ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 143

ตอนที่ 143 หนิวโหย่วเต้า

จิตใจของทุกคนล้วนหนักอึ้ง คาดเดาสถานการณ์ของร้านค้าทั้งสามสำนักออกพอสมควรแล้ว แต่เกาซู่ชงยังไม่ยอมถอดใจ ยังคงโอบกอดความหวังอันน้อยนิดไว้ กระโดดลงมาจากหลังม้าเช่นกัน จ้องมองชุยหย่วนอย่างดุดัน “สินค้าในร้านของพวกเราล่ะ?”

ชุยหย่วนทิ้งตัวคุกเข่าลงกับพื้น “อาจารย์อา ตอนที่พวกเราออกมาสินค้ายังอยู่นะขอรับ!”

เกาซู่ชงกำหมัดขึ้นมา แต่สุดท้ายก็คลายออก ยกมือตบหน้าผากตัวเอง เรื่องนี้น่าปวดหัวจริงๆ!

เลี่ยวเซินที่อยู่บนหลังม้ามีสีหน้าอึมครึม นั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน คาดว่าเขาเองก็คงไม่จำเป็นต้องโอบอุ้มความหวังอันใดไว้แล้วเช่นกัน สถานการณ์ภายในร้านเป็นเช่นเดียวกัน สองสำนักนั้นเผชิญเรื่องร้าย ไม่มีทางที่สำนักเมฆาล่องจะเผชิญเรื่องดีอันใดได้

ตอนนี้เขากลับเห็นเกาซู่ชงแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ อยู่ดีๆ ลากพวกเขาเข้ามาด้วยทำไม?

ถึงแม้ทั้งสามสำนักจะพึ่งพาบารมีตระกูลซ่งเช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากบุตรชายของพ่อบ้านหลิวลู่บำเพ็ญเพียรอยู่ที่สำนักเซียนสถิต ผลประโยชน์จึงถูกแบ่งไปทางสำนักเซียนสถิตมากกว่า และผู้ที่มีความแค้นกับหนิวโหย่วเต้าก็คือสำนักเซียนสถิตเช่นกัน แต่นี่พวกเขากลับต้องมาซวยไปด้วย นี่มันยุติธรรมแล้วหรือ?

เพียะๆ! เกาซู่ชงที่เดินกลับไปกลับมาตบหน้าผากตัวเองแรงๆ จากนั้นหันไปมองชุยหย่วนที่คุกเข่าอยู่อีกครั้ง “ใครมันกล้าทำเรื่องเช่นนี้ในเมืองไจซิง? ตอนที่พวกเจ้าออกไปเผลอทำข่าวหลุดออกไปหรือเปล่า? ลองคิดดูดีๆ ผู้ใดมีโอกาสขโมยสินค้าไปมากที่สุด?”

สินค้าของร้านค้าทั้งสามสำนักมิใช่เงินจำนวนน้อยๆ คำนวณดูคร่าวๆ แล้วน่าจะมีมูลค่าหลายล้านเหรียญทอง หากสามารถตามทวงกลับมาได้ย่อมต้องตามทวงกลับมา

ชุยหย่วนส่ายหน้ารัวๆ “อาจารย์อา ทางพวกเราไม่ได้ทำข่าวรั่วแน่นอนขอรับ พวกเราไม่ทราบจริงๆ ว่าเป็นผู้ใดที่ขโมยสินค้าไป”

เกาซู่ชงชี้ไปยังนกใฝ่หอมที่เกาะอยู่บนไหล่ของศิษย์คนหนึ่ง “เกิดอะไรขึ้นกับเหยื่อหอม? ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าไล่ตามเหยื่อหอมมาแล้วหรือ? เหตุใดระหว่างทางยังมีร่องรอยของเหยื่อหอมดึงดูดนกใฝ่หอมได้อีก?”

“นี่…” ชุยหย่วนตะลึงไป สบถด่าอยู่ในใจ เจ้าบ้าหนิวโหย่วเต้าเล่นบ้าอะไร ขโมยของแล้วก็แล้วไปสิ ยังจะหลงเหลือเบาะแสทิ้งไว้ทำไม? เขาตอบอย่างงกๆ เงิ่นๆ ว่า “อาจารย์อา เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไรขอรับ? พวกศิษย์ไล่ตามมาตลอดทางจนมาถึงที่นี่ต่อสู้กับหนิวโหย่วเต้าอย่างสุดกำลัง ไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองไจซิงจริงๆ ขอรับ!”

เลี่ยวเซินที่นั่งอยู่บนหลังม้าเอ่ยว่า “เช่นนี้แล้ว คนที่โปรยเหยื่อหอมทิ้งไว้ตลอดทางอาจจะเกี่ยวข้องกับคนที่ปล้นร้านค้าก็เป็นได้”

เกาซู่ชงขมวดคิ้ว เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูง จึงถามชุยหย่วนอีกครั้งว่า “มอบเหยื่อหอมให้เหลยจงคังผู้นั้นไปแล้วมิใช่หรือ? เขามิใช่ว่าติดตามหนิวโหย่วเต้าอยู่หรือ?”

ชุยหย่วนตอบว่า “ศิษย์เป็นคนมอบเหยื่อหอมให้เหลยจงคังเองกับมือ ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอนขอรับ เขาเองก็ติดตามหนิวโหย่วเต้าอยู่จริงๆ แต่ศิษย์ไม่ทราบจริงๆ ว่าที่อาจารย์อาบอกว่าระหว่างทางยังมีเหยื่อหอมอยู่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่! ศิษย์ไม่ทราบจริงๆ ขอรับ!”

เลี่ยวเซินกระโดดลงจากหลังม้า เดินมาหยุดตรงหน้าเกาซู่ชง “หรือว่าหนิวโหย่วเต้าจะย้อนกลับไปที่เมืองไจซิงอีก เหลยจงคังคนนั้นจึงทิ้งเบาะแสเอาไว้อีกครั้ง? แต่ก็แปลกๆ เช่นกัน พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าในร้านไม่มีใครอยู่? หรือว่าในเมืองไจซิงยังมีพรรคพวกของพวกเขาคอยจับตามองร้านค้าของพวกเราอยู่? แต่มันก็ไม่สมเหตุสมผลเลย หากทราบเรื่องแต่แรก แล้วจะถูกคนของพวกเราไล่ตามทันได้อย่างไร? คงมิได้คิดจะปล้นร้านค้าของทั้งสามสำนักตั้งแต่แรกกระมัง? แต่นี่ก็เป็นไปไม่ได้นี่นา แรกเริ่มร้านค้าของพวกเราสองสำนักยังไม่ได้เข้ามายุ่งเรื่องนี้เลย”

เรื่องนี้มันก็ดูไม่สมเหตุสมผลตั้งแต่เริ่มแล้ว เต็มไปด้วยความสับสน มีความเป็นไปได้หลากหลายกรณี ในบรรดาพวกเขาก็ไม่มีผู้ใดยืนยันได้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนนี้ทุกคนแทบจะหน้ามืดกันแล้ว

อู่เฉียนเฮ่าเดินกลับไปกลับมาด้วยสีหน้าตึงเครียด กล่าวว่า “ช่วงเวลาที่พวกเขาต่อสู้กันกับช่วงเวลาที่ร้านค้าถูกปล้น แล้วก็ยังมีเรื่องที่ใครเป็นคนทิ้งเหยื่อหอมเอาไว้กันแน่ หากสืบสองเรื่องนี้ให้กระจ่างได้ เรื่องราวที่เหลือก็พอจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว”

เลี่ยวเซินเอ่ยถาม “สืบให้กระจ่างหรือ? ตอนนี้สืบหาสินค้าสำคัญกว่า หรือว่าตามล่าหนิวโหย่วเต้าสำคัญกว่ากันแน่?”

เกาซู่ชงตอบ “ล้วนสำคัญทั้งสองเรื่อง ไม่แน่หนิวโหย่วเต้าอาจจะเป็นคนขโมยไปก็ได้ สองเรื่องนี้เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน อู่ซยง ท่านพาศิษย์ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ข้ากับเลี่ยวซยงจะพาคนตามเหยื่อหอมต่อไป ใช้ปีกทองคอยส่งข่าวกันไว้ ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านคิดเห็นอย่างไร?”

ทั้งสองคนพยักหน้ารับ คนกลุ่มหนึ่งกลับขึ้นหลังม้าอีกครั้ง ควบม้าทะยานออกไป

แต่ระหว่างที่เดินทางไปเรื่อยๆ ทั้งกลุ่มก็ค่อยๆ สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ขบวนม้าที่เตรียมจะแยกกันเป็นสองทางกลับไม่แยกออกจากกันเสียที ทิศทางที่นกใฝ่หอมมุ่งหน้าไปก็เป็นทิศทางเดียวกับที่เหยาโหย่วเลี่ยงและชุยหย่วนชี้ทางให้ ทั้งเส้นทางระดับความสูงล้วนแต่เหมือนกัน

วิ่งออกจากทะเลทราย เข้าสู่ทุ่งหญ้า มาถึงด้านล่างเนินเขา นกใฝ่หอมที่กำลังจะบินไปอีกทางหนึ่งถูกเรียกกลับมาชั่วคราว

ทั้งกลุ่มตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ พบร่องรอยการต่อสู้จริงๆ ในฐานะที่เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน มองเพียงแวบเดียวก็ทราบแล้วว่าร่องรอยบางส่วนนั้นใช่วิชาของศิษย์สำนักตนหรือไม่

เหยาโหย่วเลี่ยงและชุยหย่วนไม่สามารถยืนยันได้ว่าคนอื่นๆ เป็นหรือตาย อีกทั้งไม่พบศพในสถานที่เกิดเหตุ ต่อให้มีศพอยู่ ในสถานที่แบบนี้เกรงว่าคงถูกสัตว์ป่าและนกแร้งคาบเอาไปแบ่งกันแล้ว

เหยาโหย่วเลี่ยงและชุยหย่วนต่างทราบแก่ใจดีว่าตนเองก็ถูกมองเป็นผู้ต้องสงสัยแล้วเช่นกัน มิเช่นนั้นคงไม่ถึงขั้นมาตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุเพื่อยืนยันคำพูดของพวกเขา

หลังจากแน่ใจแล้วว่าศิษย์ของสำนักตนเคยเกิดเหตุปะทะต่อสู้ที่นี่จริงๆ เลี่ยวเซินก็เอ่ยถามทั้งสองว่า “การต่อสู้เกิดขึ้นเมื่อไร?”

ทั้งสองครุ่นคิดเล็กน้อย ทยอยให้คำตอบ “นับจากตอนนี้ก็ผ่านไปประมาณห้าชั่วยามแล้วขอรับ”

เกาซู่ชง เลี่ยวเซินและอู่เฉียนเฮ่าสบตากัน ระยะเวลาเท่านี้เพียงพอให้หนิวโหย่วเต้าไปกลับเมืองไจซิงได้โดยไม่มีปัญหาเลย

เกาซู่ชงถามเสียงเข้ม “ระยะเวลาห้าชั่วยาม เหตุใดพวกเจ้าถึงเพิ่งจะเดินไปได้แค่นั้น? ว่ากันตามหลักแล้ว สมควรจะถึงเมืองไจซิงนานแล้วหรือเปล่า?”

ชุยหย่วนลนลานตอบไปว่า “ก่อนหน้านี้พวกศิษย์ต้องหนีเอาชีวิตรอด ไหนเลยจะกล้าย้อนกลับทางเดิม จึงวนอ้อมไปทางอื่นรอบหนึ่ง ถึงได้เสียเวลาเช่นนี้” เขาชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง ทำมือวนเป็นวงกลม

เกาซู่ชงถาม “หนิวโหย่วเต้ามีเวลาพอให้ก่อเหตุ หากเป็นฝีมือเขา แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าในร้านไม่มีคน? ต่อสู้อยู่ที่นี่แล้วยังย้อนกลับไปขโมยของที่เมืองไจซิงอีก บังอาจเหลือเกิน หากไม่รู้ข้อมูลอะไรเลยก็แปลกแล้ว พวกเจ้าเปิดเผยข้อมูลใช่หรือไม่?”

ชุยหย่วนเริ่มร้องไห้คร่ำครวญ “อาจารย์อาสงสัยว่าศิษย์หักหลังสำนักเปิดเผยข้อมูลหรือขอรับ? หากว่าศิษย์เปิดเผยข้อมูลจริงๆ ศิษย์คงถูกหนิวโหย่วเต้าสังหารทิ้งไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าจะปล่อยพวกเรารอดมาได้อย่างไรล่ะขอรับ?”

เหยาโหย่วเลี่ยงเองก็พยักหน้าให้กับทางอู่เฉียนเฮ่าที่มองมาด้วยสายตาคลางแคลง “ใช่แล้วขอรับ อาจารย์อา พวกเราโชคดีหนีรอดมาได้ ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลอะไรจริงๆ นะขอรับ”

หลังจากกล่าวประโยคนี้ออกมา ทั้งสองต่างคร่ำครวญอยู่ในใจ หากความจริงไม่ถูกเปิดเผยก็ดีไป แต่ถ้าหากถูกเปิดเผยขึ้นมา ทั้งสองคนตายแน่นอน!

แต่คำพูดเมื่อเอ่ยออกมา มันกลับสลายความสงสัยของทุกคนได้ คิดๆ ไปก็พบว่าจริงดั่งว่า คนที่คิดจะสังหารตนตกอยู่ในกำมือของตนทั้งที ไหนเลยจะปล่อยไปได้ง่ายๆ คนบ้าที่แม้แต่ราชทูตแคว้นเยี่ยนยังกล้าสังหาร ไม่มีทางกริ่งเกรงเรื่องนี้เด็ดขาด!

จากนั้นสายตาของทุกคนที่มองไปทางทั้งสองคนต่างอ่อนโยนลงไม่น้อย ออกมาต่อสู้เพื่อสำนัก ทั้งยังเกือบเอาชีวิตมาทิ้ง ผลสุดท้ายยังถูกพวกเดียวกันสงสัยอีก ภายในใจจะรู้สึกเช่นไร เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว

อู่เฉียนเฮ่าตบบ่าเหยาโหย่วเลี่ยง เอ่ยว่า “โหย่วเลี่ยง อย่าเก็บไปใส่ใจเลย เรื่องนี้เจ้าเองก็รู้ว่ามันกลายเป็นเรื่องใหญ่แล้ว! ข้าย่อมต้องสืบถามให้ชัดเจน”

เหยาโหย่วเลี่ยงพยักหน้า เอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ศิษย์ทราบขอรับ แล้วเข้าใจขอรับ”

เกาซู่ชง เลี่ยวเซินและอู่เฉียนเฮ่าเดินไปคุยกันด้านข้าง เรื่องนี้พอสืบดูแล้ว สถานที่เกิดเหตุคือที่นี่ เหยื่อหอมก็นำทางมาถึงที่นี่ ทุกอย่างสอดคล้องกันหมด ไหนเลยจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ได้ ประกอบกับหนิวโหย่วเต้ามีเวลามากพอจะก่อเหตุ จะไม่ให้มั่นใจว่าเป็นฝีมือของหนิวโหย่วเต้าคงเป็นไปได้ยาก

เมื่อเป็นเช่นนั้นปัญหาก็มาแล้ว เพราะถ้ามิใช่ชุยหย่วนและเหยาโหย่วเลี่ยงเผยข้อมูล อย่างนั้นก็ต้องเป็นศิษย์คนอื่นที่เผยข้อมูล หลังจากชุยหย่วนและเหยาโหย่วเลี่ยงหนีรอดมาได้ ในบรรดาศิษย์คนอื่นนั้นมีโอกาสที่จะตกอยู่ในกำมือของหนิวโหย่วเต้า จากนั้นก็พูดเรื่องบางอย่างที่ไม่สมควรพูดออกไป

สุดท้ายแล้วเป็นศิษย์ของสำนักใดกันแน่ที่เป็นคนเผยความลับออกไป? ตอนนี้สามสำนักร่วมมือกันอยู่ ไม่ใช่เวลามานั่งผลักความรับผิดชอบ เพราะจะแตกสามัคคีได้ง่าย และตอนนี้ก็ไม่สามารถผลักความรับผิดชอบได้ด้วย ทั้งคนเป็นก็ไม่อยู่ ศพคนตายก็ไม่เห็น ไม่มีใครรู้ว่าเป็นผู้ใดที่คายความลับออกไป

ทั้งสามสบตากัน ละวางเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว

“เจ้านี่มันบ้าคลั่งจริงๆ!” เลี่ยวเซินกัดฟันด่า อย่างน้อยอีกสองสำนักก็มีผู้รอดชีวิต “ข้าว่าอย่าเรียกเจ้านี่ว่าหนิวโหย่วเต้าเลย เรียกหนิวโหย่วเต้าดีกว่า เต้าที่หมายถึงหัวขโมย! ”

เกาซู่ชงเอ่ยเสียงขรึม “มีความเป็นไปได้สูงว่าตัวตนของเหลยจงคังผู้นั้นจะยังไม่ถูกเปิดเผย ยังคงทิ้งเบาะแสไว้ให้ตามทาง จะโอ้เอ้ต่อไปไม่ได้แล้ว ตามต่อเถอะ!”

อู่เฉียนเฮ่ากล่าวว่า “แต่ก็เป็นไปได้ว่าจะจงใจวางกับดักไว้ล่อพวกเรา!”

เกาซู่ชงผายมือออก “อู่ซยง เช่นนั้นท่านจะทำอย่างไร? หรือพวกเราจะช่างมันไปเสีย หยุดแต่เพียงเท่านี้?”

อู่เฉียนเฮ่ากลอกตาทีหนึ่ง พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า? เขาน่ะอยากหยุด แต่มันหยุดได้ที่ไหนเล่า? สามสำนักร่วมมือกันแล้วยังจับคนแค่คนเดียวไว้ไม่ได้ ซ้ำยังสูญเสียศิษย์ไปอีก แม้แต่ฐานที่มั่นก็ยังถูกอีกฝ่ายบุกเข้ามาปล้นได้ จะให้หยุดแค่นี้หรือ? หรือผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองจะต้องถูกลดขั้นไปเป็นยามเฝ้าสำนักจริงๆ?

เลี่ยวเซินเอ่ยด้วยสีหน้าขมขื่น “ตอนนี้ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ พวกเราก็ต้องกระโจนเข้าไปอยู่ดี! ไล่ตามต่อเถอะ ขอเพียงจับตัวหนิวโหย่วเต้ามาได้ เราก็ยังมีโอกาสตามทวงสินค้าที่หายไปของพวกเรากลับคืนมาได้ อย่างน้อยก็สามารถทำคุณไถ่โทษได้ หากจับไม่ได้ ทุกคนก็ภาวนาให้ตัวเองโชคดีแล้วกัน!”

หากทั้งสามคนรู้ว่าสินค้าของร้านค้าทั้งสามสำนักถูกหนิวโหย่วเต้าขายลดราคาไปแล้ว คาดว่าพวกเขาคงโมโหจนกระอักเลือดเป็นแน่ การจะไปขอซื้อสินค้าที่หายไปจากร้านค้าของสำนักวิญญาณ์ตลอดจนร้านค้าอื่นๆ คืนในราคาเดียวกับที่รับซื้อไปคงเป็นไปไม่ได้ ถึงสามสำนักผนึกกำลังกันก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่าสำนักวิญญาณ์เลย!

“ม้าพวกนี้ต้องเอาไว้ผลัดเปลี่ยน พวกเจ้าทั้งสองค่อยๆ เดินกลับไปแล้วกัน!”

เหยาโหย่วเลี่ยงและชุยหย่วนบาดเจ็บสาหัส พาไปด้วยก็ไม่มีประโยชน์ จึงถูกทิ้งไว้ที่เดิม

หลังทั้งสองเห็นกลุ่มคนควบม้าจากไปไกลแล้ว ถึงได้หันมาสบตากัน “เฮ้อ!” ต่างถอนใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดก็หลอกพวกอาจารย์อาสำเร็จ

เพียงแต่เมื่อมองไปรอบๆ อีกครั้ง ทั้งสองต่างพูดไม่ออก เดินอยู่ตั้งนาน สุดท้ายกลับมาที่เดิมอีกแล้ว ที่เดินไปก่อนหน้านี้เท่ากับเสียเปล่า ต้องเดินย้อนกลับไปอีกรอบ

แสงดาวส่องสกาว ทั้งสองเดินเคียงข้างกันต่อไปภายใต้แสงจันทร์

…..

ฟ้าสว่างแล้ว พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า

ณ จุดพักม้าที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่ง พวกหนิวโหย่วเต้าที่ตรากตรำเดินทางมาเป็นเวลานานควบม้าเข้าสู่จุดพักม้า ต่างทยอยกระโดดลงจากม้า ม้าทั้งสิบสองตัวล้วนหอบหายใจถี่

ทั้งกลุ่มสั่งอาหารและเครื่องดื่มร้อนๆ จากจุดพักม้ามากิน ปกติจุดพักม้าส่วนใหญ่มักจะทำธุรกิจให้บริการแขกในด้านนี้ด้วยเช่นกัน

ขณะที่คนในกลุ่มดื่มกินกันอยู่ เฮยหมู่ตานได้ไปหาหัวหน้าจุดพักม้าเพื่อขอแลกเปลี่ยนม้าตามคำสั่งของหนิวโหย่วเต้า

ถึงแม้จะมีการผลัดเปลี่ยนม้ามาตลอดทาง แต่สุดท้ายแล้วเรี่ยวแรงของม้าก็มีจำกัด วิ่งห้อมาตลอดทั้งคืน สุดท้ายก็ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ แต่พวกเขายังไม่อยากหยุดพัก จึงได้แต่ต้องทำการเปลี่ยนม้า

อันที่จริงระหว่างทางก็มีจุดพักม้าเล็กๆ ตั้งอยู่ประปรายเช่นกัน แต่จุดพักม้าเล็กๆ ไม่มีทางเลี้ยงม้าเอาไว้มากขนาดนี้ หากเป็นจุดพักม้าขนาดใหญ่เช่นนี้ย่อมไม่มีปัญหา ในคอกม้าเต็มไปด้วยม้าที่กินอิ่มเต็มที่กระปรี้กระเปร่าคึกคัก

แต่ม้าของจุดพักม้าไหนเลยจะแลกเปลี่ยนกับคนนอกได้ ม้าพวกนี้ล้วนเป็นทรัพย์สินของทางการ ต่อให้เจ้าอยากซื้อ อีกฝ่ายก็ไม่มีทางยอมขาย ทว่าพอเฮยหมู่ตานยื่นตั๋วแลกทองหนึ่งร้อยเหรียญทองใบหนึ่งไปตรงหน้าหัวหน้าจุดพักม้า อะไรอะไรก็จัดการได้อย่างง่ายดาย แค่แลกเปลี่ยนกันเล็กน้อยเท่านั้นเอง ม้าของจุดพักม้าไม่ได้ลดน้อยลงเลยสักตัว อีกอย่างดูๆ ไปแล้วม้าของอีกฝ่ายก็ล้วนเป็นม้าพันธุ์ดีทั้งสิ้น เพียงแค่เหนื่อยล้าเท่านั้น เลี้ยงดูสักพักก็ฟื้นกำลังกลับมาแล้ว

“นี่คือผู้ส่งสารลับของราชสำนัก มีธุระของทางการต้องไปจัดการ เจ้าไปช่วยผลัดเปลี่ยนม้าให้พวกเขาที!” หัวหน้าจุดพักม้าเรียกคนเลี้ยงม้าคนหนึ่งเข้ามา จากนั้นหาข้ออ้างให้คนเลี้ยงม้าพาเฮยหมู่ตานไปเปลี่ยนม้า

ทั้งคณะรั้งอยู่ไม่นาน เปลี่ยนม้าเสร็จเรียบร้อยก็ออกจากจุดพักม้าอีกครั้ง ควบม้าทะยานออกไป

คนเลี้ยงม้าคนหนึ่งที่ถือไม้กวาดกวาดพื้นอยู่ด้านนอกรั้วก้มหน้าลง กระทั่งพวกหนิวโหย่วเต้าผ่านไปแล้ว เขาถึงได้หันกลับไปมองดูอีกครั้ง จากนั้นถือไม้กวาดรีบวิ่งกลับไปที่โรงเตี๊ยม

………………………………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า