ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 21

สรุปบท ตอนที่ 21 ลงเขา: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 21 ลงเขา – ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet

บท ตอนที่ 21 ลงเขา ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 21 ลงเขา

หลังจากถังอี๋ออกไปได้ไม่นาน ศิษย์หญิงคนหนึ่งนามว่าเถียนเซียงก็รีบเข้ามา เดินไปหยุดตรงหน้าถังซู่ซู่กระซิบรายงานสองสามประโยค ถังซู่ซู่เลิกคิ้วเล็กน้อย เปล่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกระซิบสั่งการสองสามประโยค

ผ่านไปไม่นานก็มีคนมาขอพบอยู่นอกประตูอีกคนหนึ่ง มิใช่ใครอื่น เป็นซ่งเหยี่ยนชิง

ซ่งเหยี่ยนชิงที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามามองเห็นถังซู่ซู่ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้เถียนเซียงที่อยู่ข้างๆ จากนั้นเอ่ยสั่งการว่า “ให้หนิวโหย่วเต้ามอบมันให้เจ้าอาวาสวัดหนานซานแห่งเขาหนานซานในจังหวัดกว่างอี้หลังลงจากเขา มันเป็นทางผ่านอยู่แล้ว บอกเขาต้องส่งให้ได้!”

“เจ้าค่ะ!” เถียนเซียงรับจดหมายด้วยสองมือ ยามหันหลังก้าวออกไปเหลือบมองดูซ่งเหยี่ยนชิงเล็กน้อย

ซ่งเหยี่ยนชิงจ้องมองจดหมายในมือนางอย่างสนใจยิ่ง จากนั้นหันกลับไปทำความเคารพถังซู่ซู่อย่างนอบน้อมพลางเอ่ยว่า “คารวะผู้อาวุโส!”

ถังซู่ซู่ยกมือเล็กน้อยด้วยสีหน้ายินดี สื่อว่าไม่ต้องมากพิธี

จากนั้นซ่งเหยียนชิงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ผู้อาวุโส ศิษย์ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต้าจะลงจากเขาไปเป็นฝ่าซือคุ้มครองให้ซางเฉาจงหรือขอรับ?”

ถังซู่ซู่พยักหน้าเล็กน้อย “ถูกต้อง”

ใบหน้าของซ่งเหยี่ยนชิงบึ้งตึงขึ้นหลายส่วน เอ่ยเสียงขรึมว่า “ผู้อาวุโส ก่อนหน้านี้ท่านเพิ่งรับปากไว้ว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะไม่มอบฝ่าซือคุ้มกันให้ซางเฉาจง” เขากลับมาถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก่อนซางซูชิง แจ้งเรื่องต่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไว้ก่อนแล้ว ตอนนี้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังคงมอบคนให้ซางเฉาจง แล้วเขาจะรายงานเรื่องนี้ต่อคนทางบ้านอย่างไรเล่า

ถังซู่ซู่ถอนหายใจ กล่าวว่า “มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายจริงๆ ท่านหญิงซางนำสิ่งที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เคยมอบให้หนิงอ๋องเพื่อเป็นหลักประกันทดแทนคุณมาด้วย นางขึ้นเขามาเยือนถึงสำนักด้วยตัวเอง แล้วจะให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์บอกปัดอย่างไรเล่า? สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เป็นสำนักฝ่ายธรรมะ ติดค้างบุญคุณผู้อื่น ยามนี้เขาต้องการให้เจ้าใช้คืน หากไม่ใช้คืน วันหน้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะยังมีหน้าพบเจอผู้คนในโลกบำเพ็ญเพียรอีกหรือ? คงถูกผู้อื่นนำไปบอกเล่าเป็นที่ขบขันแน่ เหยี่ยนชิง นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่จะปล่อยผ่านได้ ทางสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จนปัญญาจริงๆ”

ซ่งเหยี่ยนชิงกล่าวว่า “เรื่องราวเมื่อครั้งอดีตศิษย์ไม่ทราบ จึงไม่กล้าไปตัดสินว่าควรทดแทนคุณหรือไม่ได้ ศิษย์รู้เพียงว่าทางเมืองหลวงได้ฝากถ้อยคำมายังสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้ว ยามนี้การกระทำของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เกินเลยไปจากความคาดหมายของทางฝั่งเมืองหลวง ศิษย์จึงอยากเรียนถามผู้อาวุโสว่า ศิษย์สมควรรายงานกับทางเมืองหลวงอย่างไร?” ในน้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นแฝงเจตนาข่มขู่อยู่เล็กน้อย

ถังซู่ซู่เอ่ยอย่างยินดี “กังวลมากไปแล้ว สถานการณ์ของหนิวโหย่วเต้าเป็นอย่างไรเจ้ายังไม่ทราบอีกหรือ? ด้วยความสามารถของเขาจะไปเป็นฝ่าซือคุ้มกันผู้อื่นได้อย่างไร? เพียงแค่ส่งเขาให้ซางเฉาจงแบบขอไปทีเท่านั้น” อันที่จริงความคิดแต่เดิมของทางนี้ไม่เคยคิดจะมอบคนให้ซางเฉาจงเลยจริงๆ แต่ทางนั้นนำหลักประกันสัญญามาหาถึงสำนัก เรื่องราวเกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของสำนัก ปฏิเสธไปตรงๆ ได้ลำบาก จำเป็นต้องต้อนรับขับสู้ ที่ให้ซางซูชิงไปพบหนิวโหย่วเต้า ก็ด้วยต้องการให้ซางซูชิงลำบากใจล่าถอยไปเอง เพราะถึงอย่างไรอายุของหนิวโหย่วเต้าก็เพียงเท่านั้น ทว่าไม่รู้ว่าชางซูชิงคิดอะไรอยู่ คิดไม่ถึงว่านางจะเห็นด้วย กลับกลายเป็นสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่ขี่หลังเสือแล้วลงได้ยาก”

ซ่งเหยี่ยนชิงเอ่ยอย่างเฉยเมย “หลายปีมานี้ศิษย์มิได้อยู่ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ สถานการณ์ของหนิวโหย่วเต้าเป็นอย่างไรศิษย์ไม่ทราบ ศิษย์ทราบเพียงว่าความต้องการของทางเมืองหลวงคือห้ามส่งคนให้ซางเฉาจง แม้แต่คนเดียวก็ไม่อนุญาต!”

“เจ้านี่นะ!” ถังซู่ซู่ชี้ไม้ชี้มือใส่เขา ส่ายหน้าน้อยๆ เอ่ยว่า “ที่ข้าทำนี่ก็เพราะหวังดีกับเจ้า หรือว่าเจ้ายังมองไม่ออกอีก?”

“เอ่อ…” ซ่งเหยี่ยนชิงงุนงงไปเล็กน้อย “หวังดีกับศิษย์? ศิษย์มองไม่ออกเลยว่าเรื่องนี้เป็นการหวังดีต่อศิษย์อย่างไร!”

ถังซู่ซู่กล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “มีบางเรื่องที่เจ้าอาจจะยังไม่รู้ เจ้าสำนักถังอี๋มิเคยต้องตาหนิวโหย่วเต้าเลย หลายปีมานี้แม้แต่พบหน้าค่าตาก็เจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง จนถึงบัดนี้ยังมิเคยร่วมหอกับหนิวโหย่วเต้า เจ้าสำนักยังคงถือพรหมจรรย์มาจนถึงตอนนี้ ก็เหมือนกับที่ข้าเคยบอกเจ้าไว้เมื่อหลายปีก่อน เจ้าสำนักทำเช่นนี้เพียงเพื่อแบกรับภาระหนักอึ้งไว้ มิได้คิดจะทอดกายให้หนิวโหย่วเต้าอย่างแท้จริง เจ้าสำนักจะไปต้องตาเด็กบ้านป่าคนหนึ่งได้อย่างไร เจ้ากับหนิวโหย่วเต้าหากเทียบกันแล้ว เจ้าสำนักจะแยกไม่ออกอย่างนั้นหรือว่าคนไหนดีกว่า? แต่เจ้าสำนักเป็นบุตรีอดีตเจ้าสำนัก ภาระหน้าที่บางอย่างนางจำเป็นต้องแบกรับไว้ เจ้าในฐานะบุรุษก็ต้องเข้าใจถึงความลำบากสตรีอย่างนางด้วย”

“…..” ซ่งเหยี่ยนชิงตกตะลึงไปอย่างสิ้นเชิง ท่าทางคล้ายอยากจะพูดแต่ก็ลังเลใจ สองตาค่อยๆ ส่องประกาย หัวใจกลับมากระชุ่มกระชวยอีกครั้ง เข้าใจดียิ่งว่าถังซู่ซู่สื่อความนัยถึงสิ่งใด

ถังซู่ซู่สังเกตปฏิกิริยาของเขาเล็กน้อย กล่าวต่อไปอีกว่า “สถานการณ์ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เป็นอย่างไรทุกคนรู้แก่ใจดี ถูกลิขิตให้พบเภทภัยหนักหนาไม่ได้ลงเอยด้วยดี ยิ่งไปกว่านั้นหนิวโหย่วเต้าไม่มีความสามารถที่จะป้องกันตัวเองได้เลย ติดตามซางเฉาจงไปจะต่างอะไรกับรนหาที่ตาย? เรื่องราวบางอย่างสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่อาจกระทำอย่างโจ่งแจ้งได้ เจ้าน่าจะเข้าใจเหตุผลดี หากให้เขาเกิดเรื่องตอนอยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คงไม่เหมาะ แต่หากถูกซางเฉาจงนำพาความเดือดร้อนมาให้ นั่นมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างหนิงอ๋องและตงกัวเฮ่าหรานเจ้าเองก็ทราบดี หากซางเฉาจงระบุชี้ชัดว่าจะนำตัวศิษย์ตงกัวเฮ่าหรานออกจากหุบเขา ศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์คนอื่นๆ ย่อมเข้าใจดี ไม่มีทางนึกสงสัย”

แววตาซ่งเหยี่ยนชิงวูบไหว ไม่ทราบว่าไตร่ตรองสิ่งใดอยู่ ในที่สุดใบหน้าที่บึ้งตึงมาตลอดก็ผ่อนคลายลง

ภายในห้องโถงเงียบสงัดไปพักหนึ่ง ถังซู่ซู่ที่คอยสังเกตสีหน้าท่าทางอยู่พลันเอ่ยด้วยรอยยิ้มอีกครั้งว่า “แต่แน่นอน ทุกเรื่องล้วนไม่แน่นอน บางทีซางเฉาจงอาจจะรอดพ้นภัยอันตรายร้ายแรง ทำให้หนิวโหย่วเต้าพลอยปลอดภัยไปด้วย เช่นนั้นคงกล่าวได้เพียงว่าเป็นโชคของเขาแล้ว อย่างนั้นสัมพันธ์สามีภรรยาของเขากับเจ้าสำนักก็ยังคงดำเนินต่อไป เหยี่ยนชิงเอ๋ย สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เองก็มีความลำบากใจของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ หนิวโหย่วเต้าไม่นับว่าเป็นฝ่าซือคุ้มกันอันใดเลย เจ้าช่วยอธิบายสถานการณ์ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ต่อทางฝั่งเมืองหลวงให้กระจ่างทีเถอะ!”

บนใบหน้าซ่งเหยี่ยนชิงปรากฎรอยยิ้มน้อยๆ รีบพยักหน้าหงึกๆ พลางกล่าวว่า “ศิษย์เองก็เป็นศิษย์ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เช่นกัน ย่อมต้องช่วยพูดเพื่อสำนักอยู่แล้ว ผู้อาวุโสวางใจเถิดขอรับ ศิษย์ทราบดีว่าควรอธิบายต่อทางเมืองหลวงอย่างไร”

ถังซู่ซู่พยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดีแล้ว ข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ”

“หากผู้อาวุโสไม่มีเรื่องใดสั่งกำชับแล้ว เช่นนั้นศิษย์ขอตัวลาก่อนนะขอรับ!” ซ่งเหยี่ยนชิงประสานมือกล่าวอำลา

ถังซู่ซู่โบกแขนเสื้ออย่างอารมณ์ดี “ไปเถอะๆ”

ซ่งเหยี่ยนชิงถอยหลังไปหลายก้าวอย่างนอบน้อม จากนั้นหันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่ออกจากทางนี้ไป เขาก็กลับไปหาสองผู้ติดตามอย่างสวี่อี่เทียนและเฉินกุยซั่วทันที ให้คนหนึ่งไปเตรียมม้า ส่วนอีกคนให้ไปแจ้งลากับทางสำนัก ให้เหตุผลว่าต้องการกลับเมืองหลวง

เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย ทั้งสามก็รีบควบม้าออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไป

การเดินทางครั้งนี้ จิตใจซ่งเหยี่ยนชิงเบิกบานยิ่งนัก เบิกบานเพราะคำพูดของถังซู่ซู่ ไม่น่าเชื่อว่าถังอี๋และหนิวโหย่วเต้าจะมีความสัมพันธ์กันเพียงในนามเท่านั้น ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ ดูเหมือนบุปผาดอกนี้ยังคงรอคอยให้เขามาเด็ดเชยชมอยู่ เขาตัดสินใจแล้วว่าครั้งนี้จะต้องเอาถังอี๋มาครอบครองให้ได้ ถังซู่ซู่น่าทราบผลลัพธ์ของการหลอกลวงเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าดี กล้าบิดพลิ้วก็ลองดู!

หนิวโหย่วเต้ารับไปแล้วพลิกดูเล็กน้อย ไม่เห็นมีชื่อระบุบนจดหมาย จึงยัดใส่ห่อสัมภาระบนหลังม้า เงยหน้ามองไปทางวังสวรรค์พิสุทธิ์ เอ่ยถามว่า “ข้าไม่จำไปต้องไปอำลาแล้วกระมัง?”

เถียนเซียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสำนักบอกว่าไม่ต้องเจ้าค่ะ ท่านกล่าวว่าพวกท่านหญิงยังต้องเร่งเดินทางต่อ”

“โอ้! เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ” มุมปากของหนิวโหย่วเต้ายกขึ้น ยิ้มเย้ยหยันตัวเองเล็กน้อย

หลายปีมานี้ เขาไม่เคยมีสิทธิ์ได้เลือกสิ่งใดเลย ครั้งนี้ก็เช่นกัน พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ เขาจับบังเหียนไว้ พลิกตัวขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว

กลุ่มท่านหญิงเองก็ขึ้นม้าอย่างรวดเร็ว ชักม้าเลี้ยวกลับออกนำไปก่อน หนิวโหย่วเต้าไล่ตามหลังไป

ขบวนม้าห้อตะบึง วิ่งควบออกไปอย่างรวดเร็ว

ต้นสนริมหน้าผาฝั่งวังสวรรค์พิสุทธิ์ ถังอี๋ที่อาภรณ์พลิ้วไหวดุจเทพเซียนก้มมองลงมา ขมวดคิ้วมองดูฝูงม้าวิ่งออกไป ภายในใจยิ่งนึกสงสัยในความเป็นมาของหนิวโหย่วเต้า เห็นหนิวโหย่วเต้าขี่ม้าออกไปด้วยท่าทางคล่องแคล่วเช่นนี้ หรือหนิวโหย่วเต้าจะเคยฝึกขี่ม้ามาแต่เล็ก เด็กยากจนในหุบเขามีม้าให้ฝึกขี่ด้วยหรือ?

ท่ามกลางเสียงเกือกม้ากระทบพื้น หนิวโหย่วเต้าเหลียวกลับไปมองดู ‘สวนดอกท้อ’ มองเห็นดอกท้อยังคงบานสะพรั่ง ไม่ทราบเลยว่าตนจากไปครานี้จะมีโอกาสได้กลับมาอีกหรือไม่…

……..

ขอบเขตพื้นที่ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กว้างใหญ่ ฝูงม้าควบไปตามเส้นทางป่าเขาอยู่ครู่หนึ่ง ยามที่ใกล้จะพ้นเขตแล้ว จู่ๆ อาชาที่อยู่ข้างหน้าก็ถูกดึงบังเหียนให้หยุดลงอย่างกะทันหัน บีบให้หนิวโหย่วเต้าที่อยู่ด้านหลังต้องรีบหยุดตามไปด้วย เขาชะโงกหน้ามองไป เห็นถูฮั่นขาเป๋ตาเดียวยืนขวางทางอยู่เบื้องหน้า

“ท่านหญิง ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเขาตามลำพังพ่ะย่ะค่ะ” ถูฮั่นชี้ไปทางหนิวโหย่วเต้าที่อยู่ด้านหลัง น้ำเสียงแหบพร่า

ซางซูชิงเหลียวมองแวบหนึ่ง เห็นหนิวโหย่วเต้าไม่ได้คัดค้านอันใด จึงโบกมือพาผู้ติดตามทั้งสี่ออกนำไปก่อน

หนิวโหย่วเต้ากระโดดลงจากหลังม้า ถามด้วยรอยยิ้มว่า “มีเรื่องใดถึงต้องมาดักคุยกันกลางทางหรือ?”

…………………………………………………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า