ตอนที่ 147 ขาดทุนครั้งใหญ่
“เต้าเหยี่ยกล่าวถูกแล้วเจ้าค่ะ” เฮยหมู่ตานหัวเราะแห้งๆ
แม้นปากจะกล่าวไปเช่นนั้น ทว่าภายในใจกลับไม่เห็นด้วย ท่านทำแบบนี้เรียกคบหาสหายได้ด้วยหรือ? นี่มันคือการเอาเงินฟาดหัวต่างหากล่ะ!
นางเองก็เพิ่งเคยเจอคนแบบนี้เป็นครั้งแรก ไปทางไหนก็เอาแต่พูดปาวๆ ว่าคบหาสหาย ตอนปล่อยชุยหย่วนกับเหยาโหย่วเลี่ยงไปก็บอกว่าคบหาสหาย โยนเงินก้อนใหญ่ให้อวิ๋นฮวนก็บอกว่าคบหาสหาย อะไรๆ ก็เรียกว่าเป็นการคบหาสหายไปเสียหมด ใช่สหายแน่หรือ? ไม่มีคนที่พึ่งได้เลยสักคน!
ความจริงแล้วยังคนที่ไม่น่าเชื่อถืออยู่อีก เพียงแต่นางไม่รู้ก็เท่านั้น ตัวอย่างเช่นเฉินกุยซั่วที่ปล่อยตัวไปตอนอยู่ที่มณฑลจินโจว นั่นก็บอกว่าเป็นการคบหาสหายเช่นกัน
แต่ไม่ว่าอย่างไร การที่กล้าดั้นด้นเข้าไปทำเรื่องเหลวไหลในเขาข้ามเมฆา ลากอวิ๋นฮวนมาสวมบทบาทเป็นพี่น้องเสร็จก็ออกมา เฮยหมู่ตานนับว่าได้เห็นแล้วว่าความกล้าของเต้าเหยี่ยผู้นี้ไม่ธรรมดา เชี่ยวชาญในการเดินท่องไปในความเสี่ยง!
ทันทีที่ทั้งสองคนกลับมาถึงสถานที่ซ่อนตัวภายในป่า คนอื่นๆ ที่รออยู่ก็ล้อมวงเข้ามาหาทันที เมื่อเห็นว่าทั้งสองกลับมาอย่างปลอดภัย ต่างก็ถอนใจด้วยความโล่งอก
หยวนฟางเอ่ยด้วยความแปลกใจ “เต้าเหยี่ย เหตุใดถึงกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะขอรับ? ไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ?”
มันก็เร็วจริงอย่างที่เขาว่ามา ตั้งแต่ไปจนกลับมาน่าจะไม่เกินหนึ่งชั่วยาม
เฮยหมู่ตานมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย นึกในใจ เร็วอย่างนั้นหรือ? ยังมีเรื่องที่เร็วกว่านี้อีกนะ ใช้เวลาในการเข้าพบอวิ๋นฮวนไม่ถึงหนึ่งก้านธูป เต้าเหยี่ยผู้นี้ก็ร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับท่านผู้ดูแลแห่งเขาข้ามเมฆาได้แล้ว อยู่ที่นั่นเรียกขานกันเป็นพี่เป็นน้อง ราวกับเด็กน้อยเล่นขายของก็มิปาน คาดว่าหากเล่าเรื่องนี้ออกไปคงไม่มีผู้ใดเชื่อแน่!
“ไม่เป็นไร พวกเราเดินทางต่อเถอะ” หนิวโหย่วเต้าโบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคน
หยวนฟางร้อง “โอ้” คำหนึ่ง ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว คำสั่งที่กำชับเอาไว้ก่อนหน้านี้ทำให้เขากังวลใจเล็กน้อย ในเมื่อกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เช่นนั้นก็ไม่ต้องห่วงอะไรอีก
ทั้งคณะวิ่งขึ้นไปบนทางหลวง ควบม้าทะยานไปอีกครั้ง
…..
บนหน้าผา ข้าวของประกอบพิธีถูกเคลื่อนย้ายออกไปจนหมดอย่างรวดเร็ว บนยอดเขาที่อยู่สูงขึ้นไป ใต้ต้นสนต้นหนึ่ง อวิ๋นฮวนนั่งร่ำสุราอยู่ข้างลานหินตามลำพัง
เงาร่างของโหวฉิงเทียนเหินทะยานขึ้นมา ลอยลงด้านข้าง เอ่ยว่า “ท่านผู้ดูแลขอรับ มีการค้ามาเสนอขอรับ”
อวิ๋นฮวนยกการินสุราช้าๆ พลางเอ่ยถามว่า “การค้าอะไร?”
โหวฉิงเทียนตอบว่า “ซื้อชีวิตขอรับ ราคาสูง สองหมื่นเหรียญทอง วางมัดจำก่อนห้าพันเหรียญทอง หลังทำงานสำเร็จค่อยจ่ายเพิ่มอีกหนึ่งหมื่นห้าพันเหรียญทองขอรับ!”
อวิ๋นฮวนเอ่ยว่า “ชีวิตของผู้ใดถึงมีราคาสูงขนาดนี้? ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้ว หากเกินขอบเขตความสามารถของพวกเราก็อย่ารับ”
โหวฉิงเทียนกล่าวตอบ “ตัวตนของเป้าหมาย ทางผู้จ้างวานไม่ได้เปิดเผยข้อมูลขอรับ เพียงแต่คนกลางที่มาเจรจายืนยันว่าสภาวะของเป้าหมายไม่เกินระดับสร้างฐาน เป้าหมายมีพรรคพวกติดตามมาห้าคน ด้านพลังคาดว่าน่าจะไม่สูงไปกว่าระดับสร้างฐานเช่นกันขอรับ ทั้งยังรับประกันด้วยว่าไม่มีกลุ่มอิทธิพลใดๆ อยู่เบื้องหลัง”
“ไม่เปิดเผยตัวตนของเป้าหมายอย่างนั้นหรือ?” อวิ๋นฮวนวางจอกสุราที่ยกขึ้นมาถึงริมฝีปากลง “ไม่ทราบฐานะตัวตนแล้วจะลงมือได้อย่างไร”
โหวฉิงเทียนเอ่ยว่า “คนกลางบอกว่าจะนำทางพวกเราไปหาเป้าหมาย ไม่ต้องลำบากพวกเราไปสืบหาเองขอรับ”
“วันนี้มีเรื่องแปลกๆ เยอะจริง” อวิ๋นฮวนพึมพำ ลังเลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า “ไปเจรจาใหม่ บอกคนกลางว่าไม่บอกฐานะตัวตนของเป้าหมายทำให้มีความเสี่ยง คิดเพิ่มอีกหมื่นเหรียญทอง วางมัดจำหนึ่งหมื่น หากไม่ตกลงก็ไม่รับ แต่แน่นอน ให้เจ้าสังเกตท่าทีของอีกฝ่ายด้วย หากว่าอีกฝ่ายไม่ตกลง เจ้าก็ถอยให้ก้าวหนึ่ง สองหมื่นก็สองหมื่นแล้วกัน เรื่องนี้เจ้าจัดการได้เลย ระวังด้วย” กล่าวพลางโบกมือไล่
“ขอรับ” โหวฉิงเทียนประสานมือคำนับ เหินกายจากไป
ทว่าสุราอวิ๋นฮวนยังพร่องไปได้ไม่ถึงครึ่งกา ลูกน้องอีกคนที่มีนามว่าจูฉางกุ้ยก็เหินทะยานเข้ามา สาวเท้าเดินเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าแล้วรายงานว่า “ท่านผู้ดูแลขอรับ มีมนุษย์บุกรุกเข้ามาในภูเขาขอรับ”
อวิ๋นฮวนหันขวับทันที “ผู้ใด?”
จูฉางกุ้ยตอบว่า “พวกเขาแจ้งว่าเป็นศิษย์ของสำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสขอรับ บอกว่าไล่ตามคนร้ายมา ต้องการให้พวกเราช่วยอำนวยความสะดวกด้วยขอรับ”
“เจ้านั่นมันล่อคนมาจริงๆ หรือนี่?” อวิ๋นฮวนพึมพำ แก้มกระตุกยิกๆ เขาไม่มีทางทำตามที่รับปากหนิวโหย่วเต้าเอาไว้ โบกมือไล่อย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย กล่าวว่า “บอกว่าที่นี่ไม่มีคนที่พวกเขาตามหา และที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเขานึกอยากค้นก็จะมาค้นได้ ให้พวกเขาไสหัวไปซะ!”
“ขอรับ!” จูฉางกุ้ยประสานมือรับคำสั่ง กระโดดลงไปจากยอดเขา เหยียบอากาศทะยานออกไป
เดินทางตัดผ่านม่านหมอกมาถึงพื้นที่รอบนอกของเขาข้ามเมฆา ร่อนลงในหุบเขาที่ไม่อนุญาตให้ใครผ่านเข้าออก
ผู้มาเยือนอย่างกะทันหันก็คือพวกเกาซู่ชง อู่เฉียนเฮ่าและเลี่ยวเซินที่ไล่ตามเบาะแสมาตลอดทาง ยามนี้ถูกปีศาจบำเพ็ญเพียรหลายสิบตนปิดล้อมไว้ตรงกลาง
จูฉางกุ้ยร่อนลงกลางวงล้อม เอ่ยตะคอกว่า “ช่วยถามให้พวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ามาตามหาผิดที่แล้ว ที่นี่ไม่มีคนที่พวกเจ้าตามหา รีบไสหัวไปซะ!”
เกาซู่ชงเอ่ยเสียงขรึม “จะมีหรือไม่มี อย่างน้อยก็ต้องให้พวกเราลองหาดูก่อนถึงจะรู้กระมัง?”
จูฉางกุ้ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ที่นี่ใช่สถานที่ที่พวกเจ้านึกอยากค้นก็ค้นได้อย่างนั้นหรือ? หากวันหน้าพวกเราไปขอค้นสำนักเซียนสถิตของพวกเจ้าบ้าง สำนักเซียนสถิตของพวกเจ้าจะยินยอมหรือ?”
เกาซู่ชงกล่าวว่า “หากว่ามีหลักฐานยืนยันอันใดจริงๆ เรื่องจะให้ค้นหรือไม่ย่อมต้องคุยกันได้”
จูฉางกุ้ยถาม “เช่นนั้นพวกเจ้ามีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าคนที่พวกเจ้าตามหาอยู่ที่เขาข้ามเมฆา?”
“มานี่!” เกาซู่ชงหันหน้ากลับไปตะโกนเรียก ศิษย์คนหนึ่งเดินเข้ามา เขายื่นมือไปจับนกใฝ่หอมที่ร้องจิ้บๆ ตัวหนึ่งออกมาจากกรงที่ศิษย์คนนั้นสะพายไว้บนหลัง แสดงให้อีกฝ่ายดู “รู้จักหรือไม่? พวกเราตามนกใฝ่หอมมาตลอดทาง ไม่มีทางผิดพลาดแน่ เบาะแสของเหยื่อหอมยังอยู่ นี่นับเป็นหลักฐานหรือไม่?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า