ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 139

ตอนที่ 139 ศึกบนเนินเขา

เมื่อพ่นสิ่งเหล่านี้ออกมา เหลยจงคังพลันหายใจได้สะดวกทันที แผ่นหลังที่คู้งอค่อยๆ เหยียดตรงขึ้นมา สบตากับพวกเฮยหมู่ตาน

สุดท้ายหันหลังอย่างช้าๆ เดินไปหาม้าของตนท่ามกลางสายตาของพวกเฮยหมู่ตานที่มองมา เขาปีนขึ้นม้า ควบม้าวิ่งออกไปได้สองสามก้าวก็หันกลับมาอีกครั้ง บังคับม้าเดินเลี่ยงหนิวโหย่วเต้า ก่อนจะมาหยุดลงตรงหน้าพวกเฮยหมู่ตาน ล้วงถุงหอมใบเล็กใบหนึ่งออกมาแล้วโยนให้เฮยหมู่ตาน เอ่ยกับทั้งสามคนว่า “สำนักเซียนสถิตมอบเหยื่อหอมให้ข้า ข้าโปรยไว้ตลอดทาง คาดว่าพวกเขาคงใกล้เข้ามาแล้ว พวกเจ้ารีบไปจากที่นี่เถอะ”

ทั้งสามสบตากัน ประสานมือบอกลาพร้อมกัน ไร้ซึ่งสุ้มเสียง รักษาตัวด้วย!

เหลยจงคังบังคับม้าหันหลังกลับ ควบม้าออกจากป่าไป

หนิวโหย่วเต้ากวักมือเรียกหยวนฟาง ขอสัญญาขายตัวสามฉบับนั้นมาดู จากนั้นเอียงศีรษะส่งสัญญาณพลางเอ่ยว่า “ไปจับตาดูไว้”

หยวนฟางตอบรับ พุ่งตัวกระโจนออกไป ซ่อนตัวอยู่บนเนินเขา คอยจับตาดูพื้นที่โล่งด้านนอกเอาไว้

หนิวโหย่วเต้าพลิกดูสัญญาขายตัวทั้งสามฉบับเล็กน้อย ก่อนจะยื่นส่งให้เฮยหมู่ตาน

เฮยหมู่ตานรับเอาสัญญาไปด้วยความมึนงง “เต้าเหยี่ย นี่…”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เก็บไว้ให้ข้าที อย่าทำหายล่ะ”

ทั้งสามตะลึงงัน ต่างคนต่างมองหน้ากัน นี่มันหมายความว่าอย่างไร?

และในเวลานี้เอง หยวนฟางทะยานกลับมาอีกครั้ง เอ่ยด้วยสีหน้าตึงเครียดว่า “เต้าเหยี่ย มีคนมาขอรับ ดูเหมือนเหลยจงคังจะเจอพวกเขาแล้ว อาจจะเป็นคนของสำนักเซียนสถิต พวกเรารีบไปกันเถอะขอรับ!”

หนิวโหย่วเต้าเคลื่อนกายออกไปอย่างรวดเร็ว ทะยานไปทางเนินเขา

พวกเฮยหมู่ตานไล่ตามมา เห็นหนิวโหย่วเต้ากำลังสังเกตดูผู้ที่มาเยือนอยู่ เฮยหมู่ตานเอ่ยด้วยความร้อนใจ “เต้าเหยี่ย รีบไปเถอะเจ้าค่ะ! หากถูกพบตัวเข้าคงหนีไม่รอดแน่”

ทว่าหนิวโหย่วเต้ากลับไม่มีท่าทีตื่นตระหนกและคิดจะหลบหนี หากแต่ยังคงสังเกตการณ์ต่อไป

เขาไม่คิดว่าหากตนเองถูกพบเข้าแล้วจะหนีไม่รอด การที่เขาพาเหลยจงคังร่วมทางมาด้วยทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นหนอนบ่อนไส้นั้นย่อมต้องมีเหตุผลอยู่ การให้เหลยจงคังเปิดเผยว่าเขาจะไปอำเภอซานหูคือหมากที่สำคัญที่สุดของเขา เขาคาดการณ์ว่าทันทีที่สำนักเซียนสถิตทราบถึงเบาะแสของเขา อีกฝ่ายจะต้องไม่มีทางปล่อยให้เขาหนีรอดไปได้ง่ายๆ อีกแน่นอน ขนาดในมหานครจินโจวมียอดฝีมืออยู่ตั้งมากมายขนาดนั้น ซ่งหลงยังตายด้วยน้ำมือเขาได้ เขาไม่เชื่อว่าสำนักเซียนสถิตจะยังกล้าดูแคลนตน หากแต่จะต้องระดมกำลังทั้งหมดเท่าที่มีในตอนนี้มาจัดการเขาอย่างแน่นอน

พูดอีกอย่างคือในตอนที่เขาพาพวกเหลยจงคังออกมาจากโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์ ภายในใจเขาก็มีความมั่นใจอยู่ในระดับหนึ่งแล้ว

แต่แน่นอน ทุกเรื่องราวล้วนมีเหตุเหนือความคาดหมายอยู่เสมอ ความจริงวิธีจัดการที่ปลอดภัยที่สุดตอนอยู่ในเมืองไจซิงก็คือไปขอความช่วยเหลือจากคนของสำนักหยกสวรรค์หรือไม่ก็วังสวรรค์หมื่นวิมาน แต่เหตุผลที่เขาไม่ไปหามีอยู่สองข้อ ข้อแรกคือเขาไม่ทราบว่าสำนักหยกสวรรค์หรือวังสวรรค์หมื่นวิมานจะไยดีตนหรือไม่ ข้อสองคือเขาไม่อยากเปิดเผยเป้าหมายของการเดินทางในครั้งนี้ กระทั่งทางฝั่งไห่หรูเยวี่ยเขาก็เคยกำชับเอาไว้แล้วว่าอย่าให้ทางวังสวรรค์หมื่นวิมานรู้ เพราะเกรงว่าทางวังสวรรค์หมื่นวิมานคงจะไม่อยากแบกรับภาระบางอย่างเช่นกัน

และสิ่งที่อยู่ตรงเบื้องหน้าก็คือเรื่องเหนือความคาดหมายอีกเรื่องหนึ่ง เขาเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าสำนักเซียนสถิตจะใช้นกใฝ่หอมในการแกะรอย

“ลองดูสิว่าคนที่มาเป็นผู้ใดบ้าง” หนิวโหย่วเต้าหันไปสั่งการพวกเฮยหมู่ตานเล็กน้อย

พวกเฮยหมู่ตานทอดตามองออกไป ทว่าระยะทางค่อนข้างไกล จึงมองเห็นไม่ชัด

ทั้งหกขี่ม้าย่ำอยู่บนทุ่งหญ้า เหลียวมองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง นกใฝ่หอมร่อนลงบนไหล่ของชุยหย่วน ไม่ยอมบินค้นหาต่อ ดูเหมือนร่องรอยของเหยื่อหอมจะสิ้นสุดลงตรงนี้

ทั้งหกมองไปรอบด้าน ไม่ทราบว่าพวกหนิวโหย่วเต้าไปยังทิศทางใด หากมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่พวกเขามา เช่นนั้นก็น่าจะเข้าไปในป่าเบื้องหน้า แต่จู่ๆ การนำทางของเหยื่อหอมก็ขาดตอนลงกะทันหัน ทำให้ทั้งหกสงสัยอีกครั้งว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีกหรือไม่

พวกเขาหารู้ไม่ว่าเป็นเพราะหลังจากหนิวโหย่วเต้าเข้าไปในป่าด้านหน้าแล้ว จู่ๆ พวกเขาพลันหยุดม้าลงกะทันหัน เหลยจงคังจึงไม่สะดวกจะทำอะไรต่อหน้าทุกคน

ขณะที่ทั้งหกคนกำลังหารือกัน ทันใดนั้นพลันมีม้าตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากป่าด้านหน้า ดึงดูดสายตาของคนทั้งหกเอาไว้

เหลยจงคังที่ควบม้าออกมาก็มองเห็นพวกเขาแล้วเช่นกัน จึงควบม้าวิ่งตรงเข้ามาหาพวกเขา หลังเข้าไปใกล้เล็กน้อย เขาก็จำหวงเอินผิงและชุยหย่วนที่อยู่ในกลุ่มหกคนได้ ส่วนอีกสี่คนที่เหลือเขาก็รู้จักเช่นกัน

ทั้งหกมองดูเขาควบม้าเข้ามาใกล้ เห็นว่าแขนเสื้อเขาขาด บนร่างมีรอยคราบเลือด สภาพดูแย่เป็นอย่างมาก หวงเอินผิงถามเสียงขรึม “เกิดอะไรขึ้น?”

เหลยจงคังส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “ตอนที่ข้าโปรยเหยื่อหอมถูกพวกเขาเห็นเข้า โชคดีที่เหล่าพี่น้องยังคำนึงถึงไมตรีแต่เก่าก่อน ช่วยขวางหนิวโหย่วเต้าเอาไว้ให้ข้า ข้าถึงหนีรอดมาได้”

หวงเอินผิงรีบถาม “หนิวโหย่วเต้าล่ะ?”

เหลยจงคังชี้ไปทางด้านหลัง “อยู่ในป่าด้านหน้า แต่ไม่รู้ว่าหนีไปหรือยัง!”

“ไป!” หวงเอินผิงโบกมือ กระโดดออกจากหลังม้าทะยานนำออกไปก่อน คนอื่นๆ ที่เหลือทะยานตามออกไป

เหลยจงคังลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ทะยานตามออกไปเช่นกัน

เมื่อเห็นระยะในการเหินทะยานของผู้ที่มาเยือน หนิวโหย่วเต้าพลันรู้สึกโล่งใจ เขานึกกังวลว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น กลัวว่าผู้มาเอาชีวิตจะเป็นยอดฝีมือ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องรีบหนีแล้ว

“สองคนที่อยู่ด้านหน้าคือหวงเอินผิงและชุยหย่วน ที่ตามหลังมาคือเลี่ยจ้านปิงและเหยาโหย่วเลี่ยงศิษย์ของสำนักคีรีพิลาส สองคนทางด้านหลังสุดคือฟางเต๋อและฟางเซ่าฉวินศิษย์สำนักเมฆาล่องเจ้าค่ะ” เฮยหมู่ตานเอ่ยเตือนอย่างรวดเร็ว หลังจากมองเห็นผู้มาเยือนอย่างชัดเจน นางก็ดูคล้ายจะโล่งใจเช่นกัน

ต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงอดมองไปทางหนิวโหย่วเต้าแวบหนึ่งไม่ได้ คนที่อวดอ้างว่าสามารถจัดการพวกเขาทั้งหมดได้ คงจะไม่กลัวคนเหล่านี้กระมัง?

เพียงแต่ทั้งสามคนไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดเหลยจงคังจึงตามกลับมาด้วย เป็นเพราะถูกบังคับ หรือว่าเลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งเดียวกับพวกสำนักเซียนสถิตอีกครั้ง?

เมื่อได้รับการยืนยันแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็ไม่ได้ซ่อนตัวอีกต่อไป เขาเคลื่อนกายพุ่งออกไป ยืนค้ำกระบี่อยู่บนเนินเขา เฝ้ารอคอย!

หยวนฟางคอยเฝ้าระวังพวกเฮยหมู่ตาน ตามออกไปเช่นกัน

พวกหวงเอินผิงที่ทะยานมาถึงด้านล่างเนินเขาพลันหยุดลง มองดูพวกหนิวโหย่วเต้าที่อยู่บนเนินเขา คิดไม่ถึงว่าคนเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะไม่หนี แต่ยังกล้าโผล่หน้ามารอพวกเขาด้วย

หวงเอินผิงและชุยหย่วนเอื้อมมือไปชักดาบคู่วงเดือนที่อยู่ด้านหลังออกมา

เลี่ยจ้านปิงและเหยาโหย่วเลี่ยงปลดแส้โลหะที่พันอยู่ตรงเอวออกมา

ฟางเต๋อและฟางเซ่าฉวินชักกระบี่คู่ออกมา เหลยจงคังที่อยู่ด้านหลังสุดก็ชักกระบี่ออกมาเช่นกัน

หวงเอินผิงถือดาบวงเดือนชี้ออกไป “หนิวโหย่วเต้า ยอมมอบตัวแต่โดยดีซะ โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา!”

เขาเพิ่งจะเอ่ยจบ เหลยจงคังที่อยู่ด้านหลังพลันเผยสีหน้าดุร้ายออกมา ตวัดกระบี่ฟันซ้ายขวา

ด้วยระยะห่างเพียงเท่านี้ ฟางเต๋อและฟางเซ่าฉวินถูกฟันโดยไม่ทันตั้งตัว

“อ๊าก!” โลหิตสาดกระจายออกมาจากเอวของฟางเต๋อ เกือบถูกฟันจนขาดเป็นสองท่อง ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมา

ฟางเซ่าฉวินที่ถูกโจมตีเคลื่อนกายหลบไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว เสื้อผ้าบริเวณเอวถูกฟันขาด มองเห็นเลือดไหลซึมออกมา เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บแค่ผิวหนังภายนอกเท่านั้น เขาซัดพลังฝ่ามือที่ไร้รูปลักษณ์ออกไป

พลังฝ่ามือพุ่งฝ่าอากาศ กระแทกเข้าที่ร่างของเหลยจงคัง เดิมทีก็ได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว ฝ่ามือนี้จึงทำให้เขากระอักเลือดออกมาอีกครั้ง กระแทกจนร่างถอยกรูดไปทางด้านหลัง

ฟางเต๋อล้มลงบนพื้น ฟางเซ่าฉวินพุ่งเข้าโจมตีเหลยจงคังอีกครั้ง ในเวลานี้เหลยจงคังเหลือแรงแค่พอจะตวัดกระบี่ปัดป้องการโจมตีเท่านั้น

พวกหวงเอินผิงเหลียวหน้ากลับมาทันที คิดไม่ถึงว่าเหลยจงคังจะกล้าดีเช่นนี้!

เมื่อเห็นเหลยจงคังตกอยู่ในอันตราย เฮยหมู่ตาน ต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงก็พุ่งทะยานออกไปช่วยโดยไม่ต้องร้องขอ

หวงเอินผิงพุ่งนำหน้าออกไป คิดไม่ถึงว่าทั้งสี่จะไม่สนใจฟางเซ่าฉวินที่อยู่ด้านหลังเลย ร่วมมือกันในทันใด พุ่งเข้าไปหาหนิวโหย่วเต้าที่อยู่บนเนินเขาพร้อมกัน

พวกเขารู้ว่าอะไรควรไม่ควร ไม่อยากถูกพวกเฮยหมู่ตานพัวพันจนเป็นเหตุให้หนิวโหย่วเต้าฉวยโอกาสหลบหนีไปได้ เมื่อพวกเฮยหมู่ตานปลีกตัวออกไป ทางหนิวโหย่วเต้าก็เหลือแค่ตัวคนเดียวแล้ว เป็นโอกาสเหมาะให้พวกเขาลงมือได้พอดี ขอเพียงจับหนิวโหย่วเต้าได้ พวกเขาก็จะมีผลงานชิ้นใหญ่!

“หลบไปก่อน!” หนิวโหย่วเต้าเอียงศีรษะร้องสั่ง

หยวนฟางกำลังใจฝ่ออยู่พอดี เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็หดหัวหนีไปอย่างรวดเร็ว

ดาบวงเดือนสองเล่มลอยหมุนควงเข้ามาจนเกิดเสียงดังฟุ่บๆ

หนิวโหย่วเต้าที่ยันกระบี่ไว้ตรงหน้าหาได้หลบเลี่ยงไม่ วาดแขนออกไป แว่วเสียงกระบี่ดังชิ้ง ประกายเยียบเย็นโผล่พ้นฝัก ก่อนจะเกิดเป็นเงาแสงเจิดจ้าพร่าตา มีเสียงเคร้งๆ ดังขึ้น ดาบวงเดือนทั้งสองเล่มถูกปัดจนกระเด็นออกไปในทันใด

ฝักกระบี่เสียบอยู่บนพื้นดิน รอคอยอยู่บนเนินเขา ตัวคนพุ่งตามประกายกระบี่ออกไป

หนิวโหย่วเต้าที่ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศกวัดแกว่งกระบี่โจมตีเข้าใส่หวงเอินผิงที่พุ่งเข้ามาเป็นคนแรก

หวงเอินผิงเหวี่ยงดาบวงเดือนอีกเล่มต้านรับเอาไว้

เคร้ง! เสียงกระทบของโลหะดังสะท้อนไปทั่วบริเวณ

หวงเอินผิงตกใจเป็นอย่างมาก หลังจากดาบวงเดือนปะทะเข้ากับกระบี่ของอีกฝ่าย ดูคล้ายอีกฝ่ายจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากพลังที่ตนส่งออกไปเลย ประกายแสงเยียบเย็นสายหนึ่งฟันเข้ามา ทำเอาเขาตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง

หนิวโหย่วเต้าตวัดข้อมือ คมกระบี่ฟันเข้าที่ลำคอของหวงเอินผิง โลหิตสายหนึ่งพุ่งกระฉูดออกมา ศีรษะของหวงเอินผิงกระเด็นลอยขึ้นไปในอากาศ แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง หนิวโหย่วเต้ายกเท้าถีบท้องของหวงเอินผิงจนกระเด็นออกไป

ชุยหย่วนที่เห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีรีบขว้างดาบวงเดือนอีกเล่มที่อยู่ในมือออกไปเพื่อช่วยเหลือ ทว่ายังคงช้าไป

หนิวโหย่วเต้าตวัดกระบี่ที่เปรอะเปื้อนคราบเลือด แทงเฉียงๆ ออกไป ปัดป้องดาบวงเดือนที่ถูกขว้างออกมา เท้าเหยียบร่างหวงเอินผิงเพื่อยืมแรง จากนั้นกระโจนขึ้นสู่อากาศ หันไปโจมตีใส่ชุยหย่วนต่อ

เงาแส้สองเส้นส่งเสียงหวีดร้องดัง ‘วูบ’ เร่งเข้าช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ฟาดใส่หนิวโหย่วเต้าอย่างคลุ้มคลั่ง

หนิวโหย่วเต้าม้วนตัวกลางอากาศตวัดกระบี่อย่างต่อเนื่อง ปัดป้องแส้โลหะที่โจมตีเข้ามา ทว่าแส้โลหะสองเส้นนั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วราวอสรพิษ คิดไม่ถึงว่าจะสามารถโค้งงอกลางอากาศแล้วตวัดม้วนกลับมาอีกครั้งได้ ดูคล้ายงูพิษอย่างไรอย่างนั้น บีบให้หนิวโหย่วเต้าต้องรีบตวัดกระบี่ป้องกัน

ชุยหย่วนเผยสีหน้าโหดเหี้ยม ฉวยโอกาสที่หนิวโหย่วเต้าไม่ทันระวังรอบข้าง ฟาดฝ่ามือเข้าใส่ศีรษะของหนิวโหย่วเต้าที่พุ่งเข้ามาเต็มแรง

ท่ามกลางความชุลมุน หนิวโหย่วเต้าใช้มือหนึ่งกวัดแกว่งกระบี่ป้องกันดังเคร้งๆ ส่วนอีกมือหนึ่งก็รีบซัดฝ่ามือออกไปเพื่อช่วยเหลือตัวเอง

ตูม! ท่ามกลางสายลมที่โหมกระโชกอย่างรุนแรง สองตาของชุยหย่วนพลันเบิกโพลง รู้สึกเช่นเดียวกับเหลยจงคังก่อนหน้านี้ ตัวคนลอยละลิ่วออกไป หล่นกระแทกลงบนพื้น

หนิวโหย่วเต้าที่ถูกกระแทกจนเซถอยไปเช่นเดียวกันสะบัดกระบี่ฟันแส้ที่ฟาดขึ้นมาจากด้านล่าง หยิบยืมแรงอันมหาศาลจากแส้ที่ฟาดเข้ามา ร่างกายเบาหวิวดุจนกนางแอ่น พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน สลัดพ้นจากการพัวพันของแส้อย่างรวดเร็ว

ผัวะ! แส้ของเลี่ยจ้านปิงและเหยาโหย่วเลี่ยงฟาดลงบนพื้นแทบจะในเวลาเดียวกัน

พื้นดินถูกกระแทกจนเกิดเป็นหลุมสองหลุม เลี่ยจ้านปิงและเหยาโหย่วเลี่ยงเองก็หยิบยืมแรงจากการโจมตีครั้งนี้ดีดตัวขึ้นสู่อากาศอีกครั้ง เหวี่ยงแส้ไล่ตามหนิวโหย่วเต้าที่ทะยานขึ้นไปในอากาศ สะบัดแส้โจมตีไปทางด้านบนอย่างเกรี้ยวกราด

เมื่อทะยานขึ้นมาจนสุดระยะ หนิวโหย่วเต้าที่ไร้ซึ่งแรงส่งตัวม้วนตัวกลางอากาศแล้วพุ่งดิ่งลงมาด้านล่าง ประกายกระบี่วูบไหวราวดอกบัวแย้มบาน เผชิญหน้ากับแส้ที่พุ่งตวัดฉวัดเฉวียนมาจากทางเบื้องล่าง

ท่ามกลางเสียงโลหะที่กระทบดังติงตัง เงาแส้และประกายกระบี่หยุดชะงักลงพร้อมกัน กระบี่ในมือหนิวโหย่วเต้าพันเข้ากับแส้โลหะทั้งสองเส้น

เลี่ยจ้านปิงและเหยาโหย่วเลี่ยงกระชากแส้ทันที ดูคล้ายจะพันเป็นเงื่อนตายไปแล้ว ไม่สามารถกระชากออกมาได้ หนิวโหย่วเต้ายึดกระบี่ในมือไว้แน่น สองเท้าเหยียบลงบนแส้ยาวสองเส้นซ้ายขวา

ทั้งสามคนยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่กลางอากาศ ก่อนจะร่วงลงมาพร้อมกัน

ทันทีที่ลงถึงพื้น เลี่ยจ้านปิงและเหยาโหย่วเลี่ยงคล้ายรู้ใจกันเป็นอย่างดี หมุนสลับตัดไขว้กันไปมาอย่างรวดเร็ว หมายจะใช้แส้โลหะมัดตัวหนิวโหย่วเต้าเอาไว้

หนิวโหย่วเต้าที่คิดจะชักกระบี่ออกมาพบว่ากระบี่ของตนถูกแส้ที่สองคนนั้นออกแรงดึงตรึงเอาไว้อย่างหนาแน่น เขาหันไปมองเลี่ยจ้านปิงแวบนึง แววตาดุร้ายเย็นชา สีหน้าโหดเหี้ยมเปี่ยมเจตนาสังหาร เขาสละกระบี่อย่างรวดเร็ว ดีดตัวพุ่งเข้าใส่เลี่ยจ้านปิง

ตูม! ฝ่ามือของทั้งสองปะทะกัน

เนื่องจากต่อสู้อย่างดุเดือดจึงไม่ทันได้สังเกตดูสภาพของชุยหย่วนในเวลานี้ มิเช่นนั้นเลี่ยจ้านปิงคงไม่มีทางกล้ารับฝ่ามือนี้เอาไว้แน่

เหยาโหย่วเลี่ยงสังเกตเห็นความผิดปกติของผู้เป็นศิษย์พี่ทันที แรงดึงรั้งจากทั้งสองฝั่งสูญเสียสมดุล และในเวลานี้หนิวโหย่วเต้าก็หันหลังพุ่งกลับมาแล้ว

……………………………………………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า