ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 138

ตอนที่ 138 สัญญาขายตัว

สำหรับเรื่องนี้ อันที่จริงต้วนหู่ อู๋ซานเหลี่ยงและเหลยจงคังล้วนตระหนักได้รางๆ แล้วเช่นกัน

“เหลาเหล่ย!” ต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงก็เอ่ยเร่งเร้าเช่นกัน

เหลยจงคังลังเลเล็กน้อย

เฮยหมู่ตานล้วงตั๋วแลกเงินห้าใบที่อยู่บนตัวออกมา “ห้าหมื่นเหรียญทอง นี่คือเงินที่เต้าเหยี่ยมอบให้ข้า!”

ทั้งสามคนจ้องมองมูลค่าเงิน ต่างรู้สึกประหลาดใจ!

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “คนที่มีเจตนาทำร้ายข้า จะให้เขาอยู่ข้างกายข้าต่อ พวกเจ้าถามเขาเอาเองเถอะว่าต่อไปเขาจะสะดวกใจหรือไม่ จะรู้สึกอึดอัดหรือไม่!”

ความหมายของคำพูดนี้ชัดเจนเป็นอย่างมาก! เฮยหมู่ตานรีบอ้อนวอน “เต้าเหยี่ย ท่านให้โอกาสเขาอีกสักครั้งได้ไหมเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “จะให้โอกาส มันก็ต้องเลือกคนด้วย ข้าไม่รู้จักเขา ไม่รู้เลยว่าเขาเป็นคนแบบไหน ดังนั้นข้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เฮยหมู่ตาน ข้ายังคงยืนยันตามคำพูดนั้น ข้าเชื่อคำพูดของเจ้าในตอนนั้น แต่ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นแล้ว เจ้าต้องมอบคำอธิบายให้ข้า หากเจ้าให้ไม่ได้ ข้าจะจัดการเอง!”

ทันทีที่เขาเอ่ยคำนี้ออกมา ทั้งสี่คนรู้สึกได้ถึงความรู้สึกกดดันที่รุนแรงเป็นอย่างมาก

“ไม่ต้องขอร้องเขา!” เหลยจงคังตวาด จ้องมองพวกเฮยหมู่ตานแล้วถามว่า “ทุกคนอยู่ด้วยกันมานานหลายปี พวกเจ้าจะเชื่อเขาหรือเชื่อข้า พวกเจ้าจะเลือกฝั่งไหน?”

เขาก็รับรู้ถึงอันตรายได้แล้วเช่นกัน คิดอยากจะดึงตัวทุกคนมาร่วมมือกัน

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ถึงพวกเขาจะเลือกข้างเจ้า เจ้าก็หนีไม่รอดอยู่ดี!”

ชิ้ง! เหลยจงคังชักกระบี่ออกมา ต้วนหู่ที่ขมวดคิ้วแน่นสบตากับอู๋ซานเหลี่ยงเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างกายเหลยจงคังพร้อมกัน

เฮยหมู่ตานหันไปมองดู สีหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจ สุดท้ายก็ยังคงก้มตัววางตั๋วแลกทองไว้บนพื้น ค่อยๆ เดินถอยไปหาทางนั้นเช่นกัน “เต้าเหยี่ย ขออภัยด้วย พวกเราสี่คนอยู่ด้วยกันมานานหลายปี รอดชีวิตมาถึงวันนี้ได้เพราะคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่อาจทอดทิ้งพวกพ้องได้ เต้าเหยี่ย ท่านเป็นผู้ใหญ่คงไม่ถือสาผู้น้อย พวกเราจากกันด้วยดีเป็นอย่างไรเจ้าคะ?”

ความมั่นใจในตัวเองอย่างมากของหนิวโหย่วเต้าทำให้พวกเขาหวั่นเกรงยิ่งนัก ที่พูดแบบนี้ก็เพราะไม่อยากเสี่ยงปะทะด้วย

ภายในดวงตาของหนิวโหย่วเต้ามีแววตาชื่นชมปรากฏขึ้นมาเล็กน้อยอย่างที่ยากจะสังเกตเห็นได้ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ลอบวางแผนปองร้ายข้า มีสิทธิ์อะไรมาขอให้จากกันด้วยดี?”

ต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงชักกระบี่ออกมา เฮยหมู่ตานเองก็ค่อยๆ ชักกระบี่ออกมาเช่นกัน ทั้งสี่คนร่วมมือกันระแวดระวัง ค่อยๆ ถอยหลังไปอย่างช้าๆ ป้องกันการลอบโจมตี

หนิวโหย่วเต้าชี้ไปที่หยวนฟาง “เจ้าหมีก็มีพรรคพวกอยู่กลุ่มหนึ่งเช่นกัน และเจ้าหมีเองก็เคยคิดสังหารข้าเช่นกัน ข้าไม่ได้ถือสา ยังคงอยู่ร่วมกับเขาได้”

เขาพยักพเยิดหน้าไปทางเหลยจงคัง “รู้หรือไม่ว่าเจ้าหมีแตกต่างกับพรรคพวกของพวกเจ้าคนนี้ตรงไหน? รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงปฏิเสธที่จะยอมรับเขา? ตัวเองเป็นสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่ม ความสามารถมีจำกัด ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นมาก็แบกรับความรับผิดชอบไม่ไหว ทว่ากลับยังคงยืนกรานมั่นใจว่าตนทำถูก คิดว่าไม่จำเป็นต้องปรึกษาหารือกับสมาชิกคนอื่น… ตอนนี้เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา แต่ตนกลับไม่กล้ารับผิดชอบ แล้วยังคิดจะลากพวกพ้องไปรับความเสี่ยงด้วย คนแบบนี้คือคนถ่อย!”

เหลยจงคังโดนต่อว่าจนใบหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมา

หนิวโหย่วเต้าแสดงสีหน้าดูแคลน “เหลยจงคัง อย่าหาว่าข้าดูถูกเจ้าเลยนะ แต่ข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง หากเจ้าทำไปเพราะหวังดีต่อพวกพ้องจริงอย่างที่เจ้าว่ามา เช่นนั้นก็ก้าวออกมา สามกระบวนท่า! ขอเพียงเจ้ารับมือข้าได้สามกระบวนท่าโดยไม่ล้ม ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป! หากเจ้าไม่กล้าออกมารับกระบวนท่า ข้าก็ยังคงให้เจ้าจากไปได้เช่นกัน เพราะถ้าสังหารคนถ่อยอย่างเจ้าไป ข้าก็กลัวว่าจะทำให้มือของตัวเองสกปรก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนชดใช้ชีวิตแทนเจ้าอยู่ดี เจ้าเลือกเอาเองแล้วกัน!”

หยวนฟางที่อยู่ข้างๆ แสยะยิ้ม ตอนแรกเขายังกังวลอยู่ว่าทางฝั่งเขาจะต่อกรกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างฐานสี่คนได้หรือไม่ แต่พอได้ยินเต้าเหยี่ยเอ่ยเช่นนี้ ดูช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน จะไม่ให้รู้สึกมั่นใจก็คงไม่ได้แล้ว!

เฮยหมู่ตานหันมองซ้ายมองขวาพลางเอ่ยว่า “ไม่ต้องสนใจเขา เขากำลังยุแยงให้เราแตกกัน พวกเราไปกันเถอะ!”

ทว่าเหลยจงคังกลับไม่มีท่าทีว่าจะเดินจากไป ยังคงยืนจ้องหนิวโหย่วเต้าอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ถูกคำพูดของหนิวโหย่วเต้าถ่วงรั้งไว้

เฮยหมู่ตานดึงแขนเสื้อเขาเล็กน้อย “ไปเร็ว!”

หนิวโหย่วเต้าจ้องมองดวงตาทั้งสองของเหลยจงคัง เอ่ยด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “ข้าจะยอมถอยให้อีกก้าวหนึ่ง ฝ่ามือเดียว! ขอเพียงเจ้ารับข้าได้หนึ่งฝ่ามือโดยไม่ล้ม ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าเฮยหมู่ตาน!”

หยวนฟางที่อยู่ด้านข้างช่วยเอ่ยทับถมทันที “เหลยจงคัง หากข้าเป็นเจ้านะ ข้าจะรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ก่อน เจ้าก็ให้เฮยหมู่ตานช่วยตายแทนเจ้าไปเสียสิ จะคิดวุ่นวายขนาดนั้นไปไย!”

เขาเคยช่วยหนิวโหย่วเต้าและหยวนกังฝึกวรยุทธ์ เคยลิ้มรส ‘ฝ่ามือมหาจักรวาล’ ของหนิวโหย่วเต้ามาแล้ว รู้ดีว่ามีรสชาติอย่างไร เป็นความรู้สึกที่รวดร้าวถึงทรวงอย่างยิ่ง เขาตั้งตารอคอยให้เหลยจงคังได้ลิ้มรสเช่นกัน

เหลยจงคังเอ่ยกับทางนี้ด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “คำพูดเจ้าเชื่อถือได้?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ถามเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร? หากแม้แต่ฝ่ามือเดียวของข้าเจ้ายังรับไม่ได้ เช่นนั้นเจ้ายังคิดว่าพวกเจ้าจะหนีรอดไปได้อีกหรือ? ไม่คุ้มค่าพอให้เจ้าลองเดิมพันหรืออย่างไร?”

“ไปเถอะ!” เฮยหมู่ตานร้อนใจ ออกแรงกระชากตัวเหลยจงคังเล็กน้อย

เหลยจงคังพลันหันกลับไปเอ่ยว่า “ลูกพี่ ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าตอนที่เขาติดตามซางเฉาจง สภาวะเขายังอยู่แค่ระดับหลอมปราณเท่านั้น ตอนนี้อย่างมากก็แค่ระดับสร้างฐาน สภาวะพอๆ กับพวกเรา ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะรับหนึ่งฝ่ามือจากเขาไม่ได้!”

เสียงแควกดังขึ้น แขนเสื้อถูกกระชากจนขาด เขาก้าวออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว ประจันหน้ากับหนิวโหย่วเต้า

ทางนี้ก็ทราบเช่นกันว่าเกลี้ยกล่อมไปก็ไม่มีประโยชน์ เหลยจงคังถูกคำพูดของอีกฝ่ายแทงใจดำจนไม่อาจแก้ตัวได้ หากหนีไปเช่นนี้ต่อไปคงไม่มีหน้ามาพบพวกเขาอีก เฮยหมู่ตานกระทืบเท้าด้วยความร้อนใจ โยนเศษแขนเสื้อที่ถูกดึงจนขาดทิ้งไป ทำได้เพียงเฝ้ามองด้วยความกระวนกระวายอยู่กับต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยง

เหลยจงคังกัดฟันเอ่ย “แค่ฝ่ามือเดียว?”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ “ฝ่ามือเดียว!”

เหลยจงคังตะคอกขึ้นมา “รับมือ!” ไม่พูดพร่ำทำเพลงอันใด ร่างกายพุ่งทะยานออกไป ซัดฝ่ามือโจมตี

อาภรณ์หนิวโหย่วเต้าขยับไหวโดยไร้ลม ยกมือข้างหนึ่งออกมาจากด้ามกระบี่ในทันใด ซัดฝ่ามือออกไปอย่างดุดัน

ผัวะ! สองฝ่ามือปะทะกัน เกิดเสียงกระแทกดังสนั่น

ดวงตาของเหลยจงคังพลันเบิกกว้าง รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ มีพลังสองสายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงหมุนวนอย่างรวดเร็วอยู่บนแขนของอีกฝ่าย พลังฝ่ามือที่เขาซัดออกไปแหลกสลาย พลังฝ่ามือของตัวเองไม่สามารถรวมตัวทำลายพลังของอีกฝ่ายได้

ภายในใจพลันตื่นตระหนก นี่มันบ้าอะไรกัน?

สิ่งที่ทำให้เขาตระหนกลนลานยิ่งกว่านั้นคือ พลังหมุนวนอันเกรี้ยวกราดรุนแรงสายหนึ่งจากในพลังฝ่ามือของอีกฝ่ายได้ไหลทะลักเข้ามาในร่างกายของเขา

เหลยจงคังซวนเซถอยหลังไป สองเนตรเบิกกว้าง คลื่นพลังหมุนวนที่ไหลทะลักเข้ามาในร่างกายของเขาได้แยกออกเป็นสองสาย รุกรานเข้าสู่อวัยวะตันทั้งห้าและอวัยวะกลวงทั้งหกของเขา

ระหว่างที่ซวนเซถอยหลังไปไม่หยุด ใบหน้าซีกหนึ่งกลายเป็นสีแดงก่ำอย่างรวดเร็ว ส่วนอีกซีกกลายเป็นสีขาวซีด ถึงขนาดมีน้ำค้างแข็งจับตัวขึ้นมา

“พรูด!” เหลยจงคังที่ไม่สามารถสกัดกั้นพลังประหลาดในร่างกายได้กระอักโลหิตสดๆ ออกมาคำหนึ่ง ร่างกายส่ายโงนเงน ทรุดตัวล้มลงบนพื้น

ฝ่ามือที่ยกขึ้นมาของหนิวโหย่วเต้าค่อยๆ วางกลับลงบนมืออีกข้างอย่างช้าๆ อาภรณ์ที่ไหวสะบัดอย่างรุนแรงทิ้งตัวลู่ลง

ความจริงระดับสภาวะของทั้งสองต่างกันไม่มาก แต่การที่เขาสามารถรับฝ่ามือได้โดยยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน การที่สามารถตัดสินความห่างชั้นระหว่างทั้งสองฝ่ายได้อย่างชัดเจนเช่นนี้ มันมิได้เป็นเพราะความรุนแรงของฝ่ามือมหาจักรวาลของเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น การที่เขากล้าเดิมพันเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผล นี่เป็นเพราะเขาได้ศึกษา ‘มหาจักรวาลสลายแรง’ ที่อยู่ใน ‘เคล็ดวิชามหาจักรวาล’ มาก่อนหน้านี้แล้ว

แต่แน่นอน เมื่อสภาวะของเขามีความก้าวหน้าขึ้น อานุภาพของฝ่ามือมหาจักรวาลในปัจจุบันก็ยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้นเช่นกัน เขาคิดเอาไว้แล้วว่าต่อไปหากมีเวลา เขาจะทำการศึกษาเคล็ดท่าร่าง ‘เคลื่อนย้ายมหาจักรวาล’

เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเหลยจงคังซีกหนึ่งแดงก่ำเหมือนถูกไฟลวก ส่วนอีกซีกมีน้ำค้างแข็งจับตัวขึ้นมา หยวนฟางพลันยิ้มออกมา ในที่สุดก็มีคนมาร่วมแบ่งปันความรู้สึกนี้กับเขาแล้ว

แต่พวกเฮยหมู่ตานกลับตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาต่างคาดไม่ถึงเลยว่าความแข็งแกร่งของเหลยจงคังกับหนิวโหย่วเต้าจะแตกต่างกันถึงขนาดนี้ คิดไม่ถึงเลยว่ากระทั่งฝ่ามือเดียวจากหนิวโหย่วเต้าก็ยังรับเอาไว้ไม่ได้ ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือหนิวโหย่วเต้ายืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย

ความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายและจิตใจ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดหนิวโหย่วเต้าถึงได้มั่นใจขนาดนี้

ทั้งสามรีบปรี่เข้าไปพยุงเหลยจงคัง เวลานี้เหลยจงคังกระอักเลือดออกมาไม่หยุด เขาพยายามโคจรพลังสะกดพลังประหลาดภายในร่าง หนึ่งร้อนหนึ่งเย็นกลุ้มโจมตีอวัยวะตันทั้งห้าและอวัยวะกลวงทั้งหกพร้อมกัน ทำให้เขายากจะปรับตัวตามทันได้ ร่างกายซีกหนึ่งร้อนดั่งไฟลวก ส่วนน้ำค้างแข็งที่เกาะอยู่บนร่างกายอีกซีกหนึ่งก็จับตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งสามไม่มีเวลาให้คิดมากนัก รีบร่วมมือกันถ่ายพลังเข้าช่วยเหลือเขา ไม่เช่นนั้นชีวิตของเหลยจงคังจะตกอยู่ในอันตราย

เสียงตึกๆ คืบใกล้เข้ามา ทั้งสามเงยหน้าขึ้น มองเห็นหนิวโหย่วเต้าใช้กระบี่ต่างไม้เท้า ค่อยๆ เดินเข้ามา หยุดอยู่ตรงหน้าคนทั้งสาม

หนิวโหย่วเต้าก้มลงมอง เอ่ยว่า “ข้าบอกแล้วว่าหากรับข้าได้หนึ่งฝ่ามือ ข้าจะปล่อยเขาไป หากรับไม่ได้…ยังมีความจำเป็นต้องช่วยเหลืออีกหรือ? ข้าไม่อยากสร้างความลำบากใจให้พวกเจ้า หากพวกเจ้าไม่อยากอยู่ก็ไปเถอะ แต่เขาต้องอยู่”

ทั้งสามสบตากัน ร้อนใจยิ่งนัก หากก่อนหน้านี้ทั้งสี่คนหนีไปด้วยกัน ก็ยังอาจจะพอมีโอกาสรอด แต่ตอนนี้หากพาเหลยจงคังที่บาดเจ็บสาหัสไปด้วย เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดรอดทั้งสิ้น

เฮยหมู่ตานพลันหมุนตัวกลับมา คุกเข่าลงตรงหน้าหนิวโหย่วเต้า เอ่ยขอร้องอ้อนวอนว่า “เต้าเหยี่ย ท่านคือผู้ที่เคยผ่านโลกกว้างมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องถือสาหาความกับผู้น้อยอย่างพวกเราเลย ท่านได้โปรดเมตตาปล่อยเขาไปได้ไหมเจ้าคะ?”

เหลยจงคังเหล่มองด้วยสายตาอ่อนแรง เมื่อเห็นว่าเฮยหมู่ตานคุกเข่าขอร้องเพื่อตน อารมณ์ภายในใจพลันปั่นป่วนขึ้นมา กระอักเลือดออกมาอีกคำดัง “พรูด”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “เจ้าหมี เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

หยวนฟางกำลังเก็บตั๋วแลกทองบนพื้นขึ้นมายัดเข้าไปในหน้าอก เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงถือดาบเดินเข้ามา หัวเราะหึๆ พลางกล่าวว่า “เจ้าสวะที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กล้าดีมาลอบวางแผนปองร้ายเต้าเหยี่ย! เต้าเหยี่ย ในเมื่อปมแค้นนี้ถูกผูกขึ้นมาแล้ว เช่นนั้นก็อย่าเก็บไว้เป็นปัญหาภายหลังเลยขอรับ!”

“จิตใจเจ้าโหดเหี้ยมเกินไป ข้าไม่ชมชอบการต่อสู้ฆ่าฟัน” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างดูแคลน หันกลับไปมองคนทั้งสี่แล้วเอ่ยว่า “แต่ที่เขาพูดมาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ข้าไม่ควรเก็บปัญหาไว้ข้างกายจริงๆ เช่นนั้นข้ามีทางเลือกให้พวกเจ้าสองทาง เขาอยู่ พวกเจ้าไป พวกเจ้าอยู่ เขาไป!”

เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าจะเลือกอย่างไรก็ดูคล้ายว่าพวกเฮยหมู่ตานจะไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ ยากที่จะเอ่ยปากออกไปได้

เหลยจงคังเอ่ยเสียงอ่อย “ข้าไป!”

พวกเฮยหมู่ตานนิ่งเงียบ สีหน้าซับซ้อน

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ถ้าตอบตกลง ข้าจะรักษาอาการบาดเจ็บให้เขาแล้วปล่อยเขาไป นับจากนี้ไปชีวิตของพวกเจ้าสามคนคือของข้า ต่อไปต้องรับใช้ข้า หากไม่ตกลง ข้าก็จะเอาชีวิตเขา ใช้สามชีวิตแลกชีวิตเดียวนั้นไม่ค่อยคุ้มสักเท่าไร พวกเจ้าใคร่ครวญเอาเองแล้วกัน”

เหลยจงคังที่อยู่ตรงนั้นส่ายหน้าอีกครั้ง

ทว่าคำพูดประโยคนี้กลับทำให้เฮยหมู่ตานกัดฟันพยักหน้าตกลง “ข้าตกลง!”

ต้วนหู่ก็พยักหน้าด้วยความยากเย็น “ข้าตกลง!”

อู๋ซานเหลี่ยงพยักหน้ารับ “เต้าเหยี่ยโปรดช่วยรักษาเขาด้วย”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ในเมื่อตัดสินใจได้หมดแล้ว เช่นนั้นก็มาเขียนสัญญาโลหิต เซ็นสัญญาขายตัว!”

เหลยจงคังส่ายหน้าไม่หยุด บนใบหน้าครึ่งซีกที่แดงก่ำมีน้ำตาไหลรินออกมา

พวกเฮยหมู่ตานทั้งสามมีสีหน้าหม่นหมอง หยิบกระดาษออกมาจากห่อสัมภาระ กัดนิ้วให้เป็นแผล ใช้นิ้วเขียนสัญญาโลหิต ยื่นสัญญาขายตัวออกมาทีละคน

หนิวโหย่วเต้าเอียงคอส่งสัญญาณเล็กน้อย หยวนฟางเดินเข้าไปอย่างระแวดระวัง เก็บสัญญาขายตัวมาทีละแผ่น หลังจากตรวจสอบเสร็จเรียบร้อย ก็ยิ้มแล้วพยักหน้าให้หนิวโหย่วเต้า

หนิวโหย่วเต้าโบกมือพลางกล่าวว่า “พวกเจ้าหลีกไป”

พวกเฮยหมู่ตานทั้งสามถอยออกไป หลบไปอยู่ด้านข้าง

หนิวโหย่วเต้ายื่นกระบี่ให้หยวนฟางที่อยู่ข้างๆ จากนั้นดึงเหลยจงคังขึ้นมา ทาบฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของเขา

ผ่านไปครู่หนึ่ง สีแดงก่ำและเกล็ดน้ำแข็งบนใบหน้าเหลยจงคังก็หายไปพร้อมกัน สีหน้าของเหลยจงคังค่อยๆ ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด

พลั่ก! หนิวโหย่วเต้าซัดฝ่ามือออกไปทีหนึ่ง เหลยจงคังโซเซถลาไปด้านหน้า กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง ในโลหิตมีก้อนน้ำแข็งปะปนอยู่หลายก้อน หล่นกระจัดกระจายลงบนพื้น แผ่ไอเย็นออกมา

…………………………………………………………………..

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า