ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 121

ตอนที่ 121 ขอร้องคนย่อมลำบาก

เจ้าคิดจะลอบทำการค้าอย่างนั้นหรือ? ทำการค้าจำเป็นต้องพบปะกับผู้คนจำนวนมาก เกิดการแข่งขันขึ้นภายในวงการเดียวกัน ใต้หล้าเต็มไปด้วยผู้บำเพ็ญเพียร เบื้องหลังของเจ้าย่อมถูกเปิดเผยออกมาได้ง่าย ผลลัพธ์ที่ตามมาหลังจากถูกจับได้มิใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักคนใดจะแบกรับไหว ดังนั้นเส้นทางรายได้นี้จึงแทบจะถูกตัดขาดไป

เป็นฝ่าซือติดตามขุนนางก็ได้เงินเช่นกัน แต่โดยทั่วไปแล้วอาชีพนี้จะถูกผูกขาดด้วยอิทธิพลของกลุ่มสำนัก ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักไม่มีทางแทรกแซงเข้าไปได้เลย ยกตัวอย่างเช่นเฟิ่งหลิงปอมีสำนักหยกสวรรค์ที่อยู่เบื้องหลังคอยกดดันอยู่ เฟิ่งหลิงปอจะรับผู้บำเพ็ญไร้สำนักเข้าไปได้หรือ?

เป็นฝ่าซือติดตามเศรษฐีก็เป็นช่องทางหาเงินอย่างหนึ่งเช่นกัน แต่คหบดีตระกูลใดบ้างที่ไม่อยู่ในสังกัดอำนาจของขุนนาง เรื่องที่ฝ่ายขุนนางไม่เห็นด้วย คหบดีหน้าไหนจะกล้าทำ? จะถูกยึดทรัพย์กวาดล้างตระกูลเอาน่ะสิ

ดังนั้นภายในโลกปุถุชน ส่วนใหญ่แล้วผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักแทบจะไม่มีแหล่งรายได้เลย

แม้ในโลกบำเพ็ญเพียรจะอนุญาตให้ทำการค้าได้ แต่ก็มีกฎระเบียบคอยควบคุม ใช้คำพูดสวยหรูว่าทำเพื่อรับรองความยุติธรรมในการแลกเปลี่ยนค้าขาย เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้บริโภค!

แล้วช่วยรักษาอย่างไรน่ะหรือ? ก็ไม่อนุญาตให้ร้านค้าที่ไม่ได้ถูกควบคุมเปิดกิจการค้าขายอย่างไรล่ะ

แล้วอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าร้านค้าที่ไม่ถูกควบคุม? ร้านค้าที่ต้องการเปิดกิจการค้าขายจำเป็นต้องมีความสามารถที่จะถูกควบคุม เจ้าไม่สามารถขายของปลอมหลอกลวงลูกค้าแล้วเชิดหนีไปได้ เมื่อถึงเวลานั้นผู้ซื้อจะไปทวงถามความเป็นธรรมกับผู้ใดเล่า? ดังนั้นจึงต้องเปิดร้านค้าขายภายใต้สังกัดสำนัก หากเกิดเรื่องขึ้น ตัวเจ้าหนีไปแต่สำนักยังคงอยู่ ถ้าเจ้าหนีไป สำนักที่อยู่เบื้องหลังเจ้าก็ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของเจ้า ผู้ใดใช้ให้สำนักของเจ้าอบรมสั่งสอนศิษย์ขี้โกงเช่นนี้ออกมาเล่า หากสำนักของพวกเจ้าไม่รับผิดชอบแล้วผู้ใดจะรับผิดชอบ?

วาจานี้กล่าวได้ถูกต้องสมเหตุสมผล ผู้ใดก็ไม่สามารถโต้แย้งได้ว่าไม่มีเหตุผล ด้วยเหตุนี้สิทธิ์ในการค้าขายของผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักจึงถูกลิดรอนลงไปอีก

แน่นอนว่าต่อให้กลุ่มพันธมิตรแห่งโลกบำเพ็ญเพียรจะมีอำนาจมากแค่ไหน แต่หากเจ้าซ่อนตัวตามหลืบมุมต่างๆ แล้วแอบทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันเป็นการส่วนตัว พวกเขาก็เข้ามาก้าวก่ายไม่ได้เช่นเดียวกัน

แต่ไม่เป็นไร เพราะการค้าใดๆ ที่เจรจาซื้อขายกันแบบส่วนตัวจะไม่ได้รับการคุ้มครองใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต้องรับผิดชอบกันเอาเอง

ทว่าตามสถานที่ต่างๆ จะมีลูกค้าสักกี่คนที่ยินดีซื้อขายกันแบบส่วนตัว? คนส่วนใหญ่ยังคงต้องการมายังสถานที่อย่างเมืองไจซิงที่มีฐานลูกค้าหลากหลายมากกว่าสถานที่อื่นๆ

ในเมืองไจซิงเองก็มีการเจรจาซื้อขายแบบส่วนตัวอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แต่หากต้องซื้อของประเภทเดียวกันในราคาที่เท่ากันแล้ว เหตุใดผู้ซื้อถึงจะไม่เลือกร้านค้าที่รับประกันความปลอดภัยได้มากกว่าเล่า ดังนั้นหากเจ้าอยากขายของได้ก็จำเป็นต้องลดราคาให้ต่ำกว่า

แต่ก็เหมือนอย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ การเจรจาซื้อขายแบบส่วนตัวไม่ได้รับการคุ้มครอง นั่นหมายความว่าหากตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ทันทีที่ผู้ซื้อหรือผู้ขายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีความมั่นใจว่าตนมีกำลังเหนือกว่าอีกฝ่าย มันก็อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่ใช้กำลังบังคับเอาเปรียบกันได้ ในเมื่อข้าคิดว่าตัวข้าสามารถกำจัดเจ้าได้ แล้วทำไมต้องจ่ายเงินให้เจ้าด้วย? หรือบนตัวเจ้ามีเงินมากขนาดนี้อยู่ อีกทั้งข้าก็สามารถกำจัดเจ้าได้ แล้วเหตุใดต้องมอบของให้เจ้าด้วย ปล้นเงินเจ้าเลยดีกว่า ของที่อยู่ในมือก็ยังเอาไปขายต่อให้คนอื่นได้อีก

คนยากไร้สายตาตื้นเขิน มักทำเรื่องสุดโต่งได้ง่ายๆ โดยเฉพาะคนอย่างเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก

เช่นนี้แล้วมันก็เลยกลายเป็นวงจรอุบาทว์ ชื่อเสียงของผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักฉาวโฉ่ขึ้นเรื่อยๆ กฎระเบียบที่หอเลือนสลัวกำหนดขึ้นมาก็มีความสมเหตุสมผลขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้ปฏิเสธได้ยากขึ้นเรื่อยๆ

ซ้ำยังมีเรื่องบาดหมางระหว่างคนในวงการเดียวกันด้วย ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักอย่างเจ้าขายสินค้าชนิดเดียวกับสำนักของพวกเรา แต่หากเจ้าขายในราคาต่ำกว่า? แล้วการค้าของพวกเราจะเป็นอย่างไรเล่า? อย่างไรซะการซื้อขายของเจ้าก็ไม่ได้รับการคุ้มครองอยู่แล้ว หากมีคนในกลุ่มสำนักปลอมตัวมาจัดการเจ้าก็นับเป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างมากเช่นกัน

ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักบ้างก็ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานชั่วร้ายที่ขัดต่อกฎระเบียบ หากถูกจับได้ก็ตายสถานเดียว บ้างก็ทำได้เพียงไปเก็บสมุนไพรวิเศษตามสถานที่อันตรายบางแห่งที่คนธรรมดาในโลกปุถุชนเข้าไม่ถึง ยกตัวอย่างเช่นไปลองเสี่ยงโชคบนเกาะนอกฝั่งทะเล สถานที่ใดที่คนธรรมดาเข้าถึงได้ โอกาสที่จะหลุดรอดมาถึงพวกเขามีน้อยนัก

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็กลายเป็นวงจรอุบาทว์อีกครั้ง หากผู้บำเพ็ญเพียรอย่างเจ้าต้องสิ้นเปลืองกำลังมากมายไปกับเรื่องเช่นนี้ ไหนเลยจะยังเหลือเรี่ยวแรงมากพอสำหรับฝึกบำเพ็ญเพียรอีก หากเทียบระดับความก้าวหน้ากับศิษย์ในสังกัดสำนักแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักย่อมต้องด้อยกว่า

ด้วยเหตุผลต่างๆ เหล่านี้ ขอถามหน่อยเถิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักคนใดบ้างที่จะไม่อยากมีสังกัดสำนัก?

แต่การจะก่อตั้งสำนักก็มิใช่เรื่องที่ง่ายดายเช่นกัน มีเงื่อนไขกำหนดไว้มากมาย แค่ภารกิจพิสูจน์ความสามารถสามสิบรายการนั่นก็สามารถคัดคนออกไปเป็นจำนวนมากได้แล้ว พอให้หาสำนักอื่นมาช่วยแนะนำและให้การรับรองก็คัดคนทิ้งไปได้อีกมากโข สุดท้ายคนที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขการก่อตั้งสำนักก็จะเหลืออยู่น้อยเป็นอย่างมาก

กฎระเบียบเช่นนี้ กระทั่งหนิวโหย่วเต้าก็ยังต้องลอบทอนถอนใจ รู้สึกว่าหอเลือนสลัวแห่งนี้ค่อนข้างไร้คุณธรรม เดิมทีกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักก็ลำบากมากพออยู่แล้ว เจ้าก็ยังจะกำหนดสามสิบภารกิจขึ้นมา เพื่อให้กลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักช่วยกำจัดผู้เห็นต่างที่มีชื่ออยู่บนทำเนียบ ‘มารร้ายนอกรีต’ ให้อีก คาดว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ลงมือสังหารเป้าหมายไปบางส่วนแล้วแต่ก็ยังทำภารกิจทั้งหมดให้บรรลุไม่ได้ นั่นเท่ากับว่าคนเหล่านั้นต้องเหนื่อยเปล่า

นี่เรียกได้ว่ามีคนคอยรับใช้ทำงานหนักให้ อีกทั้งไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าแรง ก็มีคนกระตือรือร้นเสนอตัวช่วยจัดระเบียบสังคมให้

ส่วนผู้ที่อยู่ในสังกัดสำนักก็นั่งเสพสุขอยู่ในสังคมที่ในแง่หนึ่งแล้วถือว่าถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก ทำมาหากินไปอย่างสบายใจ ได้รับทรัพยากรสำหรับฝึกบำเพ็ญ

แต่สำหรับเรื่องนี้ หนิวโหย่วเต้าก็ไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจอันใดให้เช่นกัน

เขาทราบชัดเจนดี สิ่งที่ทุกคนล้วนต้องการย่อมต้องกลายเป็นสิ่งที่ขาดแคลน แล้วก็จะก่อให้เกิดสภาวะขาดตลาดจัดสรรไม่ลงตัว ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะนี้ได้ มักจะมีคนที่ต้องการครอบครองทรัพยากรให้มากขึ้นอยู่เสมอ เรื่องแบบนี้ไม่มีผู้ใดยอมแสดงน้ำใจหลีกทางให้ผู้อื่นได้ผลประโยชน์ไปอย่างแน่นอน ต่อให้มีก็น้อยมาก เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในภาพรวมไม่ได้

และสาเหตุที่เฮยหมู่ตานเข้าหาตนอย่างสุภาพอ่อนน้อมเช่นนี้ ก็เพียงเพราะอยากได้ใบผ่านทางเข้าสู่แวดวงสำนักเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้หนิวโหย่วเต้าจึงยิ้มเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “เพราะเหตุใดเจ้าถึงคิดว่าข้าสามารถช่วยเจ้าได้?”

เฮยหมู่ตานอยากกล่าวว่าเจ้าดูอ่อนวัยเช่นนี้ แล้วก็ยังมีผู้ติดตามอยู่ข้างกาย มาถึงก็เข้าพักในสถานที่แพงระยับเช่นนี้ ถ้าเบื้องหลังไม่มีอำนาจและภูมิหลังคอยหนุนหลังอยู่ก็แปลกแล้ว แม้แต่คนโง่ก็ยังดูออกเลย แต่แน่นอนว่านางไม่มีทางเอ่ยออกไปเช่นนี้ “เต้าเหยี่ยบุคลิกไม่ธรรมดา มองแวบเดียวก็ทราบแล้วว่าช่วยเหลือข้าได้”

หนิวโหย่วเต้าอดหัวเราะไม่ได้ “ที่นี่มีแขกพักอยู่ไม่น้อย เหตุใดถึงพุ่งเป้ามาที่ข้า?”

คนหนุ่มอายุน้อยประสบการณ์ไม่มาก จึงโน้มน้าวได้ง่าย หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าคงไม่ให้แม้แต่โอกาสเจรจา ตอนนี้พวกเราก็นั่งคุยกันแล้วมิใช่หรือ?

เมื่อความคิดนี้วาบผ่านขึ้นมาในหัวสมองของเฮยหมู่ตาน จู่ๆ กระทั่งตัวนางก็ยังสับสนขึ้นมา ชายหนุ่มคนนี้ดูคล้ายคนขาดประสบการณ์เสียที่ไหน? นัยน์ตาคู่นั้นให้ความรู้สึกว่าลุ่มลึกยิ่งนัก

“สัญชาตญาณ ความรู้สึก บางครั้งสตรีก็เชื่อมั่นในความรู้สึกของตน” เฮยหมู่ตานอธิบายไปเช่นนี้

หนิวโหย่วเต้ายิ้มมุมปากเล็กน้อย มองหยวนฟางที่นั่งหน้าบูดอยู่ด้านข้าง “เจ้าหมี เจ้าไม่พอใจหรือ?”

เฮยหมู่ตานพูดไม่ออก เหตุใดถึงเปลี่ยนประเด็นสนทนาอีกแล้วเล่า?

หยวนฟางอึกอักลังเล มองดูเฮยหมู่ตานที่ยังคงนั่งอยู่ที่นี่เล็กน้อย สุดท้ายจึงไม่ได้พูดออกมา เพียงส่ายหน้าให้

หนิวโหย่วเต้าพยักเพยิดหน้าไปทางหยวนฟาง เอ่ยว่า “เฮยหมู่ตาน เจ้าดูเอาเถอะ คนสนิทของข้าไม่พอใจเรื่องของเจ้าอย่างเห็นได้ชัด”

หยวนฟางมึนงง มองเฮยหมู่ตานแวบหนึ่ง คร่ำครวญอยู่ในใจ ไม่เกี่ยวอะไรกับนางเลย

ขอร้องผู้อื่นย่อมยากเย็น เฮยหมู่ตานเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี นางฝืนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย พวกเราไม่ให้ท่านช่วยเหลือเรื่องนี้เปล่าๆ แน่ ภายหน้าหากมีธุระใดก็สามารถสั่งการมาได้เลย ถึงบุกน้ำลุยไฟก็ไม่เกี่ยง”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “พูดจาน่าฟัง แต่ไม่มีประโยชน์เลย คาดว่าคงไม่มีสำนักใดกล้าเสี่ยงเพื่อคนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ากระมัง? ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเงินหนึ่งแสนเหรียญทองก็มิใช่จำนวนน้อยๆ เจ้าไปสะสมเงินมาให้ครบก่อนเถอะ เห็นแก่ที่เจ้ามีมารยาทขนาดนี้….” เขาบุ้ยปากไปทางสุราอาหารบนโต๊ะ “ข้าสามารถหาสำนักสักแห่งมาช่วยรับรองให้เจ้าได้”

เฮยหมู่ตานคิดในใจ หากข้าหาเงินได้มากมายปานนั้นจะมาหาเจ้าทำไม? นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เต้าเหยี่ย ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักลำบากจริงๆ สำหรับพวกเราแล้วเงินหนึ่งแสนเหรียญทองเป็นเงินจำนวนมหาศาล พวกเราหามาไม่ได้จริงๆ เอาอย่างนี้แล้วกัน ขอเพียงจัดการเรื่องราวได้สำเร็จ ทันทีที่พวกเราพอจะหาเงินได้แล้ว เงินส่วนนี้เราคืนให้แน่นอน ถือว่าเป็นสินน้ำใจ ไม่มีทางเรียกคืน!”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้านิดๆ “ต่อให้เจ้ายื่นเรื่องก่อตั้งสำนักได้สำเร็จ แต่ด้วยระดับสภาวะของพวกเจ้า สำนักเล็กๆแห่งหนึ่งที่เพิ่งตั้งตัวขึ้นมา คิดจะหาเงินให้ได้หนึ่งแสนเหรียญทองภายในสามปี เป็นไปได้หรือ? หากสำนักของพวกเจ้าล่มสลายภายในสามปี นั่นก็ยิ่งไม่มีทางคืนได้เลย คนที่รับรองมิต้องกลายเป็นคนโชคร้ายหรอกหรือ? หากว่าทำได้จริง เจ้าก็ลองบอกข้ามาทีสิว่าเจ้าจะหาเงินด้วยวิธีไหน? เปิดร้านค้าอย่างนั้นหรือ? ต้องค้าขายสิ่งใดเล่าถึงจะหาเงินได้มากขนาดนี้? ไปเป็นฝ่าซือติดตามงั้นหรือ? ยังไม่ต้องพูดถึงเลยว่าพวกเจ้าจะสามารถแข่งขันกับสำนักอื่นได้หรือไม่ เอาแค่ระดับสภาวะของพวกเจ้าในตอนนี้ เจ้าคิดว่าจะสามารถเรียกค่าจ้างราคาสูงจากนายจ้างได้หรือ?”

เฮยหมู่ตานขบริมฝีปากคิดหาเหตุผล

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “เมื่อลังเลก็แปลว่าเจ้าไม่มีวิธี อย่าคิดหาข้ออ้างมาหลอกข้าจะดีที่สุด!”

เฮยหมู่ตานกัดฟันเอ่ยว่า “ถูกต้อง ต่อให้จัดการเรื่องราวได้สำเร็จ พวกเราก็ไม่กล้ารับประกันว่าสามารถหาเงินหนึ่งแสนเหรียญทองได้ภายในสามปี เอาอย่างนี้แล้วกัน เต้าเหยี่ย ท่านเสนอเงื่อนไขมาได้เลย พวกเราจะดูเองว่าสามารถทำได้หรือไม่”

“ให้ข้าเสนอเงื่อนไขอย่างนั้นหรือ?” หนิวโหย่วเต้ามองนาง สื่อคำถามผ่านทางสายตา คล้ายจะถามว่าเจ้าแน่ใจหรือ?

เฮยหมู่ตานพยักหน้าตอบรับ “เต้าเหยี่ยพูดมาได้เลย งานสกปรกเหนื่อยยากเช่นใดล้วนทำได้ทั้งสิ้น”

มุมปากของหนิวโหย่วเต้ายกขึ้นมา “มีเรื่องที่เจ้าทำได้อยู่พอดี” เขากวักมือเรียกเฮยหมู่ตานเข้ามา

เฮยหมู่ตานรีบโน้มตัวเข้าไปหาอย่างมีความหวัง คิดว่าเขาจะพูดเรื่องความลับอะไร จึงเอียงหูเข้าไปหา

ผู้ใดจะทราบว่าหนิวโหย่วเต้ากลับยื่นมือมาลูบไล้ใบหน้าของนาง

เฮยหมู่ตานสะดุ้งโหยง หดตัวถอยหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว มองเขาด้วยแววตาตื่นตระหนกสับสน คล้ายจะเดาได้แล้วว่าเขาต้องการเสนอเงื่อนไขอะไร

เป็นอย่างที่คาดเดาไว้ หนิวโหย่วเต้ามองพินิจนางตั้งแต่หัวจรดเท้า “รูปโฉมไม่เลวเลย เอาเช่นนี้แล้วกัน ช่วงครึ่งปีที่ข้าอยู่ที่นี่ เจ้าร่วมหลับนอนกับข้าเป็นเวลาครึ่งปี แล้วข้าจะช่วยจัดการเรื่องราวให้พวกเจ้า”

เฮยหมู่ตานลุกขึ้นทันที สีหน้าโกรธเคือง แต่สุดท้ายก็ฝืนข่มกลั้นไว้ ฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า “เต้าเหยี่ย ข้าเป็นเพียงหญิงต่ำต้อยมีราคี รูปโฉมอย่างข้าไหนเลยจะต้องตาท่านได้ เกรงว่าจะทำให้ท่านแปดเปื้อน เอาอย่างนี้แล้วกัน ท่านชมชอบสตรีเช่นใดบอกมาได้เลย ข้าจะช่วยหามาให้ท่าน”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างเรียบเฉย “เจ้าคิดว่าข้าขาดแคลนสตรีอย่างนั้นหรือ? ข้าเพิ่งเคยพบสตรีผิวคล้ำน่ามองเช่นนี้เป็นครั้งแรก ไม่เคยหลับนอนด้วยมาก่อน อยากลิ้มลองความแปลกใหม่ ข้าต้องการเจ้านั่นแหละ!”

หยวนฟางมีสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเก หลุดพ้นจากอิทธิพลที่ได้รับมาจาก ‘บันทึกสัตว์ประหลาด’ อย่างสิ้นเชิงแล้ว เขามองหนิวโหย่วเต้าด้วยสีหน้าแปลกพิกล

เฮยหมู่ตานยิ้มแห้งๆ พลางเอ่ยว่า “ผิวคล้ำมีอะไรดีกัน สตรีผิวขาวต่างหากที่น่ามอง เต้าเหยี่ยอย่าล้อกันเล่นเลย”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวอย่างไม่แยแส “มีเพียงเงื่อนไขนี้เท่านั้น เจ้าจะตกลงหรือไม่ หากไม่ตกลงก็เชิญออกไปซะ!”

สีหน้าเฮยหมู่ตานคร่ำเคร่งลง พลันยื่นมือออกมาแล้วกล่าวว่า “คืนใบเสร็จค่าเช่าครึ่งปีที่ข้าจ่ายมาให้ข้า!”

“เป็นเจ้าเสนอตัวจ่ายเอง ข้าหาได้บังคับเจ้าไม่” หนิวโหย่วเต้าปรายตามองออกไปด้านข้าง เอ่ยเนิบๆ ว่า “เจ้าหมี เงินจำนวนนี้เป็นของนางหรือว่าเป็นของพวกเรา?”

ยอดเยี่ยม หนึ่งพันแปดร้อยเหรียญทองอยู่ในมือแล้ว! หยวนฟางกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ความรู้สึกอิ่มเอมเหมือนตอนดักปล้นที่วัดหนานซานหวนกลับคืนมาอีกครั้ง เขาตบโต๊ะพร้อมลุกขึ้นยืน เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เงินอยู่ในกระเป๋าของพวกเราย่อมต้องเป็นของพวกเรา จะเป็นของคนอื่นไปได้อย่างไร หากผู้ใดกล้าบังคับปล้นชิง ก็ต้องถามโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์ดูก่อนว่ายินยอมหรือไม่!” เรียกได้ว่ากล้าเอ่ยอย่างเต็มปากเต็มคำ

เฮยหมู่ตานกัดฟันจนแทบจะแตกร้าว ชี้หน้าคนทั้งสองพลางตะโกนว่า “หากกล้าฮุบเงินของข้า พวกเจ้าได้เห็นดีแน่!”

………………………………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า