ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 150

ตอนที่ 150 มีปัญหาจริงๆ ด้วย

ทั้งห้าคนเบิกตามองเขา คล้ายกำลังมองสัตว์ประหลาดอยู่ ที่สำคัญคือหนิวโหย่วเต้าดูอ่อนวัยยิ่งนัก!

หากมิใช่เพราะตนอายุมากแล้ว เฮยหมู่ตานรู้สึกว่าตนจะต้องหวั่นไหวต่อชายหนุ่มผู้นี้เป็นแน่ แต่เนื่องจากอายุตนห่างจากอีกฝ่ายอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่มีความคิดอะไรเหลวไหลเช่นนั้น

สมมุติว่าข้อเสนอหลับนอนหนึ่งคืนที่โรงเตี๊ยมเชิญจันทร์เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่นางรู้จักเขาพอสมควรแล้วเหมือนอย่างเช่นตอนนี้ นางกำลังสงสัยว่าตนจะตอบตกลงหรือไม่!

เฮยหมู่ตานกะพริบตาปริบๆ เอ่ยถามว่า “เต้าเหยี่ย ต่อไปจะจัดการอย่างไรเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “อีกฝ่ายสามารถล่วงรู้เส้นทางของพวกเราได้อย่างแม่นยำ นี่มิใช่แค่เพราะพบตัวพวกเราเฉยๆ แล้ว หากแต่จะต้องมีการจัดวางสายสืบไว้ตามเส้นทางนี้แน่นอน ตอนนี้เราไม่อาจเผยตัวได้ หลบอยู่ที่นี่สักพักก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”

ต้วนหู่เอ่ยขึ้นมา “เต้าเหยี่ย ข้าคิดว่าเราเลิกเดินทางด้วยม้า แล้วใช้การเดินเท้าค่อยๆ หนีออกไปจากที่นี่อย่างเงียบๆ จะปลอดภัยกว่านะขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “นับตั้งแต่ที่พบตัวพวกเราจนกระทั่งจับตามองพวกเรา ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ก็สามารถเรียกระดมกำลังคนในแถบพื้นที่ห่างไกลเช่นนี้ได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นองค์กรของคนกลาง หรือว่าผู้อยู่เบื้องหลังที่ต้องการเอาชีวิตข้า ไม่ว่าจะเป็นฝีมือผู้ใด สรุปแล้วอิทธิพลของคนเหล่านั้นจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หากไม่ตรวจสอบต้นสายปลายเหตุให้กระจ่าง ก็ไม่รู้ว่าจะหลบเลี่ยงความเสี่ยงไปได้อย่างไร วันหน้าอาจจะยังมีอันตรายอยู่อีกก็เป็นได้ จำเป็นต้องกำจัดปัญหาที่แฝงอยู่นี้ทิ้ง มิเช่นนั้นพวกเราก็ยากจะเดินทางต่อได้! ยามที่สมควรทำตัวเป็นเต่าหดหัวก็ควรจะหดหัวไว้หน่อยจะดีกว่า!”

กล่าวจบก็ไม่สนว่าคนอื่นจะเห็นด้วยหรือไม่ ถือกระบี่ขึ้นมา ค่อยๆ เดินออกไป

คนอื่นๆ ที่อยู่ในถ้ำสบตากัน ทว่าหยวนฟางกลับหันไปเอ่ยกับต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงว่า “เอาแผนที่มาดูอีกทีสิ”

เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ แผนที่จึงถูกกางออก ทั้งห้าคนขยับเข้ามาอยู่ตรงหน้าแผนที่ พิจารณาวงกลมที่บ้างเล็กบ้างใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่บนแผนที่

เรื่องบางอย่างก็ไม่ยากจะเข้าใจ ทั้งห้าคนมิใช่คนโง่ ก่อนหน้านี้ตอนที่หนิวโหย่วเต้าขยับมือวาดวงกลม พวกเขาก็พอจะเข้าใจแล้วว่ามันหมายความว่าอย่างไร เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นใครทำเช่นนี้มาก่อนก็เท่านั้น ยามนี้พอศึกษาดูอย่างละเอียด ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในห้วงความคิด ล้วนรู้สึกว่าได้เรียนรู้อะไรมาอีกแล้ว

ท้องนภาที่มืดมิดสว่างขึ้นอีกครั้ง ทุกคนผลัดเวรเฝ้ายามระวังภัย

…..

ณ เขาข้ามเมฆา ในวังนภากาศ อวิ๋นฮวนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่งศิลามองตั๋วแลกทองห้าใบที่โหวฉิงเทียนประคองส่งให้ด้วยสองมือ มุมปากกระตุกเล็กน้อย

เมื่อเห็นเขาชักช้าไม่ยอมรับไว้ โหวฉิงเทียนจึงเงยหน้ามอง

อวิ๋นฮวนขมวดคิ้วถามยืนยันเพื่อความมั่นใจ “เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ เจ้าบอกว่าเป้าหมายในการจ้างวานดักสังหารคือหนิวโหย่วเต้าอย่างนั้นเรอะ?”

โหวฉิงเทียนแย้มยิ้ม พบว่าท่านผู้ดูแลหาได้สนใจพี่น้องร่วมสาบานผู้นั้นจริงๆ ด้วย กระทั่งชื่อก็ยังเรียกผิด จึงเอ่ยแก้ให้ “ท่านผู้ดูแล ผิดแล้วขอรับ มิใช่หนิวโหย่วเต้า เป็นเซวียนหยวนเต้าขอรับ นอกจากเขาแล้ว ยังจะมีผู้ใดมือเติบเช่นนี้อีกล่ะขอรับ”

อวิ๋นฮวนเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เซวียนหยวนเต้าก็คือหนิวโหย่วเต้า หนิวโหย่วเต้าก็คือเซวียนหยวนเต้า คนผู้นั้นก็คือหนิวโหย่วเต้าที่สังหารราชทูตแคว้นเยี่ยนในมณฑลจินโจว!”

“…..” โหวฉิงเทียนตกตะลึงตาค้าง “นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไรขอรับ?”

“เหตุใดจะเป็นไปไม่ได้…” อวิ๋นฮวนบอกเล่าเรื่องราวออกมาคร่าวๆ คว้าตั๋วแลกทองไป นับตั๋วแลกทองแล้วเอ่ยพึมพำว่า “ด้านหลังมีคนไล่ตามสังหาร ด้านหน้ามีคนดักรอฆ่า เจ้านี่อายุเพียงเท่านี้ ไปล่วงเกินคนไว้มากน้อยเพียงใดกันแน่? แล้วยังกล้ามาหลอกลวงข้าถึงเขาข้ามเมฆาอีก!”

เมื่อเห็นว่าโหวฉิงเทียนค่อนข้างมึนงง เขาจึงโบกมือไล่ “เจ้าออกไปก่อนเถอะ เรื่องนี้ไม่อาจโทษเจ้าได้เช่นกัน เจ้าไม่ได้รู้เรื่องด้วย แต่ห้ามแพร่งพรายเรื่องร่วมสาบานออกไปเด็ดขาด ถึงพวกเราจะไม่เกรงกลัว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว”

“ขอรับ!” โหวฉิงเทียนตอบรับอย่างเชื่อฟัง หลังออกมาจากวังนภากาศก็รีบพุ่งทะยานออกไป เรื่องที่เกิดขึ้นบนทางสามโค้ง คนทั้งกลุ่มรู้เห็น ไม่รู้ว่าพอกลับมาแล้วเจ้าพวกนั้นได้เอาเรื่องนั้นไปเที่ยวพูดส่งเดชหรือไม่ เขาจำเป็นต้องรีบไปกำชับให้พวกเขาหุบปากไว้

…..

ช่วงเย็นวันต่อมา หนิวโหย่วเต้าที่นั่งทำสมาธิบำเพ็ญเพียรมาทั้งวันเดินออกมาจากถ้ำ เงยหน้ามองแสงอาทิตย์อัสดงที่ปกคลุมท้องนภา เดินปลีกวิเวกเลียบลำธารไป

ยามที่เดินมาถึงต้นน้ำในหุบเขา เบื้องหน้ามีบึงน้ำ ริมบึงมีศีรษะที่เปียกชุ่มศีรษะหนึ่งโผล่พ้นขึ้นมา ผมเผ้าสยายยุ่งเหยิง

มิใช่ใครอื่น เป็นเฮยหมู่ตานที่เข้าเวรเฝ้าระวังภัยอยู่

ตรากตรำเดินทางมาไม่หยุด ร่างกายเปื้อนฝุ่นมอมแมม เมื่อเห็นว่าทางด้านนี้มีบึงน้ำสีมรกตอยู่ จึงอดใจไม่ไหว นึกอยากอาบน้ำขึ้นมา คิดว่าตนเข้าเวรอยู่ คนอื่นน่าจะไม่มาทางนี้ ด้วยเหตุนี้จึงลงไปแช่น้ำอย่างสบายใจ ผู้ใดจะทราบว่าจู่ๆ จะได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่วมา จึงรีบหดตัวลงไปในน้ำ โผล่ศีรษะมองออกไปด้านนอก เห็นหนิวโหย่วเต้าเดินเข้ามาอย่างช้าๆ

“เต้าเหยี่ย อย่าเข้ามา ไม่สะดวกเจ้าค่ะ!” เฮยหมู่ตานตะโกนบอก

หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองแวบเดียวก็ทราบแล้วว่านางทำอะไรอยู่ แต่ก็มิได้สนใจ ยังคงเดินหน้าต่อไป

เฮยหมู่ตานลนลานทันที รีบใช้พลังดูดเสื้อผ้าที่วางอยู่ไม่ไกลเข้ามา ปกปิดเรือนร่างของตนเอาไว้

ทว่าหนิวโหย่วเต้าเดินผ่านริมบึงไปอย่างเฉยเมย สายตาไม่เหลือบแล ไม่มองนางแม้เพียงแวบเดียว เดินไปทางต้นน้ำต่อ

“…..” เฮยหมู่ตานพูดไม่ออก ไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อน นางโยนเสื้อผ้าไว้ริมบึง ไม่สนใจเขา อาบน้ำคนเดียวอย่างมีความสุขต่อไป

แต่นางเพิ่มความเร็วในการอาบน้ำให้เร็วขึ้น รีบอาบจนเสร็จ จากนั้นสวมเสื้อผ้า เดินไปทางต้นน้ำเช่นกัน

เดินไปเรื่อยๆ จนขึ้นไปบนหน้าผาที่อยู่ตรงต้นน้ำ มองเห็นหนิวโหย่วเต้าที่ยืนค้ำกระบี่หันหน้ารับแสงตะวันแดงเรื่อ สังเกตดูสีหน้าของเขาอย่างเงียบๆ

หนิวโหย่วเต้าเก็บสีหน้าสับสนเลื่อนลอยบนใบหน้าไปแล้ว ทว่าสายตายังมองตรงไปเบื้องหน้า เอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ข้าเห็นเจ้า เจ้าเห็นข้า พวกเราหายกัน”

เฮยหมู่ตานทั้งฉุนทั้งขบขำ แต่นางกลับลองกระเซ้าเย้าแหย่ไปว่า “เต้าเหยี่ย เมื่อครู่ตอนที่ท่านเดินผ่าน ท่านไม่อยากมองดูหน่อยหรือเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้าถาม “มองอะไร?”

เฮยหมู่ตานตอบ “มองข้าอาบน้ำไงเจ้าคะ! บุรุษล้วนชอบมองไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

หนิวโหย่วเต้าว่า “มีอะไรน่ามอง?”

เฮยหมู่ตานว่า “หวา รังเกียจว่าข้าขี้เหร่อย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบสั้นๆ “รังเกียจที่เจ้าดำ”

“….” เฮยหมู่ตานกลอกตาทีหนึ่ง “ก็แค่คล้ำไปหน่อยเอง”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวไปว่า “ที่ไม่มองเพราะเจ้าถือเสื้อผ้าบังไว้ ถึงมองไปก็ไม่เห็นอยู่ดี อย่างนั้นก็ไม่มองดีกว่า จะได้ไม่โดนด่า…อธิบายแบบนี้ เจ้าพอใจแล้วกระมัง?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า