ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 142

ตอนที่ 142 สินค้าอยู่ที่ไหน

เมื่อเห็นเฮยหมู่ตานและหนิวโหย่วเต้าพูดคุยงึมงำอยู่ด้านหน้า เหลยจงคังที่ตามอยู่ด้านหลังสุดกลับเงียบงัน

หนิวโหย่วเต้าไม่ได้บอกว่าจะรับเขาไว้ แต่ก็ไม่ได้ไล่เขาไปเช่นกัน เป็นพวกพ้องที่ลากเขามาด้วยกัน

“เหล่าเหลย อย่าคิดมากเลย” อู๋ซานเหลี่ยงชะลอความเร็วลงเล็กน้อย ขี่ม้าตีคู่กันไป เอ่ยปลอบประโยคหนึ่ง

…..

ภายใต้แสงจันทร์ ชุยหย่วนและเหยาโหย่วเลี่ยงทะยานออกมาจากทุ่งหญ้า หยุดลงพร้อมหอบหายใจถี่ หันมองไปทางด้านหลังเล็กน้อย รู้สึกว่าน่าจะไม่ถูกไล่ตามมาแล้ว จึงเริ่มเดินช้าๆ ไปบนทะเลทราย

พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส โอสถวิญญาณในตัวถูกยึดไปจนหมด เหาะเหินไม่ไหวจริงๆ จึงต้องค่อยๆ เดินไป ฟื้นฟูกำลังไปอย่างช้าๆ

เมื่อรู้สึกว่ารอดพ้นอันตรายแล้ว ในที่สุดทั้งสองก็มีใจใคร่ครวญถึงเรื่องที่กำลังจะต้องเผชิญ

“พวกเขาคงไม่ได้ปล้นร้านค้าของพวกเราสามสำนักจนหมดเกลี้ยงจริงๆ กระมัง?” เหยาโหย่วเลี่ยงถาม

“เมื่อคำนวณจากช่วงเวลาแล้ว มันก็มีความเป็นไปได้อยู่ เขาเองก็ดูเหมือนจะไม่มีความจำเป็นต้องมาหลอกพวกเราเรื่องนี้เลย” ชุยหย่วนถอนใจ

ต่อให้หลับฝันเขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะใจกล้าขนาดนั้น ซ้ำยังกล้ากลับไปปล้นร้านค้าของทั้งสามสำนักที่เมืองไจซิงอีก หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาไหนเลยจะกล้าเปิดเผยข้อมูลเหล่านั้น ตอนนี้ถึงไม่ผิดก็เหมือนผิดไปแล้ว ยากจะปัดความรับผิดชอบได้

เหยาโหย่วเลี่ยงเอ่ยถาม “ทำอย่างไรดี? หนิวโหย่วเต้าจะเก็บเป็นความลับจริงๆ หรือ? หากเรื่องนี้แดงขึ้นมา ทั้งเจ้าและข้าได้กลายเป็นศิษย์ทรยศสำนักเลยนะ! พวกเราแบกรับผลที่จะตามมาไม่ไหวแน่!”

ชุยหย่วนเอ่ยว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? จะหลบหนีอย่างนั้นหรือ? หากหนิวโหย่วเต้ามันคิดจะเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปจริงๆ ต่อให้พวกเราหนีไป เจ้าคิดหรือว่าทางสำนักจะปล่อยพวกเราไป? หลังจากนี้ทางสำนักจะต้องตามล่าพวกเราอย่างถึงที่สุดแน่ จะซ่อนตัวไปตลอดชีวิตได้หรือ? ได้ชื่อว่าเป็นคนทรยศสำนัก ไปอยู่ที่ใดก็ล้วนถูกผู้คนรังเกียจ!”

เหยาโหย่วเลี่ยงเอ่ยถาม “อย่างนั้นเจ้าคิดยังไง?”

ชุยหย่วนกล่าวว่า “ข้าว่านะ หากหนิวโหย่วเต้าต้องการสังหารพวกเราจริงๆ ก็ไม่เห็นต้องอ้อมค้อมขนาดนี้เลย จำเป็นด้วยหรือ?”

เหยาโหย่วเลี่ยงเอ่ยว่า “แต่การที่หนิวโหย่วเต้าปล่อยพวกเรามาเช่นนี้ ทำดีต่อพวกเราเช่นนี้ ทำไมข้าถึงได้รู้สึกแปลกๆ เจ้าจะปิดบังตามที่เขาบอกจริงๆ น่ะหรือ?”

ชุยหย่วนเอ่ยว่า “ถ้าเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วล่ะก็ เจ้าจะไม่ปิดบังก็ได้”

เสียงของเหยาโหย่วเลี่ยงพลันดังขึ้นมาหลายส่วน “เช่นนั้นพวกเราต้องมาคุยเรื่องนี้กันให้ชัดเจน ถ้าจะปิดก็ต้องปิดด้วยกัน ถ้าคนหนึ่งไม่ปิด อีกคนก็คงปิดเอาไว้ไม่อยู่เหมือนกัน!”

ทั้งสองพูดคุยหารือกันบนทะเลทรายไปตลอดทาง

……

ณ เมืองไจซิง เกาซู่ชงแห่งสำนักเซียนสถิต เลี่ยวเซินแห่งสำนักเมฆาล่อง อู่เฉียนเฮ่าแห่งสำนักคีรีพิลาส สภาพทั้งสามดูเหนื่อยล้า พวกเขาเร่งพาเหล่าศิษย์เดินทางกลับมายังเมืองไจซิง ในที่สุดก็กลับมาถึงเมืองไจซิง

คนในกลุ่มหายไปบางส่วน เพราะพวกเขาเองก็ต้องป้องกันเอาไว้เช่นกัน เผื่อหนิวโหย่วเต้าใช้กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม แต่ละสำนักจึงให้ศิษย์สองคนเร่งเดินทางต่อไปยังอำเภอซานหู เพราะถ้าเกิดหนิวโหย่วเต้าไปที่อำเภอซานหูจริงๆ จะทำอย่างไรเล่า?

เดินทางไปเดินทางกลับเป็นระยะเวลาสิบกว่าชั่วยาม ความรู้สึกที่เหมือนควายถูกจูงจมูกให้เดินไปมาเช่นนี้ไม่ค่อยดีสักเท่าไร

แต่ก็ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่พยายามเต็มที่ พวกเขาก็ยากจะรายงานต่อเบื้องบนได้

ทั้งคณะเดินทางมาถึงร้านค้าของสำนักเซียนสถิต เกาซู่ชงดึงป้ายปิดร้านที่แขวนอยู่หน้าประตูออก ผลักประตูเดินเข้าไป ผีเสื้อจันทราบินนำเข้าไปก่อน บินวนอยู่ภายในร้าน

นกใฝ่หอมที่อยู่ในกรงบนโต๊ะส่งเสียงจิ๊บๆ พลางกระโดดโลดเต้นไปมา เลี่ยวเซินและอู่เฉียนเฮ่าเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะเก็บเงินแล้วจ้องมอง

ทันทีที่ผ่านประตูเข้ามา ความสนใจของเกาซู่ชงก็ไปอยู่ที่ชั้นวางสินค้า เขากวาดตามองชั้นสินค้าที่ว่างโล่ง มองสำรวจรอบด้าน พบว่าภายในร้านค้าว่างเปล่า

คนที่เหลือก็สังเกตเห็นความผิดปกติเช่นกัน เลี่ยวเซินเอ่ยถาม “หรือว่าจะเก็บสินค้าไปซ่อนไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะว่าพวกเขาจะออกจากร้าน”

เกาซู่ชงทำการเปิดหีบพลิกโต๊ะรื้อค้นภายในร้านทันที ไม่พบสินค้าที่ซ่อนเอาไว้เลย สุดท้ายจึงเดินไปที่ชั้นวางอาวุธ คลำดูทวนยาวและดาบยาวที่วางอยู่ที่เดิม สีหน้าตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย

เลี่ยวเซินและอู่เฉียนเฮ่าสบตากัน คาดเดาความคิดของเขาออก หากนำสินค้าไปเก็บซ่อนไว้จริงๆ เหตุใดถึงไม่เก็บดาบยาวและทวนยาวไปด้วยเล่า?

พวกเขาหารู้ไม่ว่าเป็นเพราะหนิวโหย่วเต้ารู้สึกว่าอาวุธเหล่านี้มันพกพายากลำบาก ไม่สะดวก จึงไม่ได้นำไปด้วย

อู่เฉียนเฮ่าชี้ไปที่กรงนก “นกใฝ่หอมพวกนี้เป็นอะไร?”

เกาซู่ชงหันไปมอง เดินเข้าไปใกล้ ขมวดคิ้วขึ้นมา รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจเช่นกัน พวกหวงเอินผิงออกไล่ตามไปแล้ว เหยื่อหอมที่อยู่ระหว่างทางน่าจะถูกนกใฝ่หอมที่นำไปด้วยเก็บกินไปแล้วนี่นา เหตุใดนกใฝ่หอมที่อยู่ตรงหน้าพวกนี้ยังมีท่าทีเช่นนี้อีก?

เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้น นกใฝ่หอมกรงนี้ได้ถูกซื้อมาจากทางสำนักหมื่นสรรพสัตว์เมื่อไม่นานมานี้เพื่อเอามาใช้ในงานนี้เป็นการเฉพาะ

ตามที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์บอกไว้ ตอนที่ทำการฝึกสอนนกใฝ่หอมตั้งแต่ยังเล็ก เหยื่อหอมที่เป็นตัวล่อจะถูกผลิตขึ้นด้วยส่วนผสมที่แตกต่างกัน เวลาขายจะขายเป็นชุดคู่กัน นกใฝ่หอมและเหยื่อหอมแต่ละชุดที่ถูกจำหน่ายไปจะถูกเว้นช่วงเป็นเวลาหลายปีกว่าที่นกใฝ่หอมและเหยื่อที่ถูกจัดเป็นชุดเดียวกันจะถูกนำมาจำหน่ายอีกครั้ง ดังนั้นจึงไม่มีทางที่นกใฝ่หอมจะถูกล่อด้วยเหยื่อหอมที่คนอื่นซื้อไปแน่นอน

ในด้านนี้ สำนักหมื่นสรรพสัตว์น่าจะไม่ทำให้เสียชื่อร้านของตัวเองนี่นา

ไม่เข้าใจเลยจริงๆ! เกาซู่ชงหันไปเอ่ยว่า “รีบส่งจดหมายไปถามพวกเขาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“ขอรับ!” ศิษย์ที่อยู่ข้างกายรีบไปจัดการทันที

เกาซู่ชงหันไปหาเลี่ยวเซินกับอู่เฉียนเฮ่า เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไม่ว่าอย่างไร พวกเรายังคงต้องออกไปอีกรอบ”

เลี่ยวเซินกับอู่เฉียนเฮ่าพยักหน้ารับ จะไม่ทำต่อก็ไม่ได้ สามสำนักร่วมมือกันแล้ว หากยังปล่อยให้หนิวโหย่วเต้าหนีรอดไปได้ เช่นนั้นคงได้ซวยกันแน่ เกรงว่าต่อไปกระทั่งเมืองไจซิงก็คงไม่มีสิทธิ์ได้มานั่งประจำการแล้ว คาดว่าคงต้องกลับไปเป็นยามเฝ้าสำนักแทน

ยิ่งไปกว่านั้นคือมีศิษย์ของทั้งสองสำนักตามไปด้วย จะไม่สนใจก็คงไม่ได้

ทั้งสองบ่นอยู่ในใจ ลอบต่อว่าเกาซู่ชงเล็กน้อย สำนักเซียนสถิตของพวกเจ้าจัดการเรื่องนี้ไปก็ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องลากพวกเราเข้ามาด้วย? พอลากเข้ามาแล้วเป็นอย่างไรเล่า เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องของตระกูลซ่ง เจ้าย่อมต้องหมดหนทางบ่ายเบี่ยง!

พวกเขาทำการตัดสินใจ หิ้วกรงนกใฝ่หอมออกมา ทั้งกลุ่มออกจากร้านค้าของสำนักเซียนสถิต เลี่ยวเซินและอู่เฉียนเฮ่าต้องกลับไปตรวจดูร้านค้าของสำนักตนเช่นกัน

ส่วนร้านค้าของสำนักเซียนสถิต เดิมทีต้องทิ้งคนไว้คอยเฝ้า แต่ตอนนี้สินค้าส่วนใหญ่แทบจะหายไปหมดแล้ว ยังจะทิ้งคนไว้ทำซากอะไร!

ผลปรากฏว่าเมื่อทั้งกลุ่มเดินทางไปตรวจสอบร้านค้าของสำนักคีรีพิลาส สถานการณ์เป็นแบบเดียวกันทุกประการ ว่างเปล่าเช่นกัน!

จากนั้นเมื่อเดินทางไปดูร้านค้าของสำนักเมฆาล่องต่อ ก็พบว่าเผชิญสถานการณ์แบบเดียวกัน ทุกอย่างล้วนว่างเปล่า ในที่สุดเกาซู่ชงก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย

เลี่ยวเซินที่เดินวนเวียนไปมารอบร้านค้าของสำนักตนเอ่ยปลอบใจตัวเองว่า “น่าจะนำสินค้าไปเก็บซ่อนไว้แล้วกระมัง?”

เกาซู่ชงและอู่เฉียนเฮ่าพยักหน้าพร้อมกัน “เป็นไปได้!”

ตามหลักแล้ว ผู้ใดจะใจกล้าถึงขนาดเข้ามาขโมยของจากร้านค้าในเมืองไจซิงได้? ร้านค้าที่อยู่ภายในเมืองไจซิงล้วนได้รับการคุ้มครองจากเมืองไจซิง

แต่เวลานี้ทั้งสองต่างหวั่นใจขึ้นมาแล้ว เจ้าจัดวางสินค้าไว้ในร้าน แต่กลับไม่มีใครเฝ้าร้าน ไม่มีใครเขาทำการค้ากันแบบนี้ เมืองไจซิงต้องส่งคนไปช่วยเฝ้าดูแลให้ทุกร้านอย่างนั้นเหรอ? พอเจ้าบอกว่าสินค้าหาย เมืองไจซิงก็ต้องช่วยเจ้าสืบหาให้หรือ? ไม่ว่าจะเป็นทางเมืองไจซิงหรือทางสำนักก็ล้วนแต่ไม่อาจแก้ตัวได้ เพราะไม่มีใครเขาทำแบบนี้

เรื่องราวไม่อาจรั้งรอได้ ตอนนี้ทั้งสามสำนักต่างร้อนใจ คาดหวังให้เป็นศิษย์ในร้านของตนเป็นคนนำสินค้าไปเก็บซ่อนไว้จะเป็นการดีที่สุด มิเช่นนั้นหากสินค้าหายไป อีกทั้งหนิวโหย่วเต้ายังหนีไปได้ เช่นนั้นต่างหากถึงจะเป็นปัญหาจริงๆ หากว่าจับตัวหนิวโหย่วเต้าได้ แล้วสินค้าหายไปเพราะตามจับตัวหนิวโหย่วเต้า แบบนั้นมันก็ยังพอจะให้อภัยได้ มิเช่นนั้นพวกเขาได้เดือดร้อนใหญ่โตแน่!

สินค้าไม่เหลืออยู่แล้ว สองร้านนี้ก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งศิษย์ไว้เฝ้าร้านแล้วเช่นกัน ต่างรวมกลุ่มออกเดินทาง รีบออกจากเมืองไจซิงไปอย่างร้อนรน

…..

ในขณะที่กลุ่มของหนิวโหย่วเต้ากำลังควบม้าห้อตะบึงไปตามเส้นทางหลวง ปีกทองตัวหนึ่งก็บินฝ่าท้องฟ้ายามราตรีไล่ตามมา

ต้วนหู่ยื่นมือไปคว้าปีกทองที่ร่อนลงมา แกะจดหมายลับออกมาจากกระบอกตรงขาของมัน ยัดปีกทองใส่เข้าไปในกรงนกที่พกมา

เมื่อเปิดจดหมายลับอ่านดูเล็กน้อย ต้วนหู่ก็เร่งม้าขึ้นไปด้านหน้า ยื่นจดหมายลับส่งให้หนิวโหย่วเต้า “เต้าเหยี่ย จดหมายจากสำนักเซียนสถิตขอรับ”

ผีเสื้อจันทราตัวหนึ่งบินมาอยู่ตรงหน้าหนิวโหย่วเต้า หนิวโหย่วเต้าอาศัยแสงสว่างอ่านเนื้อความในจดหมายลับ พบว่าภาษาทั้งหมดที่ใช้ล้วนเป็นอักษรลับ อ่านไม่เข้าใจ จึงถามคนรอบข้างดู “มีใครอ่านออกหรือไม่?”

ต้วนหู่กล่าวว่า “นี่น่าจะเป็นอักษรลับที่ใช้กันในสำนักเซียนสถิตขอรับ น่าจะมีเพียงศิษย์ของสำนักเซียนสถิตถึงจะสามารถอ่านออกได้ พวกเราตอบกลับไปด้วยอักษรปกติได้ขอรับ!”

“ตอบกลับทำบ้าอะไร!” หนิวโหย่วเต้าฉีกจดหมายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที จากนั้นสะบัดมือโยนออกไป เศษจดหมายปลิวกระจายไปตามสายลม เขาไม่สนใจจะเขียนจดหมายตอบกลับไปหาผู้ที่ต้องการไล่ล่าสังหารเขา ที่เก็บตัวล่อสำหรับส่งข่าวสารของปีกทองเอาไว้ก็เพื่อจะตรวจสอบยืนยันสถานการณ์เท่านั้น เขาหันไปเอ่ยกับคนรอบตัวว่า “คนของทั้งสามสำนักที่เดินทางไปยังอำเภอซานหูน่าจะกลับถึงเมืองไจซิงแล้ว คาดว่าน่าจะกำลังไล่ตามมา”

เฮยหมู่ตานเอ่ยถามด้วยความตกใจ “เต้าเหยี่ย เช่นนั้นท่านยังจะโปรยเหยื่อหอมไว้นำทางอีกหรือเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “วางใจเถอะ พวกเขาตามมาไม่ทันหรอก เหยื่อหอมพวกนั้นข้าอยากจะโปรยตรงไหนก็โปรย ดูสิว่าถ้าพวกเขาพบทางแยกแล้วจะทำอย่างไร ความแตกต่างของช่วงเวลามันอยู่ตรงนี้นี่แหละ พวกเขาไม่มีทางไล่ตามทันได้ง่ายๆ หรอก ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง”

ด้านนอกเมืองไจซิง นกใฝ่หอมถูกปล่อยออกไป ทั้งกลุ่มไล่ตามไปติดๆ

ไล่ตามมาจนพ้นเขตเทือกเขา มาถึงลานม้า ทั้งกลุ่มมีกันอยู่สิบกว่าคน ต่างคนต่างนำม้าออกมาคนละสองตัว ใช้สลับสับเปลี่ยนระหว่างทาง

เร่งเดินทางฝ่าราตรี ควบม้าย่ำผ่านทะเลทราย ผีเสื้อจันทรานำอยู่ด้านหน้าคอยส่องทางให้ ไล่ตามทิศทางของนกใฝ่หอมไป ทิศทางที่กำลังมุ่งหน้าไปนี้สอดคล้องกับทิศทางที่พวกหวงเอินผิงเคยรายงานไว้

“อาจารย์อาขอรับ!”

ทันใดนั้นมีเสียงร้องเรียกแว่วมาจากด้านหลังของกลุ่มคน เกาซู่ชงยกมือขึ้นทันที ทุกคนรั้งบังเหียนหยุดม้า พากันหันกลับไปมอง

ในร่องดินที่อยู่ข้างทางทางด้านหลังมีคนกระโดดออกมาสองคน เป็นชุยหย่วนและเหยาโหย่วเลี่ยง

ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินไปตามถนน พวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าม้าแว่วมาจากทางด้านหน้า เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังควบม้ามุ่งหน้าเข้ามารางๆ เกรงว่าจะพบปัญหาเข้า จึงรีบวิ่งไปที่ร่องดินด้านข้าง กระโดดลงไปซ่อนตัว กระทั่งทั้งกลุ่มควบม้าผ่านไปได้ไม่ไกล ถึงสังเกตเห็นว่าเป็นคนสำนักเดียวกัน

ทั้งสองรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว มาหยุดตรงหน้ากลุ่มคนขี่ม้าแล้วทำความเคารพ

ผีเสื้อจันทราบินวนอยู่ด้านหน้าคนทั้งสอง เมื่อเห็นสภาพสะบักสะบอมของสองคนนั้น กระทั่งอาวุธก็ไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียว ซ้ำบนร่างยังมีคราบเลือดด้วย เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บ

เกาซู่ชงร้องถาม “เกิดอะไรขึ้น? พวกหวงเอินผิงล่ะ?”

สีหน้าชุยหย่วนพลันดูโศกศัลย์ “หนิวโหย่วเต้าคนนั้นฝีมือไม่ธรรมดา พวกเราร่วมมือกันแล้ว แต่กลับมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลยขอรับ! พวกเราสองคนถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องขอบคุณเหล่าศิษย์พี่ที่ทุ่มชีวิตปกป้อง พวกข้าถึงปลีกตัวกลับมารายงานข่าวได้ ส่วนพวกศิษย์พี่…เกรงว่า…เกรงว่าคงจะไม่รอดแล้วขอรับ!”

เหยาโหย่วเลี่ยงพยักหน้าคล้อยตาม สะอึกสะอื้นขึ้นมาพร้อมปาดน้ำตา

ทั้งสองหารือกันมาแล้ว ที่หนิวโหย่วเต้าบอกให้พวกเขากลับมาถ่ายทอดข้อความ คิดดูแล้วไม่กล้าใช้วิธีนั้น มิสู้ทำให้คนที่ตายไปแล้วดูมีเกียรติขึ้นมาหน่อย ทำให้ตนดูมีเหตุผลในการปลีกตัวออกมาหน่อย มิเช่นนั้นหากบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องตายไปกันหมด แต่พวกเขาถูกจับเป็นเชลยซ้ำยังถูกปล่อยกลับมาส่งข้อความอีก แบบนั้นมันน่าอัปยศเกินไป จะส่งผลต่ออนาคตเอาได้!

อู่เฉียนเฮ่ากระโดดลงจากม้า คว้าข้อมือเหยาโหย่วเลี่ยงไปจับชีพจรดู ตรวจสอบแล้วพบว่าบาดเจ็บสาหัสจริงๆ จึงถามเสียงเข้ม “เกิดอะไรกับสินค้าในร้าน?”

ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมา เหยาโหย่วเลี่ยงและชุยหย่วนพลันใจเต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อย เจ้าบ้าหนิวโหย่วเต้าไปปล้นร้านค้าของสามสำนักจริงๆ หรือเนี่ย!

เหยาโหย่วเลี่ยงปาดน้ำตา เอ่ยด้วยความแปลกใจ “อาจารย์อา สินค้าย่อมอยู่ในร้านขอรับ!”

อู่เฉียนเฮ่าโมโหขึ้นมาทันที กระชากคอเสื้อเขา “ในร้านว่างเปล่า ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย สินค้าอยู่ที่ไหน?”

เหยาโหย่วเลี่ยงท่าทางคล้ายตกใจกลัว เอ่ยว่า “เพื่อที่จะสกัดหนิวโหย่วเต้าได้ทันเวลา ก่อนออกเดินทางจึงไม่ทันสินค้าเก็บให้เรียบร้อย สินค้าล้วนวางอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน! ศิษย์พี่บอก อยู่ในเมืองไจซิงไม่มีผู้ใดกล้า…”

“บัดซบ!” อู่เฉียนเฮ่าถีบเขาล้มลงบนพื้น จากนั้นเข้าไปเตะอย่างแรงอีกทีหนึ่ง เตะเหยาโหย่วเลี่ยงจนกระเด็นออกไปไกลหนึ่งจั้ง โมโหจนแทบเป็นบ้า ศิษย์ในการดูแลบาดเจ็บล้มตาย ยังจับตัวคนไม่ได้ ซ้ำสินค้าก็ยังหายไปอีก เตรียมตัวกลับไปเป็นยามเฝ้าประตูสำนักแล้วกัน!

…………………………………………………………..

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า