ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 144

ตอนที่ 144 เขาข้ามเมฆา

เขาวางไม้กวาดไว้หน้าประตู รีบวิ่งขึ้นไปชั้นบน เข้าไปในห้องของตน

เขาปิดประตู เดินไปที่ข้างเตียง ดึงเอาฟูกออก หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่พับไว้ออกมา คลี่กางอย่างรวดเร็ว เป็นภาพเหมือนของหนิวโหย่วเต้า เหมือนภาพที่พวกชุยหย่วนเคยเห็นในร้านค้าที่เมืองไจซิงทุกประการ เพราะเดิมทีมันก็เป็นภาพที่ออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกันอยู่แล้ว

ส่วนคนเลี้ยงม้าผู้นี้ก็คือหนึ่งในสมาชิกหน่วยข่าวกรองของแคว้นเยี่ยน เขาได้รับบัญชาจากเบื้องบนให้มาสอดแนมอยู่ที่นี่ชั่วคราว กำลังเฝ้ารอให้เป้าหมายปรากฏตัว คิดไม่ถึงว่าจะได้พบจริงๆ

หนิวโหย่วเต้าไม่เคยคาดคิดถึงสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน หนิวโหย่วเต้าทราบเพียงแต่ว่าพวกชุยหย่วนมีภาพเหมือนของเขาอยู่ในมือ แต่ไม่ทราบเลยว่าซ่งจิ่วหมิงสามารถสอดมือไปทั่วแคว้นจ้าวได้ แล้วก็ไม่ทราบว่าซ่งจิ่วหมิงสามารถวางกำลังคนไว้ทั่วแผ่นดินได้ เพราะถ้าหากทราบล่ะก็ เขาไหนเลยจะกล้าเปิดเผยใบหน้าอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ได้ อย่าว่าแต่ชุยหย่วนเลย กระทั่งสำนักเซียนสถิตทั้งสำนักก็ไม่ทราบว่าซ่งจิ่วหมิงมีการใช้งานหน่วยข่าวกรองเช่นนี้เหมือนกัน พวกเขาทราบเพียงแต่ว่ามีการใช้งานสำนักบำเพ็ญเพียรจำนวนหนึ่งเท่านั้น

ซึ่งในความเป็นจริงซ่งจิ่วหมิงก็ไม่สามารถบอกพวกเขาได้เช่นกัน ไหนเลยจะเที่ยวพูดไปทั่วว่าตนเองใช้งานเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองที่แคว้นเยี่ยนส่งไปแฝงตัวอยู่ในแคว้นอื่นได้ จำเป็นต้องเก็บเป็นความลับเอาไว้อย่างมิดชิด

ส่วนสาเหตุที่ซ่งจิ่วหมิงกล้าใช้เครือข่ายหน่วยข่าวกรองนี้ เป็นเพราะเขาทราบดีว่าซ่งหลงมิได้เป็นเพียงบุตรชายของเขาเท่านั้น หากแต่ยังเป็นราชทูตแห่งแคว้นเยี่ยนด้วย เมื่อสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยน แคว้นเยี่ยนย่อมไม่มีทางทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ หน่วยข่าวกรองย่อมให้ความร่วมมือในการดำเนินงาน

หลังจากยืนยันว่าตรงกับภาพเหมือนแล้ว เขาก็พับภาพเหมือนสอดกลับเข้าไปใต้ฟูกนอนอีกครั้ง ก่อนจะรีบไปเขียนจดหมายลับที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว

จากนั้นเขาปีนขึ้นไปบนโต๊ะ ดันฝ้าเพดานแผ่นหนึ่งให้เปิดออก นำเอากรงนกกรงหนึ่งลงมาจากใต้หลังคา จับปีกทองที่อยู่ในกรงออกมา

เขาบรรจุจดหมายลับใส่กลัก เปิดหน้าต่างออก สังเกตดูความเคลื่อนไหวด้านนอก รอจนถึงช่วงที่ด้านนอกไร้ผู้คน เขาถึงจะโยนปีกทองในมือออกไป สายตามองตามปีกทองที่กระพือปีกโผบินออกไปไกล

….

มหานครชื่อโจว หอร้อยบุปผา ลำนำขับขานนางรำเริงระบำ

เฉวียนเซ่าคังคหบดีประจำเมืองให้การรับรองแขกเหรื่อและสหาย สุราอาหารชั้นเลิศตั้งอยู่ตรงหน้า มีโฉมงามในอ้อมกอด โอบซ้ายประคองขวา ชนจอกกับสหายอย่างสำเริงสำราญ

ขณะที่กำลังโอบสาวงามร่ำสุราอยู่ พ่อบ้านเฉวียนเฉียวเข้ามาในห้องรับรอง เดินมาหยุดตรงด้านข้างเฉวียนเซ่าคัง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่านขอรับ คนจากทางเมืองหลวงมาแล้วขอรับ” พร้อมทาบมือลงที่ตำแหน่งหัวใจ

เฉวียนเซ่าคังปรายตามอง ผลักโฉมงามในอ้อมแขนออก ลุกขึ้นยืนแล้วประสานมือเอ่ยขออภัยแขกเหรื่อมิตรสหายที่นั่งอยู่ “ขออภัย ขออภัย มีแขกมาที่บ้าน คงต้องขอตัวก่อน”

ชายชราอ้วนท้วมผู้หนึ่งที่นั่งอยู่หัวเราะฮ่าๆ แล้วกล่าวว่า “หากข้าฟังไม่ผิดล่ะก็ เป็นแขกจากเมืองหลวงใช่หรือเปล่า มิสู้เรียกมาทำความรู้จักกับทุกคนหน่อยล่ะ?”

“ใช่! เข้าท่าเลย!” คนอื่นๆ เอ่ยสนับสนุนทันที

“ไม่สะดวก ไม่สะดวก!” เฉวียนเซ่าคังยิ้มพลางส่ายศีรษะปฏิเสธ จากนั้นโบกมือกล่าวอย่างใจถึงว่า “ทุกท่านกินดื่มและเล่นสนุกให้เต็มที่ได้เลย ทั้งหมดลงบัญชีข้า!” ก่อนจะประสานมือกล่าวอำลาท่ามกลางเสียงโห่ร้อง

เขาออกจากหอร้อยบุปผาพร้อมพ่อบ้าน มุดเข้าไปในรถม้าที่จอดรออยู่หน้าประตู

พ่อบ้านร้องบอกคำหนึ่ง รถม้าเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว เฉวียนเซ่าคังที่นั่งอยู่ในรถม้าสลัดคราบเศรษฐีขี้เมาฟุ้งเฟ้อทิ้งไปทันที แววตาลุ่มลึก

พวกเขารีบกลับมาบ้านตระกูลเฉวียนอย่างรวดเร็ว สองนายบ่าวตรงไปที่ห้องหนังสือภายในเรือน

พ่อบ้านเฉวียนเฉียวหยิบจดหมายลับฉบับหนึ่งที่สอดไว้ในหน้าหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนชั้นหนังสือออกมา ยื่นส่งให้เฉวียนเซ่าคังที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ

เฉวียนเซ่าคังคลี่จดหมายออก หลังจากอ่านเสร็จก็ส่งคืนให้เฉวียนเฉียว จากนั้นเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าแผนที่มณฑลชื่อโจวที่แขวนไว้บนผนังพลางมองสำรวจ

เฉวียนเฉียวจุดไฟเผาจดหมายลับจนมอดไหม้

เฉวียนเซ่าคังลากนิ้วไปตามเส้นทางบนแผนที่ เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อดูจากทิศทางนี้ น่าจะมุ่งหน้าไปทางแถบภูเขาข้ามเมฆา จากช่วงเวลาที่จุดพักม้าส่งข่าวมา เป้าหมายน่าจะไปถึงเขาข้ามเมฆาช่วงบ่ายวันนี้ แถบเขาข้ามเมฆามีเส้นทางที่เดินทางได้อยู่ไม่มากนัก แต่หากผ่านเขาข้ามเมฆาไปแล้วก็บอกได้ยาก เส้นทางที่ใช้เดินทางได้มีอยู่เยอะแยะมากมาย ไม่รู้เช่นกันว่าเป้าหมายจะไปไหนกันแน่ เหล่าเฉียว รีบติดต่อไปหาคนในแถบนั้นให้ไปตั้งจุดสังเกตการณ์ตามเส้นทางที่เป้าหมายอาจจะผ่านได้ ต้องสืบเส้นทางการเดินทางของเป้าหมายมาให้ได้”

เขาดูเหมือนจะเป็นคหบดีในมณฑลชื่อโจวของแคว้นจ้าว แต่ความจริงแล้วเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองที่แคว้นเยี่ยนส่งมาแฝงตัวอยู่ในมณฑลชื่อโจว ฐานะคหบดีแค่มีไว้ใช้ปกปิดตัวตนเพื่อสะดวกแก่การทำงานเท่านั้น

“ขอรับ!” พ่อบ้านตอบรับ

เฉวียนเซ่าคังชี้ไปที่เขาข้ามเมฆา “รีบให้คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงติดต่อไปหาปีศาจที่อยู่ในเขาข้ามเมฆาทันที เสนอเงินรางวัลให้พวกเขาลงมือ ต้องจัดการเป้าหมายให้ได้! จำไว้ ต้องระมัดระวัง จะให้ตัวตนของพวกเราทางนี้เปิดเผยเพราะเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด”

“ขอรับ! ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!”

…….

เขาข้ามเมฆา มองจากไกลๆ ก็ทราบว่าเป็นสถานที่ที่มียอดเขาสูงชัน มีเมฆหมอกห้อมล้อมลอยวนอยู่ตลอดทั้งปี

กลุ่มของหนิวโหย่วเต้าเดินทางมาถึงละแวกใกล้เคียงเทือกเขาแล้ว แต่ไม่ได้เดินทางไปตามเส้นทางหลวงอีก หากแต่บังคับม้าเลี้ยวเข้าสู่ส่วนลึกของป่าบนเนินเขาข้างทางเพื่อซ่อนตัว

ทั้งกลุ่มลงจากหลังม้า หนิวโหย่วเต้ากล่าวกับทุกคนว่า “เร่งเดินทางมาตลอดไม่ได้หยุด ทุกคนพักผ่อนที่นี่สักหน่อยเถอะ”

จากนั้นหันไปเอ่ยกับเฮยหมู่ตานว่า “อีกเดี๋ยวเจ้าตามข้าไปคนเดียวก็พอ ไม่จำเป็นต้องแห่ไปกันหมด เผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่ถูกจับไปกันหมด”

ท่านรู้จักกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นเหมือนกันหรือ? ยังนึกว่าท่านไม่กังวลอะไรแม้แต่นิดเดียวเสียอีก! เฮยหมู่ตานรู้สึกจนปัญญาเป็นอย่างยิ่ง อยู่ดีๆ จะไปหาเรื่องปีศาจในเขาข้ามเมฆาทำไมกัน แต่นางก็ทำได้เพียงพยักหน้าตกลง

“จะไปพบแขกทั้งที สภาพมอมแมมเปื้อนฝุ่นเช่นนี้คงไม่เหมาะ ล้างตัวก่อนเถอะ” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยทิ้งท้ายแล้วเดินไปยังริมลำธารในละแวกใกล้เคียง นั่งยองๆ ลงไปล้างหน้าล้างตา

เฮยหมู่ตานเองก็ตามไปด้วย กระโดดข้ามลำธาร นั่งยองๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามหนิวโหย่วเต้า ล้างหน้าไปพลางกล่าวเตือนไปพลาง “เต้าเหยี่ยเจ้าคะ ข้าเองก็ไม่เคยเข้าไปในเขาข้ามเมฆามาก่อน สภาพด้านในเป็นอย่างไรข้าไม่รู้แม้แต่นิดเดียวเลยนะเจ้าคะ”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ยังไม่เคยไปก็จะได้ไปเปิดหูเปิดตาพอดี เจ้ามีคนรู้จักอยู่ในนั้นไม่ใช่เหรอ”

เฮยหมู่ตานเอ่ยว่า “แต่ก็ไม่สนิทสนมกันเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นปีศาจน้อยด้วย คาดว่าคงไม่มีสิทธิ์มีเสียงอันใดในเขาข้ามเมฆา ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาข้ามเมฆากว้างใหญ่ขนาดนี้ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าปีศาจน้อยที่รู้จักอยู่บนเขาลูกไหนกันแน่ ไม่รู้ด้วยว่าพอเข้าไปแล้วจะได้เจอเลยหรือเปล่า”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวตอบ “ไม่เป็นไร เข้าไปแล้วค่อยจัดการไปตามสถานการณ์”

เฮยหมู่ตานพูดไม่ออก นี่กำลังจะเข้าไปในรังปีศาจนะ เกิดมีเรื่องขึ้นมา อยากจะหนีก็หนีไม่ได้แล้วนะ

เมื่อทั้งสองล้างเนื้อล้างตัวเรียบร้อยก็กลับเข้าไปในป่า หนิวโหย่วเต้าเอ่ยกับหยวนฟางว่า “เอาตั๋วแลกทองสองแสนเหรียญทองมาให้ข้า”

เขาติดนิสัยไม่พกเงินติดตัวเอาไว้เลย โดยเฉพาะเวลาที่มีคนกันเองอยู่ข้างกาย แม้แต่เศษเงินเล็กน้อยก็ไม่พกติดตัว พูดอีกอย่างคือเวลาที่เขาซื้อของ เขามักจะไม่มีนิสัยจ่ายเงินเช่นกัน ปกติมักจะหยิบแล้วเดินไปเลย ให้คนข้างกายช่วยจ่ายแทนเขา

สองแสนอย่างนั้นหรือ? หยวนฟางหวาดระแวงขึ้นมาเล็กน้อย เขามองออกแต่แรกแล้วว่าเต้าเหยี่ยผู้นี้เป็นคนที่ใช้เงินเป็นเบี้ย เอาทีเดียวสองแสนเหรียญทองเลยหรือ? เขารู้สึกปวดใจ เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “เอาไปทำอะไรหรือขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ หันศีรษะไปมองเขา รู้สึกแปลกใจ ข้าจะทำอะไรต้องรายงานเจ้าด้วยหรือ?

มุมปากหยวนฟางกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย หยิบตั๋วแลกทองปึกหนึ่งออกมาอย่างไม่เต็มใจ

ตั๋วแลกทองที่หนิวโหย่วเต้าให้ไว้แต่แรก ตั๋วแลกทองมูลค่าห้าหมื่นเหรียญทองที่เฮยหมู่ตานทิ้งเอาไว้ แล้วก็ตั๋วแลกทองหนึ่งล้านสองแสนกว่าเหรียญทองที่ได้มาจากการขายของในเมืองไจซิงในภายหลัง รวมเป็นตั๋วแลกทองมูลค่าหนึ่งล้านสามแสนกว่าเหรียญทอง ทั้งหมดล้วนอยู่ในตัวเขา ตลอดทางพกเงินติดตัวเอาไว้มากมายขนาดนี้ หยวนฟางรู้สึกเคลิบเคลิ้มมีความสุข พบว่าตนมีเงินเป็นจำนวนมาก เมื่อครุ่นคิดว่าหากนำตั๋วแลกทองทั้งหมดไปแลกเป็นเหรียญทองล่ะก็ เพียงแค่คิดดูก็รู้สึกทนไม่ไหวแล้ว…

เขานับตั๋วแลกทองออกมายี่สิบใบ ยื่นส่งให้หนิวโหย่วเต้า

หนิวโหย่วเต้ามองตั๋วแลกทองปึกหนาในมือเขา คล้ายจะนึกอะไรขึ้นได้ โบกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย “ให้เงินทุกคนคนละห้าหมื่นเหรียญทอง ให้ทุกคนติดตัวไว้ใช้”

เมื่อคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างได้ยินเข้า ต่างคนต่างใจเต้นแรงขึ้นมา คนละห้าหมื่นอย่างนั้นหรือ?

หยวนฟางเบิกตากว้าง หนิวโหย่วเต้าเลิกคิ้ว หยวนฟางรู้สึกจนปัญญาทันที มองซ้ายมองขวา ก่อนจะจ้องมองไปที่เหลยจงคังเป็นพิเศษ จากนั้นหันกลับไปถามว่า “คนละห้าหมื่น ให้ทุกคนเลยหรือขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้ารู้ว่าเขาหมายถึงอะไร จึงตอบไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แบ่งให้ทุกคน”

หยวนฟางตอบรับ นับตั๋วแลกทองออกมาอีกยี่สิบใบ ยื่นส่งให้เฮยหมู่ตาน “เจ้าเอาไปแบ่งกันซะ”

พอพูดจบก็รีบเก็บตั๋วแลกทองที่เหลือทั้งหมดทันที ด้วยกลัวว่าหนิวโหย่วเต้าจะเอาออกมาใช้อีก พริบตาเดียวเงินหายไปสี่แสนเหรียญทองแล้ว เขาทั้งปวดใจและปวดกาย ลอบบ่นอยู่ในใจ ถึงมีเงินก็ไม่ควรใช้จ่ายแบบนี้หรือเปล่า?

เฮยหมู่ตานนับว่าพอจะเข้าใจนิสัยของหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อยแล้ว มอบให้เจ้า เจ้าก็รับไว้ซะ!

“เช่นนั้นข้าขอเป็นตัวแทนทุกคนขอบพระคุณเต้าเหยี่ยก่อนแล้วกันเจ้าค่ะ!” เฮยหมู่ตานหัวเราะยินดีขึ้นมา ประสานมือคำนับหนิวโหย่วเต้า ถือตั๋วแลกทองหันหลังเดินออกไป

นำไปแบ่งให้ทีละคน คนไหนได้รับก็เอ่ยขึ้นว่า “ขอบพระคุณเต้าเหยี่ย!”

หลังจากคำขอบคุณแว่วขึ้นมาสองครั้ง พอมาถึงเหลยจงคังกลับนิ่งเงียบ เหลยจงคังไม่ยอมยื่นมือออกมา ค่อนข้างละอายที่จะรับเงินนี้ไว้

“ให้เจ้าก็รับไว้เถอะ อย่าเรื่องมาก” เฮยหมู่ตานยัดตั๋วแลกทองเข้าไปในเสื้อของเขา

เหลยจงคังประสานมือไปทางหนิวโหย่วเต้าพลางเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ขอบพระคุณเต้าเหยี่ย!”

หนิวโหย่วเต้าทำเหมือนไม่ได้ยิน ไม่สนใจเขา ปล่อยให้เหลยจงคังกระอักกระอ่วนต่อไป จากนั้นเดินไปที่ด้านข้าง หยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากห่อสัมภาระบนหลังม้า ใช้แท่งถ่านขีดเขียนอะไรบางอย่างลงไป พับให้เรียบร้อย ก่อนจะเรียกหยวนฟางเข้ามา ยื่นกระดาษส่งให้หยวนฟาง กระซิบสั่งการว่า “ก่อนฟ้ามืด หากข้ายังไม่กลับมา ให้เจ้ารีบย้อนกลับไปที่เมืองไจซิงทันที ไปที่ร้านค้าของวังสวรรค์หมื่นวิมาน บอกว่าข้าได้รับคำสั่งจากไห่หรูเยวี่ยให้มาจัดการธุระที่เขาข้ามเมฆา บังเอิญพบปัญหายุ่งยาก ขอให้พวกเขาส่งกำลังคนมาช่วย หากพวกเขาไม่มา เจ้าก็ให้พวกเขานำจดหมายฉบับนี้ส่งไปให้ไห่หรูเยวี่ย เดี๋ยวไห่หรูเยวี่ยจะคิดหาทางจัดการเอง”

หยวนฟางกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เต้าเหยี่ย หากมีอันตรายพวกเราก็อย่าไปเลยขอรับ ปีศาจโขยงหนึ่งมีอันใดน่าคบหากัน” เขากล่าวประโยคนี้ราวกับตนมิใช่ปีศาจ

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ไม่มีอันตรายอะไรหรอก นี่เป็นแค่การเตรียมป้องกันเผื่อเอาไว้เท่านั้น เจ้าไปจัดการตามที่ข้าบอกก็พอ ระหว่างทางก็หูตาว่องไวหน่อย”

“ขอรับ!” หยวนฟางพยักหน้ารับ ทันใดนั้นคล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ยกมือเกาท้ายทอยพลางเอ่ยถามว่า “เต้าเหยี่ย ตอนอยู่ที่โรงเตี๊ยมเชิญจันทร์ มีคนลอบติดต่อกับทางสำนักเซียนสถิต ท่านรู้ชัดเจนขนาดนั้นได้อย่างไรขอรับ? หรือว่าทางโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์เป็นฝ่ายบอกท่าน?” นี่คือข้อสงสัยในใจเขา อยากถามมาตลอดทาง แต่รอบตัวมีคนอยู่ จึงไม่มีโอกาสได้ถามเลย

หนิวโหย่วเต้าตอบเสียงเรียบเฉย “หากว่าเจ้าลิงอยู่ด้วย เขาก็จะรู้เหมือนกัน”

หยวนฟางแปลกใจ “เพราะเหตุใดหรือขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “จิตใจของเจ้า สายตาของเจ้า เป็นเพราะจิตใจและสายตาของเจ้าล้วนจับจ้องอยู่ที่เงิน มองไม่เห็นเรื่องอื่น! หากข้าไม่ระวังตัวอีกสักนิด เจ้าจะยังมีโอกาสได้นับเงินอยู่ที่นี่หรือ? เจ้าหมี มิใช่ว่าข้าจะบ่นว่าเจ้าหรอกนะ แต่หากเทียบกับเจ้าลิงแล้ว เจ้ายังห่างชั้นอยู่มากจริงๆ ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดตอนนั้นถึงไปตกอยู่ในมือพวกโง่เง่าอย่างซ่งเหยี่ยนชิงได้!”

กล่าวจบก็หันหลังเดินออกไป ถึงแม้สถานการณ์มันยังไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นนั้น แต่บางครั้งก็ควรสั่งสอนเสียหน่อย

“….” หยวนฟางอ้าปากหวอ อึกอักคล้ายอยากจะพูดอะไร สุดท้ายก้มหน้าลงอย่างห่อเหี่ยวเล็กน้อย บ่นอุบอิบอยู่ในใจ เป็นเช่นนี้จริงหรือ? ถ้าเป็นเจ้าลิงก็จะสังเกตเห็นเช่นกันอย่างนั้นหรือ? แล้วเหตุใดตนถึงมองพิรุธอะไรไม่ออกเลยสักนิด? หรือว่าตนจะห่างชั้นกับเจ้าลิงมากขนาดนั้นจริงๆ?

“พวกเจ้าระวังตัวด้วย หากพวกข้าไม่กลับมาก่อนฟ้ามืด พวกเจ้าจงติดตามจินเวยไป ข้าสั่งการเขาไว้แล้ว” หนิวโหย่วเต้าที่เดินกลับไปหาคนอื่นๆ เอ่ยกำชับ จากนั้นกวักมือส่งสัญญาณให้เฮยหมู่ตาน “พวกเราไปกันเถอะ!”

………………………………………………………….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า