ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 120

ตอนที่ 120 ความหวัง

เฮยหมู่ตานเองก็เดาออกเช่นกันว่าหยวนฟางจะทำอะไร นางจัดการเรื่องของตนเองไป เปิดกล่องอาหารทั้งสองใบออก ยกอาหารออกมาจัดวาง

ณ ห้องโถงใหญ่ของโรงเตี๊ยม หยวนฟางวางใบเสร็จลงบนโต๊ะ เอ่ยถาม “นี่เป็นของจริงหรือของปลอม?”

เถ้าแก่รับไปมองเพียงแวบเดียวก็เข้าใจ ยื่นคืนให้พลางตอบว่า “ของจริงขอรับ เมื่อครู่สตรีที่ผิวค่อนข้างคล้ำคนนั้นเพิ่งมาจ่ายค่าเช่าให้”

หยวนฟางรับใบเสร็จคืน หันหลังจากไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แววตาวูบไหวไม่หยุดนิ่ง อุทานอยู่ในใจ แบบนี้ก็ได้หรือ?

เขาพบว่าตนปล้นชิงก่อกรรมซ้ำไปซ้ำมาอยู่ที่วัดหนานซานตั้งหลายปีเพิ่งสะสมเงินได้ไม่กี่ร้อยเหรียญทอง ยังสู้ทำแบบนี้ไม่ได้เลย ต้องใคร่ครวญดูให้กระจ่างว่าต้องทำอย่างไร หากว่าเข้าเท่า นี่จะกลายเป็นช่องทางหาเงิน!

เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก รีบกลับไปที่ห้องพัก เดินไปหยุดข้างกายหนิวโหย่วเต้า ก้มกระซิบข้างหูว่า “เต้าเหยี่ย ของจริงขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าปรายตามองแวบหนึ่ง รู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย พบว่าหยวนฟางทำตัวตระหนี่ถี่เหนียวไปหน่อย ทำเหมือนว่าไม่เคยเห็นเงินมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น มิใช่ว่าอยากเลียนแบบหยวนกังหรอกหรือ เหตุใดเงินแค่พันกว่าเหรียญทองก็ทำให้เจ้าละทิ้งการคุ้มกันข้าไปได้เล่า? เงินสำคัญกว่าหรือข้าสำคัญกว่ากันแน่?

อาหารจัดวางแล้ว สุรารินไว้แล้ว เฮยหมู่ตานหยิบขวดกระเบื้องเล็กๆ ใบหนึ่งออกมา โรยผงสีขาวลงบนอาหารทุกจานเล็กน้อย ทำการทดสอบพิษให้ดูเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ

หยวนฟางกลับยื่นมือไปคว้าขวดกระเบื้องใบน้อยมาจากมือนาง ใช้ปลายนิ้วหยิบมาเล็กน้อย แตะชิมที่ปลายลิ้น เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาถึงคืนให้อีกฝ่ายอีกครั้ง

หนิวโหย่วเต้าอดขำไม่ได้ ลืมไปเลยว่าเจ้าหมีตัวนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวางยา เขาชี้นิ้วไปทาง ‘บันทึกสัตว์ประหลาด’ ที่เฮยหมู่ตานวางไว้ด้านข้าง

เฮยหมู่ตานรีบหยิบขึ้นมาแล้วยื่นส่งให้ด้วยสองมือ

หนิวโหย่วเต้ารับ ‘บันทึกสัตว์ประหลาด’ ไปถือ พลิกดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพลิกไปถึงหน้าที่บันทึกภาพราชาหมีขนทองไว้ก็ยื่นไปให้หยวนฟาง “เจ้าลองดูสิ”

ดูอะไร? หยวนฟางฉงน รับไปอ่านดู สองตาพลันตกตะลึง

หนิวโหย่วเต้าผายมือเชิญเฮยหมู่ตานให้นั่งลงฝั่งตรงข้าม พร้อมเอ่ยถามว่า “เฮยหมู่ตานเป็นนามแฝงกระมัง?”

ในที่สุดก็ยอมเจรจากับตนแล้ว เฮยหมู่ตานกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา นั่งลงตรงข้ามเขาอย่างเรียบร้อย พยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม “เป็นนามแฝง แต่ก็เป็นนามจริงด้วยเช่นกัน ตั้งแต่เล็กมาไม่เคยรู้ว่าพ่อแม่ตนเป็นใคร พอเริ่มจำความได้ก็รู้ว่าเร่ร่อนไปตามท้องถนนมาโดยตลอด ข้าผิวพรรณดำคล้ำมาตั้งแต่เล็ก ถูกคนเรียกว่าสาวน้อยตัวดำ ต่อมาบังเอิญพบอาจารย์ จึงได้รับนามว่าเฮยหมู่ตาน”

หนิวโหย่วเต้าร้องอ้อ ถามต่อว่า “อาจารย์ของเจ้าเป็นยอดฝีมือจากสำนักใดเหรอ?”

เฮยหมู่ตานตอบว่า “เป็นผู้บำเพ็ญเพียรอิสระที่ไร้สำนัก มีครั้งหนึ่งตอนที่พาข้าออกทะเลไปเก็บสมุนไพรวิญญาณ เผชิญการปล้นชิงเข้า อาจารย์ถูกสังหารสิ้นชีพ ข้าหนีลงทะเลจึงหลบเลี่ยงเคราะห์ภัยมาได้”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า ถามต่ออีก “เจ้าเป็นโสด?”

เฮยหมู่ตานกล่าวตอบ “เมื่อก่อนมีตาแต่ไร้แวว เคยติดตามบุรุษคนหนึ่ง ภายหลังไอ้สารเลวผู้นั้นต้องการปีนป่ายใฝ่สูง จึงทิ้งข้าไป ตอนนี้จับกลุ่มร่วมงานกับพรรคพวกที่มีปณิธานแบบเดียวกัน”

เมื่อตระหนักได้ว่าสุ้มเสียงของตนมีความเกลียดชังเจือปนอยู่ นางจึงยกจอกสุราขึ้นมาคารวะเพื่อกลบเกลื่อน

หนิวโหย่วเต้าร่วมดื่มเป็นเพื่อนจอกหนึ่ง พร้อมกับปรายตามองหยวนฟางที่อยู่ด้านข้าง สังเกตเห็นว่าสีหน้าหยวนฟางไม่สู้ดี จึงลอบขบขันอยู่ในใจ

เฮยหมู่ตานวางจอกสุราลง เชื้อเชิญให้ลิ้มลองอาหาร “คุณชายลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” พร้อมกับลุกขึ้นมา ย้ายไปนั่งด้านข้างหนิวโหย่วเต้า ช่วยรินสุราให้

หนิวโหย่วเต้าหยิบตะเกียบคีบชิมสองสามคำ ถามขึ้นมาอีกว่า “เจ้ามีสภาวะระดับใด? แล้วพรรคพวกของเจ้าที่อยู่ด้านนอกมีสภาวะระดับใด?”

“ล้วนมีสภาวะระดับสร้างฐานกันหมดแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่กล้ามาหาคุณชายที่นี่” หลังจากเฮยหมู่ตานยกการินสุราให้เขา ก็ลองสอบถามว่า “ข้ายังไม่ทราบนามอันสูงส่งของคุณชายเลย”

“เซวียนหยวนเต้า” หนิวโหย่วเต้ายิ้มพลางแนะนำตัวเองเล็กน้อย จากนั้นชี้ไปทางหยวนฟางที่สีหน้าย่ำแย่ เขานามว่า “จินเวย”

หลังผูกความแค้นกับตระกูลซ่งเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสังหารซ่งหลงที่เป็นราชทูตแคว้นเยี่ยนไปแล้ว เวลาออกมาด้านนอกทั้งสองล้วนต้องเปลี่ยนแปลงชื่อแซ่ ส่วนหยวนฟางเดิมทีก็ไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการอยู่แล้ว เมื่อก่อนที่วัดหนานซานล้วนเรียกขานเขาว่าเสี่ยวจิน นามจินเวยเป็นหยวนฟางที่ตั้งขึ้นมาเอง หยวนฟางรู้สึกว่านามของหยวนกังดูแกร่งกร้าวนัก คิดว่านามของตนก็ไม่ควรจะด้อยกว่าเช่นกัน จึงตั้งชื่อให้ตัวเองว่าจินเวย

เฮยหมู่ตานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่ได้ยินพี่จินเวยเรียกคุณชายว่าเต้าเหยี่ย ที่แท้ก็มีที่มาเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นต่อไปข้าจะเรียกคุณชายว่าเต้าเหยี่ยเช่นกัน ไม่ทราบว่าเต้าเหยี่ยเป็นยอดฝีมือจากสำนักใดหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “เช่นเดียวกับเจ้า ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก”

สีหน้าเฮยหมู่ตานแปรเปลี่ยนทันที จากนั้นสีหน้าดูผ่อนคลายลงอีกครั้ง ยิ้มพลางกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้”

หนิวโหย่วเต้าถามด้วยความแปลกใจ “เหตุใดจึงเป็นไปไม่ได้เล่า”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า