ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 125

ตอนที่ 125 ภาพเหมือน

“คนประเภทนี้ ปกติแล้วจะฝากของไว้ที่พวกพ้อง ไม่มีทางพกติดตัว จะเจรจาซื้อขายกันก็ต่อเมื่อได้พบผู้ซื้อที่เหมาะสม”

“แต่ถึงจะระวังตัวมากขนาดไหน สุดท้ายมันก็ยังเกิดเหตุการณ์ที่มีการใช้เล่ห์เพทุบายเอาเปรียบกันอยู่ดี ที่ทำแบบนี้ก็แค่ต้องการเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นเป้าสายตาของคนมากเกินไปเท่านั้น”

เมื่อเห็นว่าหนิวโหย่วเต้าคล้ายจะไม่เข้าใจวิถีชีวิตที่นี่ เอาแต่ถามเหมือนคนไม่มีประสบการณ์ หยวนฟางเองก็มีท่าทางฉงนงงงวยไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง เฮยหมู่ตานคอยอธิบายไปตลอดทาง ทว่าภายในใจกลับรู้สึกคลางแคลงขึ้นมาเล็กน้อย กังวลว่าตนจะมองพลาดไปหรือเปล่า

เหลยจงคัง อู๋ซานเหลี่ยงและต้วนหู่ที่ติดตามอยู่ด้านข้างก็สบตากันเป็นระยะ ภายในแววตาก็มีความรู้สึกสงสัยเช่นเดียวกัน

เหลยจงคังขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัดเจน อึกอักลังเลคล้ายอยากจะพูดอะไร

“ปกติพวกเจ้าก็ทำเช่นนี้หรือ?” หนิวโหย่วเต้าถามไปเรื่อย

“นั่นเป็นเพราะไม่มีทางเลือก ราคารับซื้อของสำนักเหล่านั้นต่ำเกินไปจริงๆ บีบให้เราต้องจำใจไปเสี่ยง”

เฮยหมู่ตานอธิบายด้วยความกระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นชี้ไปยังร้านค้าที่อยู่รอบๆ พลางเปลี่ยนประเด็นว่า “ที่นี่มีร้านค้าอยู่ไม่น้อย ขอเพียงเป็นร้านค้าที่อยู่ใต้สังกัดสำนักก็มีสิทธิ์เปิดร้านที่นี่ แต่สำนักที่สามารถเปิดร้านที่นี่ได้ส่วนใหญ่จะค่อนข้างมีอิทธิพลและอำนาจ ค่าใช้จ่ายในการเปิดร้านค้าสักแห่งขึ้นที่นี่นั้นไม่ใช่ถูกๆ สำนักที่เล็กเกินไปจ่ายไม่ค่อยไหว ส่วนสิ่งของที่คนในโลกบำเพ็ญเพียรใช้กันก็มีอยู่แค่ไม่กี่อย่าง ดังนั้นถึงแม้ที่นี่จะมีร้านค้าอยู่มากมาย แต่เอาเข้าจริงแล้วของที่ขายส่วนใหญ่ก็เหมือนๆ กันหมด สำนักมากมายเปิดร้านค้าที่นี่ก็เพียงเพื่อให้สะดวกต่อการทำงานเท่านั้น การค้าเป็นเพียงผลพลอยได้ มีก็ทำ ไม่มีก็ไม่เป็นไร”

“โดยทั่วไปแล้วร้านค้าที่ทำการค้าขายอย่างจริงจังเป็นกิจลักษณะ ส่วนใหญ่จะเป็นสำนักที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ยกตัวอย่างเช่นสำนักวิญญาณ์ที่เชี่ยวชาญการหลอมโอสถวิญญาณ อีกทั้งเป็นสำนักหลอมโอสถที่ใหญ่ที่สุดในโลกบำเพ็ญเพียร กิจการที่เปิดในเมืองนี้ก็ย่อมต้องเป็นร้านขายโอสถ สำนักเลิศเมฆาที่เป็นสำนักหลอมศาตราวุธที่ใหญ่สุดในโลกบำเพ็ญเพียร กิจการที่เปิดก็คือร้านศาตราวุธ สำนักหมื่นสรรพสัตว์ เชี่ยวชาญการฝึกสอนสิงสาราสัตว์ ย่อมค้าขายสิ่งเหล่านี้ สำนักชะตาฟ้าเชี่ยวชาญค่ายกลข่ายพลัง ขายอักขระเครื่องยันต์ต่างๆ พวกร้านค้าที่สำนักเหล่านี้เปิดต่างหากถึงจะทำเงินได้จริงๆ กำลังทรัพย์ของสำนักที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเหล่านี้ย่อมมั่งคั่งสมบูรณ์ สำนักมากมายล้วนมาติดต่อซื้อขายกับพวกเขาโดยตรง”

สำหรับสำนักเหล่านี้ หนิวโหย่วเต้าเคยอ่านพบใน ‘บันทึกสวรรค์พิสุทธิ์’ มาก่อน ตอนนี้พอได้ฟังก็เกิดความรู้สึกสนใจขึ้นมา เดิมทีเขามาที่นี่ก็เพราะต้องการเปิดหูเปิดตาอยู่แล้ว จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไปเถอะ ไปเยี่ยมชมสำนักเหล่านี้กัน”

พวกเฮยหมู่ตานย่อมนำทางให้ แต่อันที่จริงไม่จำเป็นต้องนำทางก็หาพบได้ไม่ยากเช่นกัน

แล้วก็เป็นอย่างที่เฮยหมู่ตานเล่าให้ฟัง สำนักเหล่านี้ทำการค้ากันเป็นจริงเป็นจัง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่หรือขนาดของร้านค้าก็ล้วนแต่ใหญ่โตยิ่ง เมื่อยืนอยู่กลางเมืองแล้วกวาดตามองไปก็จะเห็นได้อย่างชัดเจน

ทั้งกลุ่มมาเยือนร้านค้าของสำนักชะตาฟ้าที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนเป็นร้านแรก บรรยากาศของที่นี่ค่อนข้างพิเศษ มีของที่ดูคล้ายกับป้ายวิญญาณคนตายตั้งเรียงรายอยู่มากมาย แต่ความจริงแล้วมิใช่ป้ายวิญญาณ หากแต่เป็นยันต์ที่แกะสลักขึ้นจากไม้ ตั้งเอาไว้เหมือนเป็นสินค้าตัวอย่าง มีราคากำกับเอาไว้ หากท่านต้องการซื้อถึงจะนำสินค้าจริงออกมาขาย

ยันต์อักขระมากมายละลานตา ทำให้หนิวโหย่วเต้าที่เพิ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรกรู้สึกตื่นตาตื่นใจ

คุณลักษณะสำคัญของยันต์อักขระคือวิธีการกักเก็บและปลดปล่อยพลังงานที่อยู่ภายในยันต์อักขระ มันสามารถสำแดงฤทธิ์ได้แตกต่างกันไป มีผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อยเลยที่พอจะใช้ศาสตร์การหลอมสร้างเป็นอยู่บ้าง แต่การสร้างยันต์อักขระจากพลังของตนเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองสภาวะเป็นอย่างมาก เพราะมันต้องถ่ายเทแหล่งกำเนิดพลังเข้าไปในยันต์อักขระ

ตัวอย่างเช่นยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายในร่างของหนิวโหย่วเต้าก็เป็นยันต์ประเภทหนึ่งที่ตงกัวเฮ่าหรานสร้างขึ้นจากแหล่งกำเนิดพลังของตน

โดยปกติทั่วไปแล้วไม่มีผู้ใดนำแหล่งกำเนิดพลังที่ตนเพียรบำเพ็ญมาใช้กับเรื่องแบบนี้

ตามที่มีบันทึกไว้ใน ‘บันทึกสวรรค์พิสุทธิ์’ สำนักชะตาฟ้ากลับสามารถทลายข้อจำกัดนี้ได้ พวกเขารู้วิธีการรวบรวมไอวิญญาณจากภายนอกร่างกายมาสร้างเป็นพลังงาน ใช้ประโยชน์จากมันได้ถึงระดับสูงสุด กักเก็บมันไว้ในวัตถุที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ สร้างเป็นยันต์อักขระมาจัดจำหน่าย

ยกตัวอย่างเช่นม้ามีขีดจำกัดด้านพละกำลังในการวิ่ง ระหว่างทางต้องมีการพักผ่อนฟื้นฟูกำลัง แต่ยันต์บางประเภทของสำนักชะตาฟ้ากลับสามารถเสริมพลังให้ได้ ทำให้ม้าวิ่งได้ทั้งวันโดยไม่ต้องหยุดพัก เร่งความเร็วในการเดินทางได้ แต่เมื่อใช้พลังของยันต์ไปจนหมด นั่นก็คือเวลาที่ม้าจะสิ้นชีพ โดยทั่วไปแล้วหากไม่จำเป็นจริงๆ จะไม่มีผู้ใดใช้ยันต์ประเภทนี้

ทั้งยังมียันต์อักขระที่ใช้ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายด้วย ทันทีที่ใช้งานยันต์ประเภทนี้ หากวางมันเอาไว้ในบ้าน มันก็จะสร้างคลื่นพลังขึ้นมา ทำให้ภูตผีปีศาจที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงไม่กล้าบุกรุกเข้ามาในบ้านเพราะเข้าใจผิดว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรอยู่

นอกจากนี้ยังมียันต์จำพวกที่สามารถทำให้ตกอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งจนลงมือสังหารคนได้ แล้วก็มียันต์สะกดร่างที่สามารถสะกดควบคุมคนได้

อย่างไรก็ตามยันต์เหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นแบบใช้แล้วทิ้ง ราคาเองก็มิใช่ถูกๆ ใช้แล้วไม่ต่างอะไรกับการเผาเงินทิ้งเลย คนธรรมดาเองก็ไม่สามารถใช้งานยันต์อักขระเหล่านี้ได้ มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ ทว่ายันต์เป็นสิ่งไม่มีชีวิต แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต การนำมาใช้จึงมีความไม่แน่นอนอยู่เช่นกัน

ดังนั้นหนิวโหย่วเต้าจึงเข้ามาลองชมเพื่อเปิดประสบการณ์ดูเท่านั้น ไม่ได้คิดที่จะซื้อ อีกอย่างเงินที่เขามีอยู่ก็ซื้ออะไรไม่ได้ด้วย

เมื่อออกจากร้านนี้ ทั้งกลุ่มก็เดินทางไปที่สำนักเลิศเมฆาต่อ ที่นี่ขายศาตราวุธสารพัดชนิดจริงๆ ทั้งยังรับผลิตศาตราวุธชนิดต่างๆ ด้วย

การที่ทุกคนมาซื้ออาวุธของสำนักเลิศเมฆา ย่อมมิใช่เพียงเพราะสินค้าของพวกเขาประณีตงดงาม จุดสำคัญคือพวกเขามีเคล็ดลับเฉพาะในการหลอมสร้างอาวุธ

ดาบกระบี่ทั่วไปฟันไปฟันมายังเกิดรอยบิ่นได้อย่างง่ายดาย แล้วนับประสาอะไรกับผู้บำเพ็ญเพียรที่ลงมือกันอย่างรุนแรงดุดัน อันที่จริงดาบกระบี่ทั่วไปแตกหักเสียหายได้ง่ายมาก แต่อาวุธที่ผลิตโดยสำนักเลิศเมฆาย่อมสามารถขจัดปัญหานี้ได้ในระดับหนึ่ง ยิ่งราคาแพงเท่าไหร่คุณภาพก็ยิ่งดีเป็นธรรมดา

หนิวโหย่วเต้าเดินวนภายในร้านรอบหนึ่ง คิดว่าควรจะสั่งทำมีดสั้นชุดหนึ่งให้หยวนกัง ดาบของหยวนฟางก็จำเป็นต้องเปลี่ยนเช่นกัน แต่สินค้าของสำนักเลิศเมฆาล้วนมีราคาแพง สินค้าที่ขายล้วนเรียกได้ว่าเป็นของจำพวกดาบหรือกระบี่ล้ำค่า ตอนนี้เงินที่มีอยู่ในมือยังไม่พอซื้อ ทำได้เพียงเดินดูเท่านั้น

ทั้งกลุ่มออกมาจากสำนักเลิศเมฆา เดินเล่นไปตามท้องถนน

ณ ริมถนน คนผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงทางแยกแห่งหนึ่ง สอดส่ายสายตามองไปทั่ว คล้ายกำลังค้นหาอะไรบางอย่างอยู่ เมื่อสายตากวาดผ่านพวกเฮยหมู่ตานเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาผงะไปเล็กน้อย หันกลับไปมองพวกเฮยหมู่ตานอีกครั้งอย่างรวดเร็ว จดจ้องใบหน้าหนิวโหย่วเต้าเป็นพิเศษ

หลังจากพวกหนิวโหย่วเต้าเดินผ่านไป เขาก็แทรกซึมปะปนไปกับผู้คนบนท้องถนนอย่างเงียบเชียบ สะกดรอยตามไปในระยะไม่ใกล้ไม่ไกล

ผ่านไปสักพัก เมื่อเห็นพวกหนิวโหย่วเต้าเข้าไปในร้านค้าของสำนักวิญญาณ์ เขาไม่ได้ตามเข้าไป หากแต่รออยู่ริมถนนที่อยู่เยื้องออกมาทางฝั่งตรงข้ามแทน

ภายในร้านค้าสำนักวิญญาณ์ หนิวโหย่วเต้ายังคงคล้ายว่ามาเดินเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่ ตอนนี้เขายังไม่ต้องการโอสถวิญญาณที่จำเป็นสำหรับการบำเพ็ญเพียร แต่หยวนฟางต้องการ แต่กำลังทรัพย์ของทั้งสองมีจำกัด หากซื้อเป็นจำนวนน้อยคนเขาจะหัวเราะเยาะเอาได้ อีกทั้งไม่ต้องการทำให้พวกเฮยหมู่ตานนึกสงสัยไปมากกว่าเดิม จึงจ่ายเงินพันเหรียญทองซื้อยารักษาแผลบางอย่างมาเท่านั้น

เมื่อทั้งกลุ่มออกมา คนที่เฝ้ารออยู่ข้างถนนก็ปะปนไปกับชาวบ้านบนท้องถนน สะกดรอยตามไปอีกครั้ง

ร้านค้าของสำนักหมื่นสรรพสัตว์นับว่าค่อนข้างน่าสนใจ สัตว์ชนิดต่างๆ ที่ถูกฝึกจนเชื่องถูกขังไว้ในกรงให้ลูกค้าได้เลือกชม ทำให้หนิวโหย่วเต้าได้เปิดหูเปิดตาเป็นอย่างยิ่ง สัตว์ทั้งหมดล้วนถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ขอเพียงซื้อไป สำนักหมื่นสรรพสัตว์จะสอนผู้ซื้อว่าต้องควบคุมอย่างไร

สัตว์แต่ละชนิดมีประโยชน์ต่างกันไป ราคาเองก็แตกต่างกัน ‘ปีกทอง’ ที่ใช้ส่งข่าวสารนับว่าเป็นสัตว์ที่มีราคาถูก แล้วก็เป็นสัตว์ที่วางขายไว้มากที่สุดด้วย

สัตว์ที่มีราคาแพงลิบลิ่วอย่างแท้จริงคือวิหคขนาดใหญ่หลากหลายชนิดที่ถูกขังแยกไว้ในแต่ละกรง วิหคบางชนิดแค่ยืนอยู่บนพื้นก็สูงถึงหนึ่งจ้างแล้ว

วิหคเหล่านี้ล้วนเป็นสัตว์พาหนะโบยบิน มนุษย์สามารถขึ้นขี่ได้ ทว่าคนธรรมดายากจะควบคุมได้ หากว่าเอาแต่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนร่างวิหค ถึงแม้ร่างกายของวิหคจะใหญ่โต แต่การจะโบยบินโดยแบกรับน้ำหนักที่หนักอึ้งเอาไว้ก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมากเช่นเดียวกัน ยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรโดยสารมัน การโคจรพลังสอดประสานไปกับการบินของมันจึงเหมาะสมที่สุด เป็นสินค้าชั้นดีที่เหมาะสำหรับเดินทางไกล

ปัจจุบันนี้วิหคยักษ์ประเภทนี้พบเห็นในป่าด้านนอกได้ยากยิ่งนัก มิใช่เพราะถูกจับหรือถูกล่า หากแต่เป็นเพราะวิหคชนิดนี้สืบพันธุ์ได้ยากลำบาก มิได้ง่ายดายเช่นการฟักไข่นกไข่ไก่ ทว่าสำนักหมื่นสรรพสัตว์กลับรู้วิธีเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ นี่คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดถึงมีวิหกยักษ์จำหน่ายอยู่ในร้านของสำนักหมื่นสรรพสัตว์

วิหคชนิดนี้เป็นสัตว์พาหนะที่ดี แต่ราคากลับแพงลิบลิ่ว ปกติมักจะมีราคาหลายล้านเหรียญทอง มิใช่สิ่งที่ผู้ใดก็ล้วนซื้อได้

“สามปีขายไม่ออก หากขายออกก็อยู่ไปได้สามปี!” หนิวโหย่วเต้าจ้องป้ายราคาพลางเอ่ยพึมพำ

ทั้งกลุ่มทำได้เพียงมาเยี่ยมชมเพื่อเปิดหูเปิดตาเท่านั้น

หลังออกจากร้านค้าของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ทั้งกลุ่มก็เดินเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่ในเมือง เมื่อเพลิดเพลินพอแล้วถึงกลับไปยังโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์

ด้านนอกโรงเตี๊ยม คนขี้อิจฉาบางกลุ่มซุบซิบนินทาชี้ไม้ชี้มือไล่หลังเฮยหมู่ตานที่เดินหายเข้าไปในโรงเตี๊ยมอีกครั้ง

ชายที่สะกดรอยตามมาตลอดทางคนนั้นเผยตัวขึ้นในเวลานี้ เขาเดินเข้าไปหาคนกลุ่มนั้น กล่าวถามว่า “พวกเจ้าซุบซิบอะไรกันอยู่ที่นี่?”

“หวา! หวงเหยี่ย” คนกลุ่มนั้นหันมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นศิษย์ของสำนักเซียนสถิต ก็พากันทักทายอย่างสุภาพนอบน้อม

คนผู้นั้นมีนามว่าหวงเอินผิง เป็นหนึ่งในศิษย์ของสำนักเซียนสถิตที่ประจำการอยู่ในร้านค้าของเมืองนี้ แม้นจะดูเหมือนเป็นเพียงพนักงานคนหนึ่งของร้านค้า แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักกลุ่มนี้แล้ว เขากลับเป็นบุคคลที่คนเหล่านี้มิอาจล่วงเกินได้

หวงเอินผิงพยักพเยิดหน้าไปทางโรงเตี๊ยม เอ่ยถาม “พวกเจ้าชี้ไม้ชี้มืออะไรกัน?”

มีคนนึงส่ายหน้าอย่างทอดถอนใจพลางกล่าวว่า “หวงเหยี่ยยังไม่ทราบเรื่อง เฮยหมู่ตาน สตรีที่ผิวค่อนข้างคล้ำที่มักจะเดินว่อนไปทั่วเมืองคนนั้น หวงเหยี่ยรู้จักหรือไม่ขอรับ?”

หวงเอินผิงตอบรับ “รู้จัก นางทำไม?”

คนผู้นั้นถอนหายใจ เล่าออกมาว่า “นางหาที่พึ่งได้แล้ว ท่านก็น่าจะรู้ว่าหมายถึงเรื่องอะไร คาดว่าอีกไม่นานคงก่อตั้งสำนักขึ้นแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าสตรีนางนี้ใช้วิธีการใด แต่ก็พอจะจินตนาการออก อันว่าสตรี คงหนีไม่พ้นเรื่องพรรค์นั้น ถอดกระโปรงคราเดียวก็เอาชนะหมื่นถ้อยร้อยคำของพวกเราได้แล้ว”

หวงเอินผิงหัวเราะฮ่าๆ คราหนึ่ง ฟังเจตนาเสียดสีในวาจาของอีกฝ่ายออก แต่นี่มิใช่เรื่องที่เขาสนใจ เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นี่นับเป็นเรื่องดี เจ้าอิจฉานางกระมัง? เออใช่ แล้วนางไปพึ่งผู้ใดเล่า? เป็นยอดคนจากสำนักนิกายใดที่ยินดีแนะนำรับรองนาง?”

คนผู้นั้นส่ายหน้า กล่าวว่า “ผู้ให้การสนับสนุนดูอ่อนเยาว์นัก ไม่ทราบเช่นกันว่ามาจากสำนักใด คาดว่าในทะเบียนเข้าพักของเถ้าแก่น่าจะมีชื่ออยู่ แต่โรงเตี๊ยมเชิญจันทร์ไม่มีทางเปิดเผยข้อมูลใดๆ ของลูกค้า แล้วก็ไม่มีทางบอกพวกเราด้วย”

“เฮอะ ไม่คุยไร้สาระกับพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าค่อยๆ อิจฉาต่อไปแล้วกัน” หวงเอินผิงหัวเราะร่าพลางตบบ่าเขา มองไปทางโรงเตี๊ยมแวบหนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินออกไป

คนผู้นั้นตะโกนเรียก “หวงเหยี่ย ท่านช่วยคุยกับสำนักเซียนสถิตให้พวกเราได้หรือไม่ขอรับ”

หวงเอินผิงที่เดินห่างออกไปโบกมือให้โดยไม่หันกลับมา “ข้าไม่มีอำนาจตัดสินใจ พวกเจ้ารอคอยโอกาสอยู่ที่นี่เถอะ!”

แม้จะเป็นเช่นนี้ คนกลุ่มนั้นก็ยังเอ่ยเอาใจประโยคหนึ่ง “หวงเหยี่ยเดินทางระวังด้วย”

……

ร้านค้าของสำนักเซียนสถิต เงียบเหงาไร้ผู้คน เดิมทีก็มิใช่ร้านที่ทำการค้าอย่างเป็นกิจลักษณะอยู่แล้ว

ทันทีที่หวงเอินผิงที่เร่งรีบกลับมาเข้าไปในร้าน เขาก็ตรงไปที่โต๊ะเก็บเงิน เอ่ยกับเถ้าแก่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่หลังโต๊ะเก็บเงินว่า “อาจารย์อา ขอข้าดูภาพเหมือนอีกทีสิขอรับ”

เถ้าแก่ลืมตาขึ้น เอ่ยถาม “ภาพเหมือนอะไร?”

หวงเอินผิงกล่าวว่า “ท่านให้พวกเราทุกคนคอยจับตามองตามท้องถนนมิใช่หรือขอรับ หนิวโหย่วเต้า คนในภาพเหมือนที่ตระกูลซ่งส่งมา เมื่อครู่เหมือนข้าจะเห็นเขาแล้วขอรับ”

“จริงรึ?” เถ้าแก่ลุกขึ้นมาทันที พร้อมกับดึงภาพม้วนหนึ่งออกมาจากใต้ลิ้นชักแล้วโยนลงบนโต๊ะเก็บเงิน สื่อว่าให้เขารีบเปิดดู

……………………………………………….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า