ตอนที่ 20 ท่านหญิงอัปลักษณ์ – ตอนที่ต้องอ่านของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า
ตอนนี้ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 20 ท่านหญิงอัปลักษณ์ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ตอนที่ 20 ท่านหญิงอัปลักษณ์
เมื่อฟังจากความหมายในวาจาของถังอี๋ อีกทั้งจู่ๆ ท่านหญิงผู้นี้ยังมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ หนิวโหย่วเต้าลอบบ่นอยู่ในใจ เห็นทีสัมพันธไมตรีระหว่างหนิงอ๋องท่านนั้นกับตงกัวเฮ่าหรานคงจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว! หรือว่าตงกัวเฮ่าหรานจะเคยเป็นฝ่าซือประจำตัวหนิงอ๋องมาก่อน?
ถังอี๋ชี้ไปที่หนิวโหย่วเต้าพลางเอ่ยแนะนำอีกครั้ง “ท่านหญิง ผู้นี้คือหนิวโหย่วเต้า หลังจากอาจารย์อาประสบเคราะห์ ศิษย์ในสายสืบทอดของอาจารย์อาก็เหลือเพียงเขาเท่านั้นเพคะ!”
ซางซูชิงค้อมกายคำนับอีกครั้ง “น้อมพบฝ่าซือ!”
หนิวโหย่วเต้าประสานมือเอ่ยอย่างมีมารยาท “ท่านหญิงเกรงใจแล้ว” สายตาเหลือบมองถังอี๋ ไม่รู้ว่าสตรีนางนี้พาท่านหญิงผู้นี้มาด้วยเจตนาใด
“ศิษย์น้อง เจ้าคงไม่คิดจะให้แขกยืนพูดคุยอยู่นอกประตูไปตลอดกระมัง?” ถังอี๋เอ่ยประโยคหนึ่ง
ศิษย์น้องหรือ? หนิวโหย่วเต้าเลิกคิ้วเล็กน้อย ลอบด่าในใจว่าหญิงแพศยา แต่ก่อนยังเรียกขานว่าสามี พออยู่ต่อหน้าคนนอกเรียกขานว่าศิษย์น้องมันหมายความว่าอย่างไร? ชายหล่อเหลางามสง่าอย่างข้าเป็นหญ้าอ่อนให้วัวแก่อย่างเจ้าเคี้ยว เจ้ายังรู้สึกขาดทุนอยู่อีกหรือ?
คำพูดนี้เพียงกล้าเอ่ยอยู่ในใจเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าเปล่งเป็นวาจาออกมา เขารีบผายมือเชื้อเชิญ “เป็นข้าที่เลินเล่อ เชิญ!”
หลังจากทุกคนเข้ามาด้านใน ถังอี๋กวาดตามองรอบข้างพลางกล่าวแนะนำ “ท่านหญิง ที่นี่คือสถานที่บำเพ็ญเพียรเมื่อครั้งที่อาจารย์อายังมีชีวิตอยู่เพคะ ยามนี้สายสืบทอดของอาจารย์อาเหลือศิษย์น้องเพียงคนเดียว เฮ้อ!”
“เงียบสงบ สะอาดสะอ้านและงดงาม เป็นสถานที่ที่ดี!” ซางซูชิงเอ่ยชม
ทุกคนเดินตามเข้ามานั่งในศาลารับลมภายในสวน ซางซูชิงปลดกล่องไม้ใบยาวที่สะพายไว้ข้างหลังออกมาวางลงด้านข้าง
ถังอี๋ส่งสายตาให้ถูฮั่นแวบหนึ่ง อีกฝ่ายยกน้ำชาเสร็จก็เดินออกไป
สตรีทั้งสองจิบชาสนทนา หนิวโหย่วเต้านั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้างเสียเป็นส่วนใหญ่ และเป็นเพราะไม่ทราบถึงสถานการณ์ภายในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เขาจึงไม่อยากพูดอะไรมาก ด้วยกลัวจะสร้างปัญหาอะไรขึ้นมา
ผู้ใดจะคาดคิดว่าหลังจากถังอี๋วางถ้วยชาลง นางก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ศิษย์น้อง ครั้งนี้ท่านหญิงมาเพื่อพบเจ้า”
“ข้าหรือ?” หนิวโหย่วเต้าชี้จมูกตน มองคนนั้นที มองคนนี้ที สมองเต็มไปด้วยความงงงวย
ซางซูชิงยกหีบไม้ที่อยู่ด้านข้างขึ้นวางบนโต๊ะแล้วเปิดออก เผยสิ่งที่อยู่ด้านในให้หนิวโหย่วเต้าเห็น เป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่งนอนสงบนิ่งอยู่ด้านใน
หนิวโหย่วเต้ายังคงไม่เข้าใจความหมายอยู่ดี เขามองไปที่ถังอี๋ด้วยแววตาฉงน คล้ายกำลังถามว่า ให้ข้าหรือ?
ถังอี๋เอ่ยชี้แจงด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เมื่อครั้งอดีตสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เคยได้รับความกรุณาจากหนิงอ๋อง อาจารย์อาจึงมอบกระบี่เล่มหนึ่งให้หนิงอ๋อง ทั้งกล่าวต่อหนิงอ๋องไว้ว่าหากต้องการสิ่งใด ขอเพียงอยู่ในขอบเขตความสามารถ เขาจะสนองทดแทนคุณ! ยามนี้ท่านหญิงนำกระบี่มาหา อาจารย์อาไม่อยู่แล้ว หน้าที่ทดแทนคุณนี้ย่อมตกเป็นของศิษย์น้อง!”
“…..” หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออก มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า แบบนี้ก็ได้หรือ? แต่เขาก็รู้ดีว่าที่นี่ไม่มีที่ให้ตนได้ออกความเห็นอยู่แล้ว จึงถามหยั่งเชิงไป “ไม่ทราบว่าต้องทดแทนคุณอย่างไร?”
ถังอี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ครั้งนี้ท่านหญิงจะออกเดินทางไปกับท่านอ๋องน้อย ข้างกายยังขาดฝ่าซือคุ้มกันอยู่”
ทดแทนคุณคำนี้ฟังดูเหมือนง่าย แต่หนิวโหย่วเต้ามิใช่คนโง่ ทั้งยังมีท่านอ๋องน้อยโผล่มาอีกคนหนึ่งอีก อีกฝ่ายออกเดินทางด้วยฐานะใดกันเล่า หากว่ากันตามสถานการณ์ของโลกนี้แล้ว บุคคลที่มีฐานะสูงส่งเช่นนี้ ข้างกายจะไม่มีฝ่าซือคอยคุ้มกันได้อย่างไร? ท่านหญิงผู้สูงศักดิ์เดินทางมาทวงหนี้น้ำใจถึงที่นี่ด้วยตนเอง เพียงเพราะขาดฝ่าซือคุ้มกันแค่นั้นหรือ? ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ล้วนแต่รู้สึกว่ามีปัญหา
เขามองไปทางซางซูชิง อีกฝ่ายสวมหมวกม่านแพร มองไม่เห็นปฏิกิริยาท่าที
“เรื่องนี้…” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างไม่เต็มใจ “หากให้ข้าไป เกรงว่าจะไม่เหมาะกระมัง?”
ถังอี๋ลุกขึ้นพลางเอ่ยว่า “ศิษย์น้อง เจ้ามานี่หน่อย”
หนิวโหย่วเต้าได้แต่เดินตามไปด้วยความสงสัยที่อัดอั้นอยู่เต็มท้อง
เดินเข้ามาในโถงหลัก เข้าสู่ห้องด้านใน ถังอี๋พลันหันกลับมาจ้องเขา “สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของข้าเป็นสำนักธรรมะมีชื่อ คำสัญญามีค่าดุจทองพันชั่ง ไม่มีทางผิดคำพูดเด็ดขาด ครานั้นอาจารย์อารับปากผู้อื่นไว้ หากพูดแล้วไม่ทำตามที่พูด สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของข้าจะมิถูกผู้คนหัวเราะเยาะเอารึ? ยามนี้อาจารย์อาไม่อยู่แล้ว หนี้น้ำใจที่อาจารย์อาติดค้างเอาไว้ หากเจ้าไม่ชดใช้แล้วผู้ใดจะชดใช้?”
หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจเอ่ยว่า “คนเขาต้องการฝ่าซือคุ้มกัน ข้าไปจะทำอะไรได้ อย่างข้านี่นับเป็นฝ่าซือได้หรือ?”
ถังอี๋กล่าวว่า “ท่านอ๋องน้อยมีฐานะเช่นใดเล่า? เจ้าคิดว่าข้างกายเขาขาดคนคุ้มกันอย่างนั้นหรือ? ในสำนักมีคนไม่รู้มากน้อยเท่าไรที่อยากไปเป็นฝ่าซือข้างกายท่านอ๋องน้อย แต่เขามาหาอาจารย์อาโดยเฉพาะ ไหนเจ้าลองว่ามาซิว่าควรทำอย่างไรเล่า?”
หนิวโหย่วเต้าจ้องตานาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าจำเป็นต้องไปสินะ?”
ด้วยแววตาขณะที่กล่าววาจานี้ ทำให้ถังอี๋ต้องผินหน้าหลบสายตาเขา “ถ้าเจ้าไม่ไปก็เท่ากับเป็นการทำลายชื่อเสียงของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ต้องรับโทษอย่างหนักตามกฎสำนัก!”
มุมปากของหนิวโหย่วเต้ายกขึ้นเล็กน้อย เผยความรู้สึกเย้ยหยันตนเองออกมา ยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “เห็นทีข้าคงไม่มีทางเลือกอื่นเสียแล้ว เอาเถอะ ในเมื่อเป็นหนี้น้ำใจที่อาจารย์ติดค้างไว้ เช่นนั้นข้าก็จะใช้คืนให้!”
เมื่อเห็นว่าเขารับปากแล้ว ถังอี๋ก็มิได้กล่าวอะไรอีก หากแต่หันหลังเดินจากไป
ทั้งสองกลับเข้ามาในสวนอีกครั้ง หนิวโหย่วเต้ารับกระบี่เล่มนั้นเอาไว้ นี่เท่ากับว่ายอมตกลงแล้ว เขาหยิบกระบี่ขึ้นมาต่อหน้าสตรีทั้งสอง ชักกระบี่ออกมา ส่องประกายเย็นยะเยือก ตัวกระบี่แฝงลวดลาย เร้นจิตสังหารเจือความเยียบเย็น อดกล่าวชมขึ้นมาไม่ได้ว่า “กระบี่ดี!”
บริเวณด้ามกระบี่สลักอักษรไว้สี่คำ ‘หลั่งเลือดภักดี’ เขาไม่ทราบว่านี่ใช่กระบี่ของตงกัวเฮ่าหรานหรือไม่ แต่อักษรที่สลักเอาไว้ให้ความรู้สึกโศกเศร้าน่าหดหู่อยู่หลายส่วน
ภายในห้องโถงเงียบวังเวง ถังซู่ซู่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลม ถังอี๋ค่อยๆ เดินเข้ามาข้างกายถังซู่ซู่ ทำความเคารพพลางเอ่ยเรียก “ผู้อาวุโส!”
ถังซู่ซู่เอ่ยถาม “เจ้าสำนัก จัดการเรียบร้อยแล้วหรือ?”
ถังอี๋ตอบ “อืม” คำหนึ่ง ไม่พูดอะไรต่ออีก
ถังซู่ซู่ถาม “เจ้าสำนักคงรู้สึกว่าข้าทำเกินไปกระมัง?”
ถังอี๋กล่าวตอบ “ข้าเพียงรู้สึกว่าในเมื่อครานั้นเป็นสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่ได้รับความกรุณาจากหนิงอ๋อง เช่นนั้นก็สมควรให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เป็นผู้ชดใช้คืน ไยต้องผลักภาระทั้งหมดไปให้อาจารย์อาตงกัวด้วย”
ถังซู่ซู่เอ่ยว่า “แล้วเขามิใช่ศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือ? อีกอย่างครั้งนั้นก็เป็นตัวตงกัวเฮ่าหรานเองที่ฝากกระบี่มอบคำมั่นสัญญาไว้ เวลานี้บุตรธิดาของหนิงอ๋องพานพบปัญหา คำสัญญาที่อาจารย์รับปากไว้ ศิษย์ชดใช้แทนก็นับเป็นเรื่องสวมควร ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม”
ถังอี๋ก้มหน้ามองพื้น ถอนหายใจเบาๆ “พวกเขาสองพี่น้องมิใช่คนโง่ หนิวโหย่วเต้ามีความสามารถหรือไม่ ช้าเร็วพวกเขาต้องจับพิรุธได้แน่ เมื่อถึงเวลานั้นย่อมทราบว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หลอกลวงพวกเขา”
ถังซู่ซู่เอ่ยว่า “เช่นนั้นแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า? หากเป็นคนฉลาดจริง ก็น่าจะรู้ว่าไม่ควรมาหาสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ในเวลานี้ ไม่ควรทำให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ลำบาก พวกเขามาหาถึงสำนัก สำนักฝ่ายธรรมมะอย่างสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เราก็ไม่อาจผิดคำพูดได้ ย่อมต้องทำตามที่สัญญาไว้ มอบคนให้พวกเขา พวกเขายังต้องการอะไรอีก”
ถังอี๋โต้แย้ง “แต่การที่พวกเราทำเช่นนี้ มันเท่ากับส่งหนิวโหย่วเต้าไปตาย”
ถังซู่ซู่ค่อยๆ ลุกขึ้นมา จ้องมองสองตาของนาง “เจ้าสำนัก ท่านคงมิได้มีใจให้เขาไปจริงๆ กระมัง? เจ้าสำนักต้องทราบเอาไว้เรื่องหนึ่ง สิ่งที่ไหล่ของท่านแบกรับอยู่คือการฟื้นฟูความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ พวกเราเหล่าผู้อาวุโสทุ่มเทกำลังช่วยให้ท่านได้รับตำแหน่งนี้มา เพราะคาดหวังในตัวท่าน ท่านไม่ควรหลงลืมภาระหน้าที่เพราะเรื่องรักใคร่ชายหญิง!”
ถังอี๋ส่ายหน้า “ผู้อาวุโสคิดมากไปแล้ว ข้าและเขาเป็นสามีภรรยากันเพียงแต่ในนามเท่านั้น กระทั่งพบหน้าก็เพียงเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง ไหนเลยจะมีเรื่องรักใคร่ชายหญิงอันใดได้ ข้าเพียงรู้สึกว่าที่พวกเราทำเช่นนี้ มันใช่การกระทำของสำนักฝ่ายธรรมะหรือ?”
ถังซู่ซู่ประหนึ่งแมวถูกเหยียบหาง ร้องเสียงแหลมขึ้นมา “นั่นเป็นเพราะตงกัวเฮ่าหรานหาเรื่องใส่ตัวเอง เขารู้ดีอยู่แล้วว่าการกระทำของหนิงอ๋องได้สร้างความขุ่นข้องให้แก่ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วหล้า ไม่ช้าก็เร็วต้องไม่ตายดี แต่เขาก็ยังไปกล้าคบค้าสมาคมกับหนิงอ๋อง ครานั้นศิษย์พี่อยากให้เขารับตำแหน่งเจ้าสำนัก แต่ก็ถูกผู้อาวุโสทั้งหลายปรามไว้ และความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่ทุกคนคาดการณ์นั้นถูกต้อง ยามนี้จุดจบของหนิงอ๋องเป็นอย่างไรเล่า? หากเราเข้าไปคลุกคลีด้วยจริงๆ เจ้าคิดว่าคนพวกนั้นจะละเว้นสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือ? กระทั่งเวลาเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็ยังมาหาสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีก นี่มิได้เรียกว่าสร้างเรื่องเดือดร้อนให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือไร? ด้วยตัวสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ในยามนี้ไม่อาจทนรับปัญหาใหญ่ได้แล้ว หากทำพลาดอาจทำให้สำนักต้องล่มจม เจ้าเป็นเจ้าสำนัก ควรรู้จักหนักเบาบ้าง!”
ถังอี๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ผู้อาวุโสคล้ายจะลืมไปจุดหนึ่ง เขาคือสามีในนามของข้า การให้เขาออกหน้า หากข่าวแพร่ออกไป มันจะต่างอะไรกับการที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เข้าไปร่วมคลุกคลีเอง?”
คล้ายจะตระหนักได้ว่าตนเสียมารยาท ถังซู่ซู่จึงสงบอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ เอ่ยขึ้นมาว่า “แม่หนู เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก ข้าจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว ต่อไปจะไม่มีอะไรมาพัวพันเกี่ยวข้องกับพวกเราอีก ตอนนี้ตำแหน่งเจ้าสำนักของเจ้ามั่นคง ไม่จำเป็นต้องเก็บเมล็ดพันธุ์แห่งปัญหาใดๆ เอาไว้อีก!”
ถังอี๋พลันตระหนก ตระหนักได้ถึงความนัยจากวาจาของนาง ม่านตาหดตัวจ้องนางเขม็ง
……………………………………………………..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า