ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 216

ตอนที่ 216 ของขวัญชิ้นใหญ่

ตุบ!

เสียงหล่นกระแทกดังขึ้นภายในเขตกำแพงเรือน เถาเยี่ยนเอ๋อร์ที่โน้มตัวถือพู่กันคัดตัวอักษรแถวแล้วแถวเล่าอยู่ภายในห้องเงยหน้าขึ้นมา มองไปทางลู่เซิ่งจงที่นั่งขัดสมาธิพลางหลับตาพักผ่อนอยู่

เมื่อเห็นเขาไม่ตอบสนอง เถาเยี่ยนเอ๋อร์วางพู่กันลง ลุกออกจากโต๊ะ เดินออกไปหยิบก้อนกระดาษก้อนหนึ่ง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางมาเก็บก้อนกระดาษแบบนี้

นางไม่ได้แกะก้อนกระดาษออก หากแต่เดินกลับเข้าไปในห้อง เข้าไปหาลู่เซิ่งจง ยื่นก้อนกระดาษออกไปพลางเอ่ยเรียกด้วยเสียงอ่อนหวาน “ท่านพี่”

ลู่เซิ่งจงลืมตาขึ้น รับก้อนกระดาษไป กางกระดาษออก วางก้อนหินที่อยู่ในก้อนกระดาษไว้ด้านข้าง

เถาเยี่ยนเอ๋อร์ทราบดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ตนควรจะมองดู จึงหันหลังเดินออกไป หลบออกมาอยู่ในลานเรือน

นางเดินวนไปมาอยู่ในลานเรือน ไม่ทราบว่าลู่เซิ่งจงกำลังทำอะไรอยู่ แล้วก็ไม่ทราบว่าลู่เซิ่งจงต้องการทำสิ่งใดกันแน่ แต่สำหรับสตรีฉลาดเฉลียวที่แตกฉานในพิณภาพหมากตำราคนหนึ่งแล้ว นางสามารถตระหนักได้ถึงคลื่นน้ำปั่นป่วนที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ จากพฤติกรรมแปลกๆ ของลู่เซิ่งจง

นางเดินกลับไปกลับมาอยู่พักหนึ่ง สองมือประสานกันตรงหน้าท้อง เงยใบหน้าที่งดงามดั่งถูกรูปวาด มองท้องฟ้าอันสดใส บนท้องนภาสีครามมีวิหคโผบิน ดูมีความสุขและมีอิสระเป็นอย่างมาก ทำให้คนรู้สึกโหยหา

ลู่เซิ่งจงที่อยู่ในห้องเดินกลับไปกลับมา ถือจดหมายลับไว้ในมือ เดินไปนั่งลงข้างโต๊ะ สายตากวาดมองคราหนึ่ง จ้องมองตัวอักษรอ่อนช้อยในกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ อ่านทวนตัวอักษรดู เป็นกลอนบทหนึ่งที่เกี่ยวกับการเดินทางไกล

ตัวอักษรเขียนได้งดงามนัก ทำให้ลู่เซิ่งจงสะท้อนใจเป็นอย่างยิ่ง เกรงว่าคุณหนูในตระกูลใหญ่ทั่วๆ ไปก็ยังไม่มีความสามารถขนาดนี้เลย เพื่อหาเงินแล้ว หอนางโลมพวกนั้นเรียกได้ลงทุนไปกับคณิการะดับสูงเหล่านี้ไปไม่น้อยทีเดียว

เขาปัดแผ่นกระดาษที่เขียนตัวอักษรอ่อนช้อยงดงามออกไปไว้ด้านข้าง ยกพู่กันขึ้นมาแปลเนื้อหาในจดหมายลับ

หลังอ่านทวนและจดจำคำสั่งในจดหมายลับเรียบร้อยแล้ว เขาจุดไฟ เผาจดหมายลับพร้อมกับเนื้อหาที่ถอดความออกมาในถ้วยล้างพู่กัน จากนั้นตะโกนเรียก “เยี่ยนเอ๋อร์”

เถาเยี่ยนเอ๋อร์ที่อยู่นอกห้องเดินเข้ามา ยืนมองเขาอยู่ข้างโต๊ะ

ลู่เซิ่งจงใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม “วันนี้อู่เทียนหนานจะมาหรือเปล่า?”

เถาเยี่ยนเอ๋อร์ตอบ “น่าจะมาเจ้าค่ะ ตกลงกันไว้แล้วว่าวันนี้จะประลองหมากกัน”

เพิ่งเอ่ยมาถึงตรงนี้ ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังแว่วขึ้นมาพร้อมกับเสียงของอู่เทียนหนาน “พี่เถา!”

สอง ‘พี่น้อง’ สบตากัน พูดถึงก็มาเลย

ลู่เซิ่งจงพยักพเยิดหน้าไปทางขี้เถ้าในถ้วยล้างพู่กัน จากนั้นลุกขึ้นยืน เดินออกไปพลางขานรับ “มาแล้ว”

เถาเยี่ยนเอ๋อร์รีบนำถ้วยล้างพู่กันไปล้างให้สะอาด

เมื่อประตูเรือนเปิดออก อู่เทียนหนานที่มีสีหน้ายิ้มแย้มถือกล่องอาหารใบหนึ่งไว้ หัวเราะร่าพลางเอ่ยเรียก “พี่เถา”

เมื่อทักทายลู่เซิ่งจงเสร็จเรียบร้อย เขาก็เดินเข้าประตูไป เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

ลู่เซิ่งจงปิดประตูบ้านแล้วหันกลับมาถาม “เจ้าถืออะไรมาด้วย?”

อู่เทียนหนานยกกล่องอาหารขึ้นมา “สุราอาหารเลิศรสจากร้านแปดทรัพย์ ใกล้ถึงเวลาอาหารแล้ว น้องเยี่ยนเอ๋อร์จะได้ไม่ต้องลงมือเข้าครัว”

ลู่เซิ่งจงเอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้เลย”

อู่เทียนหนานกล่าวว่า “พี่เถาต่างหากที่เกรงใจเกินไปแล้ว คนบ้านเดียวกันทั้งนั้น”

ลู่เซิ่งจงหัวเราะฮ่าๆ ส่ายหน้าเล็กน้อย ไม่พูดอะไรอีก

ทั้งสองเข้าไปในบ้าน เห็นเถาเยี่ยนเอ๋อร์กำลังนั่งตัวตรงคัดอักษรอยู่ อู่เทียนหนานมองดูท่วงท่าอ่อนช้อยงามสง่านั้นด้วยความหลงใหล กระทั่งเถาเยี่ยนเอ๋อร์เงยหน้ามองมา ถึงได้หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “น้องเยี่ยนเอ๋อร์คัดลายมืออยู่หรือ?”

เถาเยี่ยนเอ๋อร์วางพู่กันลง ลุกขึ้นคำนับ “พี่อู่”

อู่เทียนหนานวางกล่องอาหารลง เดินเข้าไปดูตัวอักษรบนโต๊ะ ปรบมือชมเชย “น้องเยี่ยนเอ๋อร์มีความสามารถจริงๆ!”

เถาเยี่ยนเอ๋อร์กล่าวอย่างสำรวมขวยเขินว่า “พี่อู่ชมเกินไปแล้ว แค่เพียงเลียนแบบให้ดูดีเท่านั้น เทียบกับพี่อู่ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”

“ข้าหาได้เยินยอไม่ เจ้ามีความสามารถจริงๆ ดูตัวอักษรนี้สิ!” อู่เทียนหนานชี้ตัวอักษรในกระดาษ ส่ายหน้าไปมาพลางกล่าวว่า “ข้าละอายตัวเองนัก”

ลู่เซิ่งจงถอนใจพลางเอ่ยว่า “พวกเจ้าอย่าเอาแต่ยอกันไปยอกันมาเลย เยี่ยนเอ๋อร์ เทียนหนานนำอาหารมาด้วย เจ้าไปจัดการเถอะ”

เถาเยี่ยนเอ๋อร์ค้อมกายให้อู่เทียนหนานเล็กน้อย หันหลังรีบออกไปจัดเตรียมอาหาร

ผ่านไปครู่หนึ่ง สุราอาหารถูกจัดใส่จานยกขึ้นโต๊ะ

บนโต๊ะ หลังจากทั้งสามยกจอกคารวะกันเล็กน้อยแล้ว จู่ๆ ลู่เซิ่งจงก็เอ่ยถามว่า “น้องอู่ เหตุใดถึงเห็นเจ้าอยู่ในมหานครเป่ยโจวบ่อยๆ เล่า ไม่ต้องกลับไปที่อำเภอผิงชวนหรือ?”

อู่เทียนหนานผงะไปเล็กน้อย ค่อยๆ วางจอกสุราลง ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ “อยู่ต่อหน้าพี่เถาและน้องเยี่ยนเอ๋อร์เช่นนี้ ข้าก็ขอกล่าวอย่างไม่ปิดบังแล้วกัน สถานการณ์ของมณฑลเป่ยโจวพวกท่านก็น่าจะพอทราบอยู่ สถานการณ์ที่นี่ค่อนข้างพิเศษ หลังแยกตัวออกมาจากแคว้นเยี่ยน ทางแคว้นเยี่ยนก็ไม่อาจเข้ามาจัดการได้ ส่วนทางแคว้นหานก็ไม่กล้าบีบคั้นจนเกินไป ดังนั้นในพื้นที่แถบนี้ ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจอย่างแท้จริงนั้นอยู่ในมหานครเป่ยโจวแห่งนี้ ข้าใช้ชีวิตอยู่ในตัวมหานครแห่งนี้มานานแล้ว แล้วก็คิดจะพึ่งพาเส้นสายเพื่อหางานที่เหมาะสมสักอย่างทำ”

ลู่เซิ่งจงร้องโอ้ กล่าวไปว่า “บิดาเจ้าเป็นปลัดอำเภอผิงชวน หรือว่ายังไม่สามารถจัดสรรตำแหน่งงานดีๆ ในอำเภอผิงชวนให้เจ้าได้อีก?”

อู่เทียนหนานกล่าวว่า “อำเภอผิงชวนเป็นพื้นที่ยากจน ตำแหน่งงานดีๆ จะดีได้สักแค่ไหนกัน? ความทะเยอทะยานของข้าไม่ได้อยู่แค่ในอำเภอผิงชวน หากแต่หวังจะไต่เต้ามารับตำแหน่งในมหานครเป่ยโจวแห่งนี้”

เขาวางท่าทะเยอทะยานใฝ่สูง พลางเหลือบมองท่าทีของเถาเยี่ยนเอ๋อร์ที่นั่งสำรวมอยู่

ลู่เซิ่งจงพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยว่า “อย่างนี้นี่เอง! เรื่องผู้ปกครองมณฑลเป่ยโจว ทุกคนต่างทราบดีว่าเป็นตระกูลเซ่า บิดาเจ้าดีร้ายอย่างไรก็เป็นถึงปลัดอำเภอ ไยจึงไม่ให้บิดาเจ้าไปขอร้องเซ่าเติงอวิ๋นเล่า”

อู่เทียนหนานพลันยิ้มขมขื่น “ปลัดอำเภอเป็นขุนนางใหญ่ในอำเภอผิงชวน แต่ในมหานครเป่ยโจวแห่งนี้ไม่ได้มีค่าอะไรเลย ผู้ว่าการมณฑลเป่ยโจวไหนเลยจะใช่คนที่ท่านพ่อข้านึกอยากพบก็เข้าพบได้”

เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาก็คล้ายว่ากลัวจะถูกสองพี่น้องดูแคลนตน จึงยืดอกเชิดหน้าพลางกล่าวต่อว่า “แต่ข้าก็หาลู่ทางได้แล้ว ตอนนี้ข้าไปผูกสัมพันธ์กับบุตรชายของผู้ว่าการมณฑลแล้ว เชื่อว่าไม่ช้าจะต้องเห็นผลแน่”

ลู่เซิ่งจงกำลังคิดจะชักจูงเข้าประเด็นนี้พอดี ไม่คิดเลยว่าอู่เทียนหนานจะเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง นี่กลับลดความยุ่งยากที่ต้องพูดจาอ้อมค้อมให้เขาได้ เขาเอ่ยถามเสียงเรียบเฉย “ได้ยินว่าเซ่าเติงอวิ๋นมีบุตรชายสามคน ไม่ทราบว่าน้องอู่เข้าหาคุณชายท่านใดหรือ?”

อู่เทียนหนานตอบ “คุณชายรองกับคุณชายสาม”

ลู่เซิ่งจงร้องอ่อ ถามต่อว่า “เหตุใดข้าถึงได้ยินมาว่าเซ่าผิงปอที่เป็นคุณชายใหญ่ต่างหากถึงจะเป็นผู้กุมอำนาจของมณฑลเป่ยโจวอย่างแท้จริง”

อู่เทียนหนานกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาเองก็อยากตีสนิทเซ่าผิงปอ แต่ก็ควรจะตีสนิทได้ด้วยมิใช่หรือ อีกฝ่ายไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย จึงเอ่ยแก้ต่างว่า “คุณชายใหญ่ยุ่งเกินไป ตอนนี้ยังไม่มีโอกาสได้พบปะ รอให้มีโอกาสเหมาะสม ข้าย่อมต้องไปคารวะแน่”

“ไม่ดี!” ลู่เซิ่งจงส่ายหน้าเล็กน้อย

อู่เทียนหนานแปลกใจ “วาจานี้ของพี่เถาหมายความว่าอย่างไร?”

ลู่เซิ่งจงเอ่ยว่า “เซ่าผิงปออาจจะต้องเผชิญปัญหาใหญ่ ข้าขอเตือนน้องอู่ว่าอย่าหาเรื่องใส่ตัวจะดีกว่า อยู่ห่างจากเขาไว้สักหน่อยจะดีที่สุด”

อู่เทียนหนานแปลกใจยิ่งกว่าเดิม “เหตุใดพี่เถาจึงกล่าวเช่นนี้?”

ลู่เซิ่งจงแสร้งทำท่าลังเลเล็กน้อย คล้ายไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่ สุดท้ายเอ่ยออกมาว่า “ว่ากันตามหลักแล้ว เรื่องบางอย่างข้าไม่สมควรเล่า แต่เห็นแก่ไมตรีที่น้องอู่มีให้ ซ้ำยังเป็นคนบ้านเดียวกัน ข้าจะบอกน้องอู่ให้รู้ไว้ เพียงแต่หากข้าเล่าเรื่องนี้ไปแล้ว เจ้าก็ฟังแล้วปล่อยผ่านไปเสีย ห้ามนำไปพูดเด็ดขาดว่าข้าเป็นคนเล่า ข้าไม่อยากสร้างปัญหาเดือดร้อนใดๆ มิเช่นนั้นพวกเราสองพี่น้องก็ทำได้เพียงหลบลี้หนีห่างไป คงไม่ได้พบกับน้องอู่อีกแล้ว”

“พี่เถาเห็นข้าเป็นคนปากมากหรือไร?” อู่เทียนหนานมองเถาเยี่ยนเอ๋อร์เล็กน้อย ตบอกกล่าวรับรองว่า “พี่เถาว่ามาได้เลย ไม่มีทางเดือดร้อนไปถึงพี่เถาแน่นอน”

เถาเยี่ยนเอ๋อร์เหลือบมองลู่เซิ่งจงเล็กน้อย ไม่ทราบว่าเขาต้องการทำสิ่งใด

ลู่เซิ่งจงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เล่าออกมา “ถึงแม้ข้าจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวในมณฑลเป่ยโจวมากนัก แต่ข้ากลับรู้เรื่องราวในโลกบำเพ็ญเพียรอยู่พอสมควร ก่อนหน้านี้มีเพลงกล่อมเด็กที่ขับขานถึงราชันเป่ยโจว ไม่ทราบว่าน้องอู่เคยได้ยินหรือไม่?”

อู่เทียนหยางพยักหน้าหงึกๆ “ย่อมเคยได้ยิน เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าหมายจะเล่นงานคุณชายใหญ่ เพียงแต่ทุกคนกล้าวิจารณ์แค่ลับหลังเท่านั้น ไม่มีใครกล้าวิจารณ์อย่างเปิดเผย หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้?”

ลู่เซิ่งจงพยักหน้ารับ ถามอีกว่า “น้องอู่เคยได้ยินเรื่องของถังอี๋แห่งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือไม่?”

อู่เทียนหนานหัวเราะฮี่ๆ ขึ้นมา จากนั้นคล้ายจะรู้ตัวว่าทำตัวหยาบโลนต่อหน้าเถาเยี่ยนเอ๋อร์ไปเสียแล้ว จึงรีบหุบยิ้ม พยักหน้าพลางเอ่ยว่า “เคยได้ยิน ลือกันว่าคุณชายใหญ่ชมชอบเจ้าสำนักผู้นี้ คอยเกี้ยวพาอยู่เนืองๆ”

ลู่เซิ่งจงกล่าวว่า “ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละ ถังอี๋คนนี้เป็นหญิงมีสามี สามีของนางนามว่าหนิวโหย่วเต้า เป็นผู้บำเพ็ญเพียรเช่นกัน อีกทั้งเป็นฝ่าซือติดตามคนสนิทของยงผิงจวิ้นอ๋องแห่งแคว้นเยี่ยน นับว่าเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง ความแค้นฐานแย่งชิงภรรยาไหนเลยจะเป็นเรื่องเล็กน้อยได้? แล้วก็เป็นเพราะเรื่องนี้ หนิวโหย่วเต้าถึงได้คิดเล่นงานคุณชายใหญ่ เพลงกล่อมเด็กนั่นก็มาจากหนิวโหย่วเต้า ต่อมาเซ่าผิงปอโต้กลับ ส่งคนตามไปลอบสังหารหนิวโหย่วเต้าที่หอหิมะเหมันต์…”

เรื่องราวทางหอหิมะเหมันต์ที่ถูกเรียบเรียงขึ้นมาใหม่ทว่าไม่ได้ห่างไกลจากความเป็นจริงนักถูกเล่าออกมาอย่างฉะฉาน อู่เทียนหนานฟังจนตกตะลึงตาค้าง ยามปกติไหนเลยจะมีโอกาสได้ฟังเรื่องราวเช่นนี้ สำหรับเขาแล้ว หอหิมะเหมันต์เรียกได้ว่าอยู่ห่างไกลจากเขาราวฟ้ากับดิน ที่นั่นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นแหล่งชุมนุมของเทพเซียนเลยทีเดียว

เถาเยี่ยนเอ๋อร์นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ทว่าอารมณ์กลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง มีความรู้สึกบางอย่าง รู้สึกว่าแผนการดำเนินมาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว

ที่ผ่านมาไม่เข้าใจเลยว่าลู่เซิ่งจงต้องการจะทำอะไร นางตระหนักได้ว่า ในที่สุดวันนี้ลู่เซิ่งจงก็ได้เผยโฉมหน้าโหดเหี้ยมออกมาแล้ว

……

หลังลาจากทางนี้ไป อู่เทียนหนานที่เดินไปตามท้องถนนอย่างเชื่องช้ากำลังคิดไตร่ตรองถึงผลดีผลเสียอยู่ เขาทราบดีว่าโอกาสสำคัญอยู่ตรงหน้าตัวเองแล้ว แต่จะให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้ เขาเองก็ค่อนข้างหวาดกลัวเช่นกัน

หลังจากลังเลอยู่นาน อู่เทียนหนานพลันกำสองมือแน่น คล้ายตัดสินใจได้แล้ว ก้าวอาดๆ จากไป

……

ด้านนอกจวนผู้ว่าการมณฑลเป่ยโจว อู่เทียนหนานมาคอยอยู่นานแล้ว ใครคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านในประตู เอ่ยทักทายกันเล็กน้อย ยามเฝ้าประตูถึงได้ปล่อยเขาเข้าไป

บริเวณมุมถนน หลังจากลู่เซิ่งจงที่คอยแอบจับตามองได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เดิมทีเขาคิดจะใช้เรื่องการแต่งงานกับเถาเยี่ยนเอ๋อร์มาเป็นข้ออ้างในการเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนจะไม่จำเป็นแล้ว อู่เทียนหนานคนนี้ ‘รู้ความ’ กว่าที่เขาคาดการณ์ไว้

ลู่เซิ่งจงหันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว มายังเหลาสุราในถนนเส้นหนึ่ง เข้าไปสั่งสุราหนึ่งไห เขาฉวยโอกาสตอนที่คนไม่ทันสังเกต ยัดกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกพับทบกันจนเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่มือเสี่ยวเอ้อคนหนึ่ง จากนั้นหิ้วสุราเดินอาดๆ ออกไป

ยามกลับมาถึงหน้าประตูเรือน เขาเอารถม้าคันหนึ่งกลับมาด้วย

เขาลงจากรถม้า ผลักประตูเดินเข้าไป ตรงไปที่ห้องนอน เดินไปหยุดข้างกายเถาเยี่ยนเอ๋อร์ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ยื่นนิ้วออกไปกดจุด คลายผนึกบนร่างนาง เอ่ยกับเถาเยี่ยนเอ๋อร์ที่ลุกนั่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า “ไปเถอะ!”

ผ่านไปครู่หนึ่ง สองพี่น้องก้าวออกจากประตู เถาเยี่ยนเอ๋อร์มุดเข้าไปในรถม้า ลู่เซิ่งจงบังคับรถม้า มุ่งหน้าออกจากเมืองไป

…..

ณ จวนผู้ว่าการมณฑล อู่เทียนหนานรออยู่ในโถงรับแขกเป็นเวลานาน กว่าจะเห็นสองพี่น้องเซ่าอู๋ปอและเซ่าฝูปอเดินอ้อยอิ่งออกมา

สายตาที่สองพี่น้องมองดูอู่เทียนหนานแฝงไว้ด้วยความรังเกียจเล็กน้อย รู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ค่อยรู้ความ รู้จักก็ส่วนรู้จักกัน แต่จวนผู้ว่าการมณฑลเป็นสถานที่ที่เจ้านึกจะมาก็มาได้หรือ

หากมิใช่เพราะได้ยินว่ามีของขวัญชิ้นใหญ่มากำนัลให้ สองพี่น้องไม่มีทางปล่อยให้เขาเข้าจวนมาแน่

“คุณชายรอง คุณชายสาม” อู่เทียนหนานค้อมกายก้มศีรษะเล็กน้อย

สองพี่น้องนั่งลงในโถงรับแขก เซ่าอู๋ปอไม่พูดไม่จา เซ่าฝูปอเลิกคิ้วเอ่ยถาม “บอกว่ามีของขวัญชิ้นใหญ่มิใช่หรือ? ของขวัญอยู่ที่ใดล่ะ?”

อู่เทียนหนานมองคนใช้ที่อยู่ตรงหน้าประตู เอ่ยอย่างลังเลว่า “ของขวัญชิ้นใหญ่มิใช่น้อย คุณชายทั้งสองพอจะ…”

เซ่าฝูปอพลันโบกมือส่งสัญญาณด้วยความหงุดหงิด หลังจากให้คนใช้ถอยออกไปแล้วก็เอ่ยถามว่า “ตอนนี้เอาออกมาได้หรือยัง?”

……………………………………………………….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า