว่า “งั้นก็จ่ายเงินเข้าพักสักวันแล้วกัน”

มีคนเอ่ยขึ้นมาว่า “พักหนึ่งวันเสียอย่างน้อยสิบเหรียญทองเชียวนะ ไฉนต้องเสียเงินไปโดยไม่คุ้มค่าเช่นนี้ด้วย อีกอย่าง เขาอาจจะไม่ตอบตกลงก็ได้ ลูกพี่ เขาไม่มีทางอยู่ในนั้นไปตลอดโดยไม่ออกมาหรอก พวกเราผลัดกันเฝ้าอยู่ด้านนอก พอเขาออกมา เราก็รีบเข้าไปขวางเขาไว้สิ”

หญิงสาวส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ไม่ได้ พวกเจ้าไม่เห็นเหรอ? คนที่จับตามองเขาไม่ได้มีแค่พวกเราเท่านั้น รอจนเขาออกมายังไม่แน่ว่าจะตกมาถึงพวกเรา”

มีบางคนเอ่ยว่า “เขาจะยอมตกลงหรือ? ถึงแม้คนที่เข้าพักที่นี่จะเป็นคนมีเงิน แต่ก็มีน้อยคนนักที่จะยอมรับปาก พวกเราเองก็แค่มาลองเสี่ยงโชคดูเท่านั้น”

หญิงสาวตอบว่า “ข้ามีลางสังหรณ์ว่าคนผู้นี้สามารถช่วยพวกเราได้ ข้าเชื่อในตัวเขา!”

ลางสังหรณ์อย่างนั้นหรือ? ลางสังหรณ์จะนับเป็นอันใดได้? คนอื่นๆ พากันพูดไม่ออก แต่ในเมื่อนางตัดสินใจไปแล้ว คนที่เหลือจึงไม่ได้พูดอะไรอีก

หญิงสาวก้าวออกมาจากมุมมืด ยืดอกเชิดหน้าเดินขึ้นบันไดโรงเตี๊ยมเชิญเดือน ตรงเข้าไปด้านใน

ทันทีที่ผ่านเข้าประตูไป นางก็ถูกเสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมเข้ามาขวางไว้ทันที “เฮยหมู่ตาน[1] เจ้าคิดจะทำอะไร? ออกไปซะ ออกไป!” เสี่ยวเอ้อกล่าวพลางโบกมือไล่

สามารถระบุชื่อแซ่ได้ เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวเอ้อรู้ดีว่านางเป็นใคร

สตรีที่ถูกเรียกว่าเฮยหมู่ตานกัดฟันเอ่ยว่า “ข้าจ่ายเงินเข้าพักไม่ได้หรือไร?”

เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ เสี่ยวเอ้อจึงทำได้เพียงปล่อยนางผ่านเข้าไปด้วยความลังเล คอยจับตามองอยู่ด้านข้างจนกระทั่งมาถึงหน้าโต๊ะคิดเงิน

เฮยหมู่ตานหยิบเงินสิบเหรียญทองออกมาแล้วตบลงบนโต๊ะ “เถ้าแก่ พักหนึ่งวัน!”

เถ้าแก่เงยหน้ามอง พอเห็นว่าเป็นนาง เขาก็ยิ้มเยาะมุมปากพลางดันเงินกลับไป

เฮยหมู่ตานถามด้วยความฉงน “หมายความว่าอย่างไร?”

เถ้าแก่ตอบอย่างเฉยเมย “เฮยหมู่ตาน ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าควรเข้ามา เจียมตัวบ้าง”

กระทั่งจ่ายเงินแล้วอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมให้บริการนาง ความอัปยศครั้งนี้ทำให้เฮยหมู่ตานค่อนข้างอับอาย ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ “เงินน้อยไปหรืออย่างไร หรือว่าขึ้นราคาแล้ว?”

เถ้าแก่เห็นนางยังคงเซ้าซี้ จึงเอ่ยไปตามตรงว่า “ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า”

พอเห็นเถ้าแก่มีท่าทีเช่นนี้ เสี่ยวเอ้อจึงรีบโบกมือไล่พลางเอ่ยว่า “ไปซะๆ รีบออกไปซะ”

เฮยหมู่ตานโมโห “ข้าไม่ไป! ใช่ว่าข้าจะไม่จ่ายเงินเสียหน่อย อีกทั้งไม่ได้ทำให้พวกเจ้าเสียเงินด้วย แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรด้วย มีสิทธิ์อะไรมาไล่ข้าออกไป? ถ้าวันนี้พวกเจ้ากล้าไล่ข้าออกไป วันหน้าหากข้าเห็นท่านเจ้าเมืองปรากฏตัวขึ้นในเมือง ข้าจะต้องไปขอคำอธิบายแน่ ข้าจะถามท่านเจ้าเมืองดูซิว่าเมืองไจซิงมีกฎเช่นนี้ด้วยหรือ!”

พอนางว่ามาแบบนี้ สีหน้าเถ้าแก่พลันคร่ำเคร่งขึ้นมา สุดท้ายก็เคาะโต๊ะแล้วเอ่ยเตือนว่า “พักที่นี่น่ะได้ แต่ข้าขอเตือนเจ้าไว้ ผู้ที่เข้าพักในโรงเตี๊ยมเชิญเดือนล้วนเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ เจ้าอย่าได้ไปรบกวนจะดีที่สุด มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

เฮยหมู่ตานเถียงคอเป็นเอ็น “ข้ารู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาเตือน”

เถ้าแก่ยกมือกวาดเงินกลับมา โยนป้ายห้องพักให้ จากนั้นโบกมือสื่อให้เสี่ยวเอ้อนำทางนางไปที่ห้องพัก

เมื่อมาถึงสวนด้านหลัง เฮยหมู่ตานเริ่มเหลียวซ้ายแลขวา วิเคราะห์ว่าห้องที่มีแสงโคมสว่างออกมาเมื่อครู่คือห้องไหน หลังจากทราบตำแหน่งก็จดจำไว้ในใจเงียบๆ

เฮยหมู่ตานเข้าไปอยู่ในห้องพักของตน รอคอยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเปิดประตูออกมาอีกครั้ง เดินไปทางห้องที่ตัวเองจดจำเอาไว้ห้องนั้น

แต่ผลปรากฏว่ายังไม่ทันจะได้เข้าใกล้ห้องนั้น ก็มีคนของโรงเตี๊ยมเดินตามมาทันที เฮยหมู่ตานชะงักเท้าหันกลับไป เอ่ยถามว่า “เจ้าตามข้ามาทำไม?”

เสี่ยวเอ้อตอบว่า “ไม่ได้ตามเจ้าสักหน่อย ภายในโรงเตี๊ยมนี้ ข้าจะเดินไปไหนก็ได้”

เฮยหมู่ตานทราบดีว่าเขากำลังขัดขวางตนอยู่ ความรู้สึกที่ถูกดูแคลนเช่นนี้ยากจะบรรยายออกมาได้ แล้วก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน นางคิดว่าคงเข้าใกล้เป้าหมายด้วยวิธีปกติไม่ได้แล้ว โรงเตี๊ยมรู้ประวัติของนาง มีความเป็นไปได้สูงว่าจะตามจับตามองนางอยู่ตลอดเวลา หลังจากครุ่นคิดกลับไปกลับมาอยู่ในสมอง สุดท้ายก็หันหลังสาวเท้าเดินออกไป ตรงไปยังห้องพักของเป้าหมายให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย

ทว่าทันทีที่เดินไปถึงหน้าประตูห้อง เสี่ยวเอ้อคนนั้นเห็นเช่นนั้นจึงรีบพุ่งเข้าไป เอาตัวขวางหน้าประตูห้องไว้ทันที เอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “เฮยหมู่ตาน ข้าว่าเจ้าอย่ามาวุ่นวายจะดีกว่า หากรบกวนจนแขกไม่สบอารมณ์เข้า เจ้าได้เจอดีแน่”

เฮยหมู่ตานกล่าวว่า “ข้ารู้จักแขกที่อยู่ในห้อง เขาเป็นคนเรียกข้ามา”

เสี่ยวเอ้อยิ้มเยาะพลางเอ่ยว่า “หยุดก่อเรื่องเถอะ ทุกคนต่างก็รู้ไส้รู้พุงกันดี เจ้าเป็นใครคิดจะทำอะไรยังต้องให้ข้าพูดมากอีกหรือ?”

เฮยหมู่ตานตอบกลับไปว่า “แขกที่อยู่ในห้องเป็นคนเรียกข้ามาจริงๆ เขามีเรื่องจะสอบถามข้า ไม่เชื่อเจ้าก็ไปถามดูสิ”

พนักงานเอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าอย่ามาใช้ลูกไม้นี้เลย ถ้ายังก่อเรื่องอยู่อีก ระวังข้าจะเรียกคนมาจัดการเจ้านะ!”

และในเวลานี้เอง ประตูห้องเปิดออก หยวนฟางโผล่หน้าออกมาจากประตู มีเสียงงึมงำๆ อยู่นอกห้อง หนิวโหย่วเต้าจึงให้เขาออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

“พวกเจ้าจะทำอะไร?” หยวนฟางเอ่ยถามด้วยสีหน้าระแวดระวัง

เสี่ยวเอ้อรีบตอบว่า “ไม่มีอะไรขอรับ” เมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เขายิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่รู้จักเฮยหมู่ตานแน่

แต่เฮยหมู่ตานกลับฉวยโอกาสนี้ตะโกนเข้าไปในห้อง “น้องชาย ข้าเอง พวกเราเคยเจอกันแล้วไง”

เสี่ยวเอ้อโมโหอย่างมาก ที่นี่น่ามีแขกไม่น้อยที่กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ จะปล่อยให้เกิดเสียงโหวกเหวกรบกวนเช่นนี้ได้อย่างไร เขาหันไปโบกมือส่งสัญญาณ มีคนสองคนพุ่งเข้ามาทันที คว้าแขนเฮยหมู่ตานไว้คนละข้างแล้วลากออกไปทันที

หยวนฟางงุนงง นี่มันเรื่องอะไรกัน?

ในเวลานี้หนิวโหย่วเต้าก็โผล่หน้าออกมาเช่นกัน เขาถูกเสียงตะโกนรบกวนเข้า จึงเอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?” สายตามองไปทางเฮยหมู่ตานที่กำลังดิ้นรนขัดขืนระหว่างที่ถูกลากตัวออกไป

หยวนฟางส่ายหน้า รู้สึกงุนงง ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!

เสี่ยวเอ้อรีบพยักหน้าค้อมคำนับพลางตอบว่า “ไม่มีอะไรขอรับ รบกวนการพักผ่อนของท่านลูกค้าเสียแล้ว ขออภัยจริงๆ ขอรับ”

เฮยหมู่ตานหันหน้าตะโกนมาทางหนิวโหย่วเต้าว่า “น้องชาย ข้าเอง ก่อนหน้านี้พวกเราเคยเจอกันแล้ว” คนที่ประกบนางอยู่พลันลงมือสกัดจุดนาง ทำให้นางส่งเสียงไม่ได้อีก

หนิวโหย่วเต้างุนงงไปเล็กน้อย รู้สึกคุ้นหน้าอยู่บ้าง พลันนึกขึ้นได้ว่านางคือหนึ่งในบรรดาคนที่ ‘จ้องเขม็งตาเป็นมัน’ อยู่ด้านนอก เนื่องจากนางเป็นสตรี อีกทั้งรูปร่างหน้าตาพอใช้ได้ ประกอบกับมีผิวคล้ำเป็นเอกลักษณ์ ทำให้คนจดจำได้ง่าย เขาชี้มือออกไปพลางกล่าวว่า “แบบนี้ยังไม่เรียกมีเรื่องหรอกหรือ? จะไม่มีอะไรได้ยังไง? มาหาข้าอย่างนั้นหรือ?”

เสี่ยวเอ้อรีบตอบว่า “ในเมืองมีมัจฉามังกรปะปนกันไป ย่อมต้องมีคนที่คิดไม่ซื่ออยู่บ้าง ท่านไม่จำเป็นต้องสนใจนางหรอกขอรับ”

หนิวโหย่วเต้ากำลังอยากทำความเข้าใจสถานการณ์ของที่นี่อยู่พอดี ด้วยอาชีพของเขาในชีวิตที่แล้วทำให้เขาไม่กลัวที่จะต้องติดต่อพูดคุยกับคนที่ชอบทำอะไรวุ่นวาย เพราะคนที่ชอบทำอะไรวุ่นวายมักจะรู้ถึงเรื่องราวยุ่งเหยิงวุ่นวายบางอย่างเสมอ ยกตัวอย่างเช่นพวกสุภาพบุรุษประพฤติตัวมีคุณธรรมไหนเลยจะทราบว่าสภาพแวดล้อมภายในหอคณิกาเป็นอย่างไร เขาชี้นิ้วออกไปอีกครั้งพลางกล่าวว่า “หากว่าสะดวก ก็ปล่อยนางเข้ามาเถอะ”

“เอ่อ…” เสี่ยวเอ้อตะลึงงัน สุดท้ายโบกมือส่งสัญญาณให้อีกสองคน

คนที่ประกบอยู่ปล่อยตัวเฮยหมู่ตาน เฮยหมู่ตานเชิดหน้าแล้วชี้นิ้วเข้าหาตัว สื่อว่าให้คลายผนึกบนร่างตนด้วย

หลังจากคลายผนึกแล้ว เฮยหมู่ตานจัดแจงเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ให้เรียบร้อย จากนั้นยืดอกเชิดหน้าเดินกลับมาอีกครั้ง

……………………………………………

[1] เฮยหมู่ตาน หมายความว่า โบตั๋นดำ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า