ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 141

ตอนที่ 141 เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร

แค่หนึ่งล้านสองแสน! แทบจะยกเค้าร้านค้าของทั้งสามสำนักจนหมดเกลี้ยงแล้ว ข้าวของมากมายขนาดนั้น กลับขายได้เงินแค่หนึ่งล้านสองแสน!

พวกเฮยหมู่ตานปวดใจจนแทบจะหลั่งเลือดออกมา ตัวเลขยิ่งมากเท่าไหร่ก็แปลว่าสูญเสียไปมากเท่านั้น เสียของ เสียของจริงๆ!

เมื่อนึกถึงหลายวันก่อน เพื่อเงินแสนเหรียญทองพวกเขาต้องลำบากแสนสาหัสกันเพียงใดกัน แต่นี่เพียงพริบตาเดียวกลับเสียเงินไปมากมายขนาดนี้ กระทั่งตัวเองก็ยังรู้สึกยากจะรับได้

เดิมทีหยวนฟางยังนึกดีใจว่าได้ลาภก้อนใหญ่แล้ว!

แต่พอได้ยินพวกเฮยหมู่ตานพูด หลังรู้ว่าขายของไปแค่ครึ่งราคาก็รู้สึกกลุ้มใจเช่นกัน อยู่ที่วัดหนานซานหลอกลวงปล้นชิงเงินคนอื่นอยู่หลายปีเพิ่งจะเก็บเงินได้ไม่กี่ร้อยเหรียญทอง แต่นี่แค่พริบตาเดียวกลับเสียเงินสำหรับสร้างวัดหลังใหญ่ไปตั้งเท่าไรแล้ว?

เห็นๆ อยู่ว่าได้เงินมาก้อนใหญ่ แต่ทั้งสี่คนที่เดินตามหลังหนิวโหย่วเต้ากลับหน้าม่อยคอตก ความหวาดกลัวกริ่งเกรงในตอนที่ทำการปล้นก่อนหน้านี้ถูกลืมไปหมดแล้ว ในสมองเต็มไปด้วยภาพเถ้าแก่ของร้านค้าที่กำลังยิ้มหน้าบานเพราะได้ซื้อของดีราคาถูก

กระทั่งออกมาจากเมืองไจซิง พอทั้งหมดกระโดดลงไปในแม่น้ำ แต่ละคนถึงจะได้สติกลับมา

ในน้ำดำมืด จับทิศทางได้ยาก ได้แต่ไหลไปตามกระแสน้ำ

กระทั่งขึ้นจากน้ำมาบนฝั่งอีกครั้ง หนิวโหย่วเต้าที่มองดูดวงดาวเพื่อแยกแยะทิศทางเอาไว้ตั้งแต่ก่อนลงน้ำได้เงยหน้ามองดูดวงดาวอีกครั้ง หลังจากระบุทิศทางได้แล้วก็หยิบเอาเหยื่อหอมที่เหลยจงคังให้ไว้ออกมาเม็ดหนึ่ง บีบขี้ผึ้งให้แตกแล้วโยนลงบนพื้น

ทั้งกลุ่มออกเดินทางอีกครั้ง ไม่ได้ใช้ผีเสื้อจันทรา หากแต่อาศัยแสงจันทร์ในการเดินทาง

หลังได้สติกลับมาจากเงินหนึ่งล้านสองแสน มองดูหนิวโหย่วเต้าที่เหินทะยานนำอยู่เบื้องหน้า พวกเฮยหมู่ตานก็รู้สึกทอดถอนใจเป็นอย่างมาก

เสี่ยงอันตรายมาทั้งชีวิต เรื่องเลวทรามจำพวกปล้นชิงหลอกลวงก็ทำมาไม่น้อย หลายต่อหลายครั้งที่ต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยง แต่ดูอีกฝ่ายสิ ทำเรื่องไม่ดีเหมือนกัน แต่เขาทำเพียงครั้งเดียวก็คุ้มกว่าที่พวกเขาทำมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว

โดยเฉพาะเฮยหมู่ตาน นางได้เห็นภาพวาดมูลค่าแสนเหรียญทองของหนิวโหย่วเต้ามากับตา จากนั้นก็ได้เห็นเหตุการณ์ปล้นร้านค้าของสามสำนักอย่างเยือกเย็น นางแทบจะมั่นใจว่าเงินไม่กี่หมื่นเหรียญทองที่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกนาง แต่สำหรับเต้าเหยี่ยผู้นี้ เกรงว่าคงไม่มีค่าให้เหลือบแลอะไร

ทันใดนั้นทั้งสามคนก็พบว่าในเวลานี้ตัวหนิวโหย่วเต้าก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเช่นเดียวกัน แล้วเหตุใดอีกฝ่ายถึงไม่คับข้องขุ่นเคืองในการเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเลยเล่า? การก่อตั้งสำนักเพื่อให้หลุดพ้นจากสถานะผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักมันสำคัญหรือ? เพื่อเงินแสนเหรียญทองแล้วถึงกับต้องยอมลดเกียรติไปขอร้องอ้อนวอนผู้อื่น มันคุ้มกันแล้วหรือ?

หยวนฟางเองก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาเช่นกัน ตอนนี้ถึงได้เข้าใจแล้วว่าที่หนิวโหย่วเต้าบอกว่าเขาสายตาคับแคบและตระหนี่ถี่เหนียวนั้นไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว หาเงินสร้างวัดเป็นเรื่องยากนักหรือ? จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้หรือ?

เมื่อคนกลุ่มนี้ได้ผ่านประสบการณ์ในครั้งนี้ไป พวกเขาก็ไม่เห็นเงินเล็กน้อยอยู่ในสายตาอีก สายตาจะมองออกไปได้ไกลขึ้นหรือเปล่าไม่รู้ แต่ใจของพวกเขานั้นใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน!

เมื่อตัดผ่านเทือกเขาออกมา พวกเขาก็มาถึงลานม้าอีกครั้ง หลังรับเอาม้าที่ฝากไว้มาแล้ว ทั้งห้าก็ควบม้ามุ่งสู่ส่วนลึกของทะเลทราย

หลังพ้นทะเลทรายก็เข้าสู่ทุ่งหญ้าอีกครั้ง ควบม้าไปได้สักพักก็กลับมาถึงเนินเขาแห่งนั้น

เมื่อมาถึงหน้าเนินเขาก็รั้งบังเหียนหยุดม้า หนิวโหย่วเต้ามองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง เอ่ยสั่งว่า “พวกเจ้าสองคนไปดูหน่อย”

ต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงทะยานออกจากหลังม้า ร่อนลงบนเนินเขา ก่อนจะเหินเข้าไปในภูเขา

ผ่านไปครู่หนึ่ง ต้วนหู่ทะยานกลับมา ร่อนลงตรงหน้าม้าพร้อมเอ่ยรายงานว่า “เต้าเหยี่ย อยู่ครบทุกคน ไม่มีปัญหาอะไรขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าถึงได้ทะยานออกจากหลังม้า ทั้งกลุ่มเหินทะยานไปยังด้านหลังเนินเขาอีกครั้ง มองเห็นอู๋ซานเหลี่ยงและเหลยจงคังยืนอยู่ข้างกัน ชุยหย่วนและเหยาโหย่วเลี่ยงที่ถูกมัดไว้นั่งอยู่บนพื้น

ภายใต้แสงสว่างจากผีเสื้อจันทราจำนวนหนึ่ง หนิวโหย่วเต้าพยักเพยิดหน้าส่งสัญญาณ อู๋ซานเหลี่ยงลากตัวทั้งสองคนลุกขึ้นมา

หนิวโหย่วเต้าเผชิญหน้ากับคนทั้งสองที่มีสีหน้าซึมเศร้า เอ่ยเสียงเรียบเฉยว่า “เมื่อครู่พวกเรากลับไปที่เมืองไจซิง ต้องขอบใจคำสารภาพของพวกเจ้าทั้งสอง พวกเราถึงได้รู้ว่าไม่มีใครประจำอยู่ที่ร้านค้าของทั้งสามสำนัก ดังนั้นพวกเราจึงไปปล้นร้านค้าของทั้งสามสำนักจนเกลี้ยงแล้ว”

“……..” ชุยหย่วนและเหยาโหย่วเลี่ยงตะลึงตาค้าง เจ้าพวกนี้ยังกล้ากลับไปที่เมืองไจซิงอีกหรือ ซ้ำยัง… ทั้งสองไม่กล้าจินตนาการถึงผลลัพธ์หลังจากที่ทางสำนักทราบเรื่องนี้สักเท่าไร

เหลยจงคังก็ตกตะลึงเช่นกัน มองไปทางเฮยหมู่ตาน อีกฝ่ายพยักหน้าเล็กน้อย เขาถึงได้เชื่อ คิดไม่ถึงเลยว่าคนผู้นี้จะปล้นร้านค้าในเมืองไจซิงของทั้งสามสำนัก

ปล้นร้านค้าในเมืองไจซิง นี่คือเรื่องที่ในอดีตตัวเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด ซ้ำยังปล้นทีเดียวถึงสามร้านด้วย? คิดๆ ดูแล้วก็บ้าดีเดือดทีเดียว ดูเหมือนพวกพ้องของตนก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน

ชุยหย่วนกัดฟันถาม “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “พวกเจ้าวางใจเถอะ ตัวข้าผู้นี้ไม่ชอบต่อสู้ฆ่าฟัน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเจ้าก็ช่วยให้ข้าได้เงินมาก้อนใหญ่ด้วย ดังนั้นข้าจะไม่สร้างความลำบากให้พวกเจ้า” เขาโบกมือส่งสัญญาณ “ปล่อยตัวพวกเขา”

คนอื่นๆ มองหน้ากัน ต้วนหู่เอ่ยถามด้วยความมึนงง “เต้าเหยี่ย จะปล่อยพวกเขาหรือขอรับ?”

“ข้าพูดคำไหนคำนั้น ปล่อย!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยืนยัน

ต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงสบตากันเล็กน้อย ทำได้เพียงแกะแส้โลหะที่มัดอยู่บนร่างทั้งสองคนออก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า