ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 141

ตอนที่ 141 เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร

แค่หนึ่งล้านสองแสน! แทบจะยกเค้าร้านค้าของทั้งสามสำนักจนหมดเกลี้ยงแล้ว ข้าวของมากมายขนาดนั้น กลับขายได้เงินแค่หนึ่งล้านสองแสน!

พวกเฮยหมู่ตานปวดใจจนแทบจะหลั่งเลือดออกมา ตัวเลขยิ่งมากเท่าไหร่ก็แปลว่าสูญเสียไปมากเท่านั้น เสียของ เสียของจริงๆ!

เมื่อนึกถึงหลายวันก่อน เพื่อเงินแสนเหรียญทองพวกเขาต้องลำบากแสนสาหัสกันเพียงใดกัน แต่นี่เพียงพริบตาเดียวกลับเสียเงินไปมากมายขนาดนี้ กระทั่งตัวเองก็ยังรู้สึกยากจะรับได้

เดิมทีหยวนฟางยังนึกดีใจว่าได้ลาภก้อนใหญ่แล้ว!

แต่พอได้ยินพวกเฮยหมู่ตานพูด หลังรู้ว่าขายของไปแค่ครึ่งราคาก็รู้สึกกลุ้มใจเช่นกัน อยู่ที่วัดหนานซานหลอกลวงปล้นชิงเงินคนอื่นอยู่หลายปีเพิ่งจะเก็บเงินได้ไม่กี่ร้อยเหรียญทอง แต่นี่แค่พริบตาเดียวกลับเสียเงินสำหรับสร้างวัดหลังใหญ่ไปตั้งเท่าไรแล้ว?

เห็นๆ อยู่ว่าได้เงินมาก้อนใหญ่ แต่ทั้งสี่คนที่เดินตามหลังหนิวโหย่วเต้ากลับหน้าม่อยคอตก ความหวาดกลัวกริ่งเกรงในตอนที่ทำการปล้นก่อนหน้านี้ถูกลืมไปหมดแล้ว ในสมองเต็มไปด้วยภาพเถ้าแก่ของร้านค้าที่กำลังยิ้มหน้าบานเพราะได้ซื้อของดีราคาถูก

กระทั่งออกมาจากเมืองไจซิง พอทั้งหมดกระโดดลงไปในแม่น้ำ แต่ละคนถึงจะได้สติกลับมา

ในน้ำดำมืด จับทิศทางได้ยาก ได้แต่ไหลไปตามกระแสน้ำ

กระทั่งขึ้นจากน้ำมาบนฝั่งอีกครั้ง หนิวโหย่วเต้าที่มองดูดวงดาวเพื่อแยกแยะทิศทางเอาไว้ตั้งแต่ก่อนลงน้ำได้เงยหน้ามองดูดวงดาวอีกครั้ง หลังจากระบุทิศทางได้แล้วก็หยิบเอาเหยื่อหอมที่เหลยจงคังให้ไว้ออกมาเม็ดหนึ่ง บีบขี้ผึ้งให้แตกแล้วโยนลงบนพื้น

ทั้งกลุ่มออกเดินทางอีกครั้ง ไม่ได้ใช้ผีเสื้อจันทรา หากแต่อาศัยแสงจันทร์ในการเดินทาง

หลังได้สติกลับมาจากเงินหนึ่งล้านสองแสน มองดูหนิวโหย่วเต้าที่เหินทะยานนำอยู่เบื้องหน้า พวกเฮยหมู่ตานก็รู้สึกทอดถอนใจเป็นอย่างมาก

เสี่ยงอันตรายมาทั้งชีวิต เรื่องเลวทรามจำพวกปล้นชิงหลอกลวงก็ทำมาไม่น้อย หลายต่อหลายครั้งที่ต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยง แต่ดูอีกฝ่ายสิ ทำเรื่องไม่ดีเหมือนกัน แต่เขาทำเพียงครั้งเดียวก็คุ้มกว่าที่พวกเขาทำมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว

โดยเฉพาะเฮยหมู่ตาน นางได้เห็นภาพวาดมูลค่าแสนเหรียญทองของหนิวโหย่วเต้ามากับตา จากนั้นก็ได้เห็นเหตุการณ์ปล้นร้านค้าของสามสำนักอย่างเยือกเย็น นางแทบจะมั่นใจว่าเงินไม่กี่หมื่นเหรียญทองที่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกนาง แต่สำหรับเต้าเหยี่ยผู้นี้ เกรงว่าคงไม่มีค่าให้เหลือบแลอะไร

ทันใดนั้นทั้งสามคนก็พบว่าในเวลานี้ตัวหนิวโหย่วเต้าก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเช่นเดียวกัน แล้วเหตุใดอีกฝ่ายถึงไม่คับข้องขุ่นเคืองในการเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเลยเล่า? การก่อตั้งสำนักเพื่อให้หลุดพ้นจากสถานะผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักมันสำคัญหรือ? เพื่อเงินแสนเหรียญทองแล้วถึงกับต้องยอมลดเกียรติไปขอร้องอ้อนวอนผู้อื่น มันคุ้มกันแล้วหรือ?

หยวนฟางเองก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาเช่นกัน ตอนนี้ถึงได้เข้าใจแล้วว่าที่หนิวโหย่วเต้าบอกว่าเขาสายตาคับแคบและตระหนี่ถี่เหนียวนั้นไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว หาเงินสร้างวัดเป็นเรื่องยากนักหรือ? จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้หรือ?

เมื่อคนกลุ่มนี้ได้ผ่านประสบการณ์ในครั้งนี้ไป พวกเขาก็ไม่เห็นเงินเล็กน้อยอยู่ในสายตาอีก สายตาจะมองออกไปได้ไกลขึ้นหรือเปล่าไม่รู้ แต่ใจของพวกเขานั้นใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน!

เมื่อตัดผ่านเทือกเขาออกมา พวกเขาก็มาถึงลานม้าอีกครั้ง หลังรับเอาม้าที่ฝากไว้มาแล้ว ทั้งห้าก็ควบม้ามุ่งสู่ส่วนลึกของทะเลทราย

หลังพ้นทะเลทรายก็เข้าสู่ทุ่งหญ้าอีกครั้ง ควบม้าไปได้สักพักก็กลับมาถึงเนินเขาแห่งนั้น

เมื่อมาถึงหน้าเนินเขาก็รั้งบังเหียนหยุดม้า หนิวโหย่วเต้ามองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง เอ่ยสั่งว่า “พวกเจ้าสองคนไปดูหน่อย”

ต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงทะยานออกจากหลังม้า ร่อนลงบนเนินเขา ก่อนจะเหินเข้าไปในภูเขา

ผ่านไปครู่หนึ่ง ต้วนหู่ทะยานกลับมา ร่อนลงตรงหน้าม้าพร้อมเอ่ยรายงานว่า “เต้าเหยี่ย อยู่ครบทุกคน ไม่มีปัญหาอะไรขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าถึงได้ทะยานออกจากหลังม้า ทั้งกลุ่มเหินทะยานไปยังด้านหลังเนินเขาอีกครั้ง มองเห็นอู๋ซานเหลี่ยงและเหลยจงคังยืนอยู่ข้างกัน ชุยหย่วนและเหยาโหย่วเลี่ยงที่ถูกมัดไว้นั่งอยู่บนพื้น

ภายใต้แสงสว่างจากผีเสื้อจันทราจำนวนหนึ่ง หนิวโหย่วเต้าพยักเพยิดหน้าส่งสัญญาณ อู๋ซานเหลี่ยงลากตัวทั้งสองคนลุกขึ้นมา

หนิวโหย่วเต้าเผชิญหน้ากับคนทั้งสองที่มีสีหน้าซึมเศร้า เอ่ยเสียงเรียบเฉยว่า “เมื่อครู่พวกเรากลับไปที่เมืองไจซิง ต้องขอบใจคำสารภาพของพวกเจ้าทั้งสอง พวกเราถึงได้รู้ว่าไม่มีใครประจำอยู่ที่ร้านค้าของทั้งสามสำนัก ดังนั้นพวกเราจึงไปปล้นร้านค้าของทั้งสามสำนักจนเกลี้ยงแล้ว”

“……..” ชุยหย่วนและเหยาโหย่วเลี่ยงตะลึงตาค้าง เจ้าพวกนี้ยังกล้ากลับไปที่เมืองไจซิงอีกหรือ ซ้ำยัง… ทั้งสองไม่กล้าจินตนาการถึงผลลัพธ์หลังจากที่ทางสำนักทราบเรื่องนี้สักเท่าไร

เหลยจงคังก็ตกตะลึงเช่นกัน มองไปทางเฮยหมู่ตาน อีกฝ่ายพยักหน้าเล็กน้อย เขาถึงได้เชื่อ คิดไม่ถึงเลยว่าคนผู้นี้จะปล้นร้านค้าในเมืองไจซิงของทั้งสามสำนัก

ปล้นร้านค้าในเมืองไจซิง นี่คือเรื่องที่ในอดีตตัวเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด ซ้ำยังปล้นทีเดียวถึงสามร้านด้วย? คิดๆ ดูแล้วก็บ้าดีเดือดทีเดียว ดูเหมือนพวกพ้องของตนก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน

ชุยหย่วนกัดฟันถาม “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “พวกเจ้าวางใจเถอะ ตัวข้าผู้นี้ไม่ชอบต่อสู้ฆ่าฟัน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเจ้าก็ช่วยให้ข้าได้เงินมาก้อนใหญ่ด้วย ดังนั้นข้าจะไม่สร้างความลำบากให้พวกเจ้า” เขาโบกมือส่งสัญญาณ “ปล่อยตัวพวกเขา”

คนอื่นๆ มองหน้ากัน ต้วนหู่เอ่ยถามด้วยความมึนงง “เต้าเหยี่ย จะปล่อยพวกเขาหรือขอรับ?”

“ข้าพูดคำไหนคำนั้น ปล่อย!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยืนยัน

ต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงสบตากันเล็กน้อย ทำได้เพียงแกะแส้โลหะที่มัดอยู่บนร่างทั้งสองคนออก

หนิวโหย่วเต้าสั่งการอีกครั้ง “คลายผนึกให้พวกเขาด้วย”

ต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงสบตากันอีกครั้ง ทำตามที่หนิวโหย่วเต้าสั่ง

เชลยทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัส ทางนี้ย่อมไม่กังวลเช่นกันว่าทั้งสองจะก่อเรื่องอะไรได้ เพียงแต่ทุกคนไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร เหตุใดถึงต้องเก็บตัวปัญหาไว้ด้วย จัดการทิ้งไปเลยไม่ง่ายกว่าเหรอ ท่านบอกว่าไม่ชอบต่อสู้ฆ่าฟัน อย่างนั้นยกให้เป็นหน้าที่พวกเราก็ได้ ยินดีรับใช้เป็นอย่างยิ่ง!

ทว่าวาจาของหนิวโหย่วเต้าค่อยๆ มีความน่ายำเกรงต่อพวกเขาเหล่านี้แล้ว ในเมื่อเขาเอ่ยมาเช่นนี้ ทุกคนก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรอีก ได้แต่จัดการไปตามคำสั่งของเขา

อย่าว่าแต่พวกเขาเลย กระทั่งชุยหย่วนกับเหยาโหย่วเลี่ยงเองก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน ก่อนหน้านี้ทั้งสองต้องการเอาชีวิตของหนิวโหย่วเต้านะ หนิวโหย่วเต้ากลับยอมปล่อยพวกเขาอย่างนั้นหรือ?

ทั้งสองขยับแข้งขยับขาที่มีอาการเหน็บชาเล็กน้อย ต่างค่อนข้างประหลาดใจและสงสัย

เหยาโหย่วเลี่ยงเอ่ยว่า “หนิวโหย่วเต้า มาถึงขั้นนี้แล้วพวกข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก จะฆ่าจะแกงก็เชิญตามสบาย ไม่จำเป็นต้องทำตัวเหมือนแมวแหย่หนู!”

หนิวโหย่วเต้าค้ำกระบี่ไว้ด้านหน้าแล้วกล่าวว่า “ควบม้าท่องทั่วหล้า ลมก็ดี ฝนก็ช่าง ไม่อาจขัดขวางข้าได้! เหยียบย่างไปตามเส้นทาง ทำความรู้จักสร้างสหาย! ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ข้าไม่ชอบต่อสู้ฆ่าฟัน ชมชอบผูกมิตรสร้างสหาย ชมชอบไมตรีปรองดอง หากมิใช่เพราะถูกบีบคั้นจนหมดหนทาง ข้าเองก็คงไม่ลงมือ สรุปคือไม่ว่าพวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ พวกเจ้าก็วางใจได้ ข้าไม่มีทางแพร่งพรายเรื่องปล้นร้านค้าของสามสำนักต่อภายนอกแม้แต่คำเดียว แล้วก็ไม่มีทางเปิดเผยด้วยว่าทราบข่าวมาจากพวกเจ้า เพราะพวกเราไม่จำเป็นต้องหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเพิ่ม ดังนั้นเชิญพวกเจ้าสองคนกลับไปยังสำนักของตนอย่างสบายใจได้”

เมื่อเห็นทั้งสองคล้ายจะยังไม่เชื่อ หนิวโหย่วเต้าจึงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นอีกว่า “หากพวกเจ้าสองคนกลัวว่ากลับไปแล้วจะรายงานได้ลำบาก ก็ให้บอกไปว่าข้าฝากพวกเจ้ามาส่งข้อความ หวังว่าทั้งสามสำนักจะยอมเมตตารามือ ยอมปล่อยข้าไป! พวกเจ้าก็คิดเอาเองแล้วกันว่าจะอธิบายอย่างไร ไม่ว่าจะพูดอย่างไรข้าก็ไม่ว่าทั้งนั้น! แต่เรื่องที่พวกเจ้าทั้งสองยังไม่ทันทำอะไรก็เจอปัญหา บางทีอาจจะถูกตำหนิติเตียนบ้าง เรื่องนี้ข้าช่วยอะไรพวกเจ้าไม่ได้ พวกเจ้าคิดหาทางเอาเองแล้วกัน”

กล่าวจบก็เบี่ยงกายเปิดทางพร้อมผายมือเชิญ “เดินทางดีๆ ไม่ส่ง!”

ทั้งสองเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เดินผ่านคนทั้งหกออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ

หลังเดินออกมาได้ไม่ไกล จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าพลันเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ทำเอาทั้งสองสะดุ้งโหยง นึกว่าเขาเปลี่ยนใจ “ทั้งสองคนอย่าได้แตะต้องม้าด้านนอกล่ะ พวกเราต้องใช้ต่อ พวกเจ้าเดินเท้ากลับไปแล้วกัน อีกอย่าง เรื่องที่เหลยจงคังหักหลัง พวกเจ้าอย่าได้เอ่ยจะเป็นการดีที่สุด ข้าได้วางอุบายเล็กน้อยไว้ที่ร้านค้า พวกเจ้าอย่าได้ทำอะไรโง่เขลาจนกลายเป็นทำร้ายตัวเอง ขอให้พวกเจ้าทั้งสองเดินทางราบรื่น ขออภัยที่ไม่ได้ส่ง!”

ชุยหย่วนและเหยาโหย่วเลี่ยงถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น สุดท้ายเหินทะยานข้ามเนินเขาไป หลังจากร่อนลงบนทุ่งหญ้า ก็ไม่ได้แตะต้องม้าพวกนั้นตามที่หนิวโหย่วเต้าสั่งเอาไว้ รีบเร่งหลบหนีไปด้วยความกังวล กลัวว่าหนิวโหย่วเต้าจะเปลี่ยนใจ เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาคิดจะเอาชีวิตอีกฝ่ายเชียวนะ!

ด้านหลังเนินเขา เฮยหมู่ตานยังคงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ “เต้าเหยี่ย จะปล่อยพวกเขาไปแบบนี้จริงๆ หรือเจ้าคะ?”

“ความแค้นพึงละมิพึงผูก!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

เฮยหมู่ตานยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “เต้าเหยี่ยใจกว้างนัก แต่เกรงว่าพวกเขาคงจะไม่ยินดีรับน้ำใจนี้!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างเรียบเฉย “เช่นนั้นก็ถือว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรแล้วกัน! เอาเป็นว่าผูกมิตรไว้มากหน่อยมิใช่เรื่องเสียหายอะไร!”

เฮยหมู่ตานตบหน้าผากตัวเอง ไม่ค่อยเข้าใจความคิดนี้สักเท่าไร นี่มันใช่เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรที่ไหนกัน? ถ้าอีกฝ่ายเห็นท่านเป็นสหายได้ก็แปลกแล้ว!

หนิวโหย่วเต้าไม่เถียงเรื่องนี้กับนางอีก หันกลับไปสั่งการ “ไปจูงม้าที่ขี่มาก่อนหน้านี้มา ระหว่างทางจะได้เอาไว้ผลัดเปลี่ยน แล้วก็อุปกรณ์ส่งข่าวสารของทั้งสามสำนักด้วย เอามาให้หมด”

ทั้งหกคนออกมาจากป่า มายังทุ่งหญ้าที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์

หนิวโหย่วเต้าให้หยวนฟางหยิบแผนที่ออกมาอีกครั้ง หลังตรวจสอบดูแล้วก็ชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่ง เอ่ยถามว่า “สถานการณ์ของเขาข้ามเมฆาเป็นอย่างไรบ้าง พวกเจ้ามีใครรู้ไหม?”

ทั้งสี่คนใคร่ครวญเล็กน้อย ต้วนหู่กล่าวว่า “เขาข้ามเมฆาอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลมากนัก อย่างมากใช้เวลาเดินทางหนึ่งวันก็ถึงแล้วขอรับ”

อู๋ซานเหลี่ยงเอ่ยว่า “ภายในเขาข้ามเมฆาเป็นแหล่งรวมตัวของปีศาจบำเพ็ญเพียรจำนวนมาก พวกปีศาจนับถือปีศาจงูอวิ๋นจีเป็นผู้นำ เขาข้ามเมฆาเป็นอาณาเขตของอวิ๋นจี ตัวอวิ๋นจีเองก็เป็นยอดฝีมือบนทำเนียบโอสถด้วยเช่นกัน แคว้นจ้าวเคยระดมกำลังผู้บำเพ็ญเพียรส่วนหนึ่งมาปราบปีศาจ ทว่าลักษณะภูมิประเทศของเขาข้ามเมฆามีความสลับซับซ้อน มีเมฆหมอกปกคลุมตลอดทั้งปี ประกอบกับมีโพรงถ้ำที่ลักษณะคล้ายใยแมงมุมกระจายตัวอยู่ในภูเขา จึงยากที่จะทำการขุดรากถอนโคนได้ เนื่องจากถูกบุกปราบปรามบ่อยครั้งเข้า เขาข้ามเมฆาจึงตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย อวิ๋นจีเองก็ทนไม่ไหวเช่นกัน มีข่าวลือว่าทางแคว้นจ้าวและทางอวิ๋นจีได้บรรลุข้อตกลงอย่างลับๆ บางอย่าง น่าจะหมายถึงการที่ต่างฝ่ายต่างไม่รบกวนซึ่งกันและกัน เข้าขามเมฆาถึงได้สงบสุขมาจนถึงบัดนี้ขอรับ”

นี่มิใช่เรื่องที่หนิวโหย่วเต้าอยากได้ยิน เรื่องพวกนี้เขาเคยอ่านจาก ‘บันทึกสวรรค์พิสุทธิ์’ มาแล้ว จึงเอ่ยถามไปว่า “ได้ยินว่าอวิ๋นจีไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกแล้ว ผู้ที่ดูแลปกครองเขาข้ามเมฆาก็คืออวิ๋นฮวนที่เป็นบุตรชายของนาง ลือกันว่าอวิ๋นฮวนผู้นี้ละโมบในเงินทองยิ่งนัก เห็นแก่ผลประโยชน์จนลืมคุณธรรม เรื่องนี้เป็นความจริงหรือเปล่า?”

เฮยหมู่ตานเอ่ยว่า “ก็ประมาณนั้นเจ้าค่ะ ส่วนจะละโมบในเงินทองและเห็นแก่ประโยชน์จนลืมคุณธรรมจริงหรือไม่นั้น อันนี้ก็ต้องมาดูกันอีกที เพราะสถานการณ์ของเขาข้ามเมฆาเป็นอย่างไรก็รู้ๆ กันอยู่ ลู่ทางหาเงินมีจำกัด ไม่ว่าใครเป็นผู้นำก็ล้วนแต่จัดการได้ลำบาก การกระทำบางอย่างของอวิ๋นฮวนจึงพอจะเข้าใจได้ไม่ยากเจ้าค่ะ”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าเล็กน้อย กวาดตามองทุกคน “มีใครรู้จักกับคนของเขาข้ามเมฆาหรือไม่?”

ทุกคนตะลึงงัน เฮยหมู่ตานมองซ้ายมองขวา ลองถามหยั่งเชิงว่า “หากหมายถึงรู้จักมักคุ้นกันจริงๆ ในหมู่พวกเราน่าจะไม่มีเจ้าค่ะ แต่เขาข้ามเมฆาห่างจากที่นี่ไม่นับว่าไกล การได้พบปีศาจตัวเล็กตัวน้อยในภูเขาบ้างก็นับเป็นเรื่องปกติ ที่เคยทักทายพูดคุยกันก็พอมีอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าเช่นนี้นับว่ารู้จักหรือไม่เจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้ารู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยว่า “แบบที่ต่างฝ่ายต่างจำกันได้ เอ่ยชื่อของอีกฝ่ายได้แบบนั้นล่ะมีไหม?”

“แบบนั้นก็มีอยู่คนสองคนเจ้าค่ะ” เฮยหมู่ตานพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัยอีกว่า “เต้าเหยี่ย หรือว่าท่านคิดจะไปที่เขาข้ามเมฆาเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “หรือว่าไปไม่ได้?” เขายื่นแผนที่ให้หยวนฟางเก็บไว้ หยิบเม็ดยาหุ้มขี้ผึ้งเม็ดหนึ่งออกมา บีบให้แตกแล้วโยนลงบนพื้น พลิกตัวขึ้นหลังม้าแล้วตะโกนว่า “ไปเถอะ!”

ทุกคนมึนงง ต่างมองดูเม็ดยาหุ้มขี้ผึ้งที่อยู่บนพื้นเม็ดนั้น ก่อนจะพลิกกายขึ้นหลังม้าแล้วควบตามไปเช่นกัน

ทั้งกลุ่มควบม้าเดินทางยามราตรี เฮยหมู่ตานไล่ตามหนิวโหย่วเต้าขึ้นมา เอ่ยถามว่า “เต้าเหยี่ย หรือว่าท่านคิดจะยืมมือเขาข้ามเมฆามาต่อกรกับคนของสามสำนัก? เต้าเหยี่ย ขออภัยที่ข้าต้องพูดตรงๆ แต่เกรงว่าเขาข้ามเมฆาคงไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้เจ้าค่ะ”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว เหยียบย่างไปตามเส้นทาง ทำความรู้จักสร้างสหาย เดินทางผ่านดินแดนของอีกฝ่าย ไปเยี่ยมเยือนทักทายสักนิด ผูกมิตรไว้ให้มากหน่อยมิใช่เรื่องเสียหาย!”

…………………………………………………….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า