ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 143

ตอนที่ 143 หนิวโหย่วเต้า

จิตใจของทุกคนล้วนหนักอึ้ง คาดเดาสถานการณ์ของร้านค้าทั้งสามสำนักออกพอสมควรแล้ว แต่เกาซู่ชงยังไม่ยอมถอดใจ ยังคงโอบกอดความหวังอันน้อยนิดไว้ กระโดดลงมาจากหลังม้าเช่นกัน จ้องมองชุยหย่วนอย่างดุดัน “สินค้าในร้านของพวกเราล่ะ?”

ชุยหย่วนทิ้งตัวคุกเข่าลงกับพื้น “อาจารย์อา ตอนที่พวกเราออกมาสินค้ายังอยู่นะขอรับ!”

เกาซู่ชงกำหมัดขึ้นมา แต่สุดท้ายก็คลายออก ยกมือตบหน้าผากตัวเอง เรื่องนี้น่าปวดหัวจริงๆ!

เลี่ยวเซินที่อยู่บนหลังม้ามีสีหน้าอึมครึม นั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน คาดว่าเขาเองก็คงไม่จำเป็นต้องโอบอุ้มความหวังอันใดไว้แล้วเช่นกัน สถานการณ์ภายในร้านเป็นเช่นเดียวกัน สองสำนักนั้นเผชิญเรื่องร้าย ไม่มีทางที่สำนักเมฆาล่องจะเผชิญเรื่องดีอันใดได้

ตอนนี้เขากลับเห็นเกาซู่ชงแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ อยู่ดีๆ ลากพวกเขาเข้ามาด้วยทำไม?

ถึงแม้ทั้งสามสำนักจะพึ่งพาบารมีตระกูลซ่งเช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากบุตรชายของพ่อบ้านหลิวลู่บำเพ็ญเพียรอยู่ที่สำนักเซียนสถิต ผลประโยชน์จึงถูกแบ่งไปทางสำนักเซียนสถิตมากกว่า และผู้ที่มีความแค้นกับหนิวโหย่วเต้าก็คือสำนักเซียนสถิตเช่นกัน แต่นี่พวกเขากลับต้องมาซวยไปด้วย นี่มันยุติธรรมแล้วหรือ?

เพียะๆ! เกาซู่ชงที่เดินกลับไปกลับมาตบหน้าผากตัวเองแรงๆ จากนั้นหันไปมองชุยหย่วนที่คุกเข่าอยู่อีกครั้ง “ใครมันกล้าทำเรื่องเช่นนี้ในเมืองไจซิง? ตอนที่พวกเจ้าออกไปเผลอทำข่าวหลุดออกไปหรือเปล่า? ลองคิดดูดีๆ ผู้ใดมีโอกาสขโมยสินค้าไปมากที่สุด?”

สินค้าของร้านค้าทั้งสามสำนักมิใช่เงินจำนวนน้อยๆ คำนวณดูคร่าวๆ แล้วน่าจะมีมูลค่าหลายล้านเหรียญทอง หากสามารถตามทวงกลับมาได้ย่อมต้องตามทวงกลับมา

ชุยหย่วนส่ายหน้ารัวๆ “อาจารย์อา ทางพวกเราไม่ได้ทำข่าวรั่วแน่นอนขอรับ พวกเราไม่ทราบจริงๆ ว่าเป็นผู้ใดที่ขโมยสินค้าไป”

เกาซู่ชงชี้ไปยังนกใฝ่หอมที่เกาะอยู่บนไหล่ของศิษย์คนหนึ่ง “เกิดอะไรขึ้นกับเหยื่อหอม? ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าไล่ตามเหยื่อหอมมาแล้วหรือ? เหตุใดระหว่างทางยังมีร่องรอยของเหยื่อหอมดึงดูดนกใฝ่หอมได้อีก?”

“นี่…” ชุยหย่วนตะลึงไป สบถด่าอยู่ในใจ เจ้าบ้าหนิวโหย่วเต้าเล่นบ้าอะไร ขโมยของแล้วก็แล้วไปสิ ยังจะหลงเหลือเบาะแสทิ้งไว้ทำไม? เขาตอบอย่างงกๆ เงิ่นๆ ว่า “อาจารย์อา เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไรขอรับ? พวกศิษย์ไล่ตามมาตลอดทางจนมาถึงที่นี่ต่อสู้กับหนิวโหย่วเต้าอย่างสุดกำลัง ไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองไจซิงจริงๆ ขอรับ!”

เลี่ยวเซินที่นั่งอยู่บนหลังม้าเอ่ยว่า “เช่นนี้แล้ว คนที่โปรยเหยื่อหอมทิ้งไว้ตลอดทางอาจจะเกี่ยวข้องกับคนที่ปล้นร้านค้าก็เป็นได้”

เกาซู่ชงขมวดคิ้ว เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูง จึงถามชุยหย่วนอีกครั้งว่า “มอบเหยื่อหอมให้เหลยจงคังผู้นั้นไปแล้วมิใช่หรือ? เขามิใช่ว่าติดตามหนิวโหย่วเต้าอยู่หรือ?”

ชุยหย่วนตอบว่า “ศิษย์เป็นคนมอบเหยื่อหอมให้เหลยจงคังเองกับมือ ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอนขอรับ เขาเองก็ติดตามหนิวโหย่วเต้าอยู่จริงๆ แต่ศิษย์ไม่ทราบจริงๆ ว่าที่อาจารย์อาบอกว่าระหว่างทางยังมีเหยื่อหอมอยู่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่! ศิษย์ไม่ทราบจริงๆ ขอรับ!”

เลี่ยวเซินกระโดดลงจากหลังม้า เดินมาหยุดตรงหน้าเกาซู่ชง “หรือว่าหนิวโหย่วเต้าจะย้อนกลับไปที่เมืองไจซิงอีก เหลยจงคังคนนั้นจึงทิ้งเบาะแสเอาไว้อีกครั้ง? แต่ก็แปลกๆ เช่นกัน พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าในร้านไม่มีใครอยู่? หรือว่าในเมืองไจซิงยังมีพรรคพวกของพวกเขาคอยจับตามองร้านค้าของพวกเราอยู่? แต่มันก็ไม่สมเหตุสมผลเลย หากทราบเรื่องแต่แรก แล้วจะถูกคนของพวกเราไล่ตามทันได้อย่างไร? คงมิได้คิดจะปล้นร้านค้าของทั้งสามสำนักตั้งแต่แรกกระมัง? แต่นี่ก็เป็นไปไม่ได้นี่นา แรกเริ่มร้านค้าของพวกเราสองสำนักยังไม่ได้เข้ามายุ่งเรื่องนี้เลย”

เรื่องนี้มันก็ดูไม่สมเหตุสมผลตั้งแต่เริ่มแล้ว เต็มไปด้วยความสับสน มีความเป็นไปได้หลากหลายกรณี ในบรรดาพวกเขาก็ไม่มีผู้ใดยืนยันได้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนนี้ทุกคนแทบจะหน้ามืดกันแล้ว

อู่เฉียนเฮ่าเดินกลับไปกลับมาด้วยสีหน้าตึงเครียด กล่าวว่า “ช่วงเวลาที่พวกเขาต่อสู้กันกับช่วงเวลาที่ร้านค้าถูกปล้น แล้วก็ยังมีเรื่องที่ใครเป็นคนทิ้งเหยื่อหอมเอาไว้กันแน่ หากสืบสองเรื่องนี้ให้กระจ่างได้ เรื่องราวที่เหลือก็พอจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว”

เลี่ยวเซินเอ่ยถาม “สืบให้กระจ่างหรือ? ตอนนี้สืบหาสินค้าสำคัญกว่า หรือว่าตามล่าหนิวโหย่วเต้าสำคัญกว่ากันแน่?”

เกาซู่ชงตอบ “ล้วนสำคัญทั้งสองเรื่อง ไม่แน่หนิวโหย่วเต้าอาจจะเป็นคนขโมยไปก็ได้ สองเรื่องนี้เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน อู่ซยง ท่านพาศิษย์ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ข้ากับเลี่ยวซยงจะพาคนตามเหยื่อหอมต่อไป ใช้ปีกทองคอยส่งข่าวกันไว้ ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านคิดเห็นอย่างไร?”

ทั้งสองคนพยักหน้ารับ คนกลุ่มหนึ่งกลับขึ้นหลังม้าอีกครั้ง ควบม้าทะยานออกไป

แต่ระหว่างที่เดินทางไปเรื่อยๆ ทั้งกลุ่มก็ค่อยๆ สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ขบวนม้าที่เตรียมจะแยกกันเป็นสองทางกลับไม่แยกออกจากกันเสียที ทิศทางที่นกใฝ่หอมมุ่งหน้าไปก็เป็นทิศทางเดียวกับที่เหยาโหย่วเลี่ยงและชุยหย่วนชี้ทางให้ ทั้งเส้นทางระดับความสูงล้วนแต่เหมือนกัน

วิ่งออกจากทะเลทราย เข้าสู่ทุ่งหญ้า มาถึงด้านล่างเนินเขา นกใฝ่หอมที่กำลังจะบินไปอีกทางหนึ่งถูกเรียกกลับมาชั่วคราว

ทั้งกลุ่มตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ พบร่องรอยการต่อสู้จริงๆ ในฐานะที่เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน มองเพียงแวบเดียวก็ทราบแล้วว่าร่องรอยบางส่วนนั้นใช่วิชาของศิษย์สำนักตนหรือไม่

เหยาโหย่วเลี่ยงและชุยหย่วนไม่สามารถยืนยันได้ว่าคนอื่นๆ เป็นหรือตาย อีกทั้งไม่พบศพในสถานที่เกิดเหตุ ต่อให้มีศพอยู่ ในสถานที่แบบนี้เกรงว่าคงถูกสัตว์ป่าและนกแร้งคาบเอาไปแบ่งกันแล้ว

เหยาโหย่วเลี่ยงและชุยหย่วนต่างทราบแก่ใจดีว่าตนเองก็ถูกมองเป็นผู้ต้องสงสัยแล้วเช่นกัน มิเช่นนั้นคงไม่ถึงขั้นมาตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุเพื่อยืนยันคำพูดของพวกเขา

หลังจากแน่ใจแล้วว่าศิษย์ของสำนักตนเคยเกิดเหตุปะทะต่อสู้ที่นี่จริงๆ เลี่ยวเซินก็เอ่ยถามทั้งสองว่า “การต่อสู้เกิดขึ้นเมื่อไร?”

ทั้งสองครุ่นคิดเล็กน้อย ทยอยให้คำตอบ “นับจากตอนนี้ก็ผ่านไปประมาณห้าชั่วยามแล้วขอรับ”

เกาซู่ชง เลี่ยวเซินและอู่เฉียนเฮ่าสบตากัน ระยะเวลาเท่านี้เพียงพอให้หนิวโหย่วเต้าไปกลับเมืองไจซิงได้โดยไม่มีปัญหาเลย

เกาซู่ชงถามเสียงเข้ม “ระยะเวลาห้าชั่วยาม เหตุใดพวกเจ้าถึงเพิ่งจะเดินไปได้แค่นั้น? ว่ากันตามหลักแล้ว สมควรจะถึงเมืองไจซิงนานแล้วหรือเปล่า?”

ชุยหย่วนลนลานตอบไปว่า “ก่อนหน้านี้พวกศิษย์ต้องหนีเอาชีวิตรอด ไหนเลยจะกล้าย้อนกลับทางเดิม จึงวนอ้อมไปทางอื่นรอบหนึ่ง ถึงได้เสียเวลาเช่นนี้” เขาชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง ทำมือวนเป็นวงกลม

เกาซู่ชงถาม “หนิวโหย่วเต้ามีเวลาพอให้ก่อเหตุ หากเป็นฝีมือเขา แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าในร้านไม่มีคน? ต่อสู้อยู่ที่นี่แล้วยังย้อนกลับไปขโมยของที่เมืองไจซิงอีก บังอาจเหลือเกิน หากไม่รู้ข้อมูลอะไรเลยก็แปลกแล้ว พวกเจ้าเปิดเผยข้อมูลใช่หรือไม่?”

ชุยหย่วนเริ่มร้องไห้คร่ำครวญ “อาจารย์อาสงสัยว่าศิษย์หักหลังสำนักเปิดเผยข้อมูลหรือขอรับ? หากว่าศิษย์เปิดเผยข้อมูลจริงๆ ศิษย์คงถูกหนิวโหย่วเต้าสังหารทิ้งไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าจะปล่อยพวกเรารอดมาได้อย่างไรล่ะขอรับ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า