ตอนที่ 216 ของขวัญชิ้นใหญ่
ตุบ!
เสียงหล่นกระแทกดังขึ้นภายในเขตกำแพงเรือน เถาเยี่ยนเอ๋อร์ที่โน้มตัวถือพู่กันคัดตัวอักษรแถวแล้วแถวเล่าอยู่ภายในห้องเงยหน้าขึ้นมา มองไปทางลู่เซิ่งจงที่นั่งขัดสมาธิพลางหลับตาพักผ่อนอยู่
เมื่อเห็นเขาไม่ตอบสนอง เถาเยี่ยนเอ๋อร์วางพู่กันลง ลุกออกจากโต๊ะ เดินออกไปหยิบก้อนกระดาษก้อนหนึ่ง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางมาเก็บก้อนกระดาษแบบนี้
นางไม่ได้แกะก้อนกระดาษออก หากแต่เดินกลับเข้าไปในห้อง เข้าไปหาลู่เซิ่งจง ยื่นก้อนกระดาษออกไปพลางเอ่ยเรียกด้วยเสียงอ่อนหวาน “ท่านพี่”
ลู่เซิ่งจงลืมตาขึ้น รับก้อนกระดาษไป กางกระดาษออก วางก้อนหินที่อยู่ในก้อนกระดาษไว้ด้านข้าง
เถาเยี่ยนเอ๋อร์ทราบดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ตนควรจะมองดู จึงหันหลังเดินออกไป หลบออกมาอยู่ในลานเรือน
นางเดินวนไปมาอยู่ในลานเรือน ไม่ทราบว่าลู่เซิ่งจงกำลังทำอะไรอยู่ แล้วก็ไม่ทราบว่าลู่เซิ่งจงต้องการทำสิ่งใดกันแน่ แต่สำหรับสตรีฉลาดเฉลียวที่แตกฉานในพิณภาพหมากตำราคนหนึ่งแล้ว นางสามารถตระหนักได้ถึงคลื่นน้ำปั่นป่วนที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ จากพฤติกรรมแปลกๆ ของลู่เซิ่งจง
นางเดินกลับไปกลับมาอยู่พักหนึ่ง สองมือประสานกันตรงหน้าท้อง เงยใบหน้าที่งดงามดั่งถูกรูปวาด มองท้องฟ้าอันสดใส บนท้องนภาสีครามมีวิหคโผบิน ดูมีความสุขและมีอิสระเป็นอย่างมาก ทำให้คนรู้สึกโหยหา
ลู่เซิ่งจงที่อยู่ในห้องเดินกลับไปกลับมา ถือจดหมายลับไว้ในมือ เดินไปนั่งลงข้างโต๊ะ สายตากวาดมองคราหนึ่ง จ้องมองตัวอักษรอ่อนช้อยในกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ อ่านทวนตัวอักษรดู เป็นกลอนบทหนึ่งที่เกี่ยวกับการเดินทางไกล
ตัวอักษรเขียนได้งดงามนัก ทำให้ลู่เซิ่งจงสะท้อนใจเป็นอย่างยิ่ง เกรงว่าคุณหนูในตระกูลใหญ่ทั่วๆ ไปก็ยังไม่มีความสามารถขนาดนี้เลย เพื่อหาเงินแล้ว หอนางโลมพวกนั้นเรียกได้ลงทุนไปกับคณิการะดับสูงเหล่านี้ไปไม่น้อยทีเดียว
เขาปัดแผ่นกระดาษที่เขียนตัวอักษรอ่อนช้อยงดงามออกไปไว้ด้านข้าง ยกพู่กันขึ้นมาแปลเนื้อหาในจดหมายลับ
หลังอ่านทวนและจดจำคำสั่งในจดหมายลับเรียบร้อยแล้ว เขาจุดไฟ เผาจดหมายลับพร้อมกับเนื้อหาที่ถอดความออกมาในถ้วยล้างพู่กัน จากนั้นตะโกนเรียก “เยี่ยนเอ๋อร์”
เถาเยี่ยนเอ๋อร์ที่อยู่นอกห้องเดินเข้ามา ยืนมองเขาอยู่ข้างโต๊ะ
ลู่เซิ่งจงใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม “วันนี้อู่เทียนหนานจะมาหรือเปล่า?”
เถาเยี่ยนเอ๋อร์ตอบ “น่าจะมาเจ้าค่ะ ตกลงกันไว้แล้วว่าวันนี้จะประลองหมากกัน”
เพิ่งเอ่ยมาถึงตรงนี้ ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังแว่วขึ้นมาพร้อมกับเสียงของอู่เทียนหนาน “พี่เถา!”
สอง ‘พี่น้อง’ สบตากัน พูดถึงก็มาเลย
ลู่เซิ่งจงพยักพเยิดหน้าไปทางขี้เถ้าในถ้วยล้างพู่กัน จากนั้นลุกขึ้นยืน เดินออกไปพลางขานรับ “มาแล้ว”
เถาเยี่ยนเอ๋อร์รีบนำถ้วยล้างพู่กันไปล้างให้สะอาด
เมื่อประตูเรือนเปิดออก อู่เทียนหนานที่มีสีหน้ายิ้มแย้มถือกล่องอาหารใบหนึ่งไว้ หัวเราะร่าพลางเอ่ยเรียก “พี่เถา”
เมื่อทักทายลู่เซิ่งจงเสร็จเรียบร้อย เขาก็เดินเข้าประตูไป เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ลู่เซิ่งจงปิดประตูบ้านแล้วหันกลับมาถาม “เจ้าถืออะไรมาด้วย?”
อู่เทียนหนานยกกล่องอาหารขึ้นมา “สุราอาหารเลิศรสจากร้านแปดทรัพย์ ใกล้ถึงเวลาอาหารแล้ว น้องเยี่ยนเอ๋อร์จะได้ไม่ต้องลงมือเข้าครัว”
ลู่เซิ่งจงเอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้เลย”
อู่เทียนหนานกล่าวว่า “พี่เถาต่างหากที่เกรงใจเกินไปแล้ว คนบ้านเดียวกันทั้งนั้น”
ลู่เซิ่งจงหัวเราะฮ่าๆ ส่ายหน้าเล็กน้อย ไม่พูดอะไรอีก
ทั้งสองเข้าไปในบ้าน เห็นเถาเยี่ยนเอ๋อร์กำลังนั่งตัวตรงคัดอักษรอยู่ อู่เทียนหนานมองดูท่วงท่าอ่อนช้อยงามสง่านั้นด้วยความหลงใหล กระทั่งเถาเยี่ยนเอ๋อร์เงยหน้ามองมา ถึงได้หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “น้องเยี่ยนเอ๋อร์คัดลายมืออยู่หรือ?”
เถาเยี่ยนเอ๋อร์วางพู่กันลง ลุกขึ้นคำนับ “พี่อู่”
อู่เทียนหนานวางกล่องอาหารลง เดินเข้าไปดูตัวอักษรบนโต๊ะ ปรบมือชมเชย “น้องเยี่ยนเอ๋อร์มีความสามารถจริงๆ!”
เถาเยี่ยนเอ๋อร์กล่าวอย่างสำรวมขวยเขินว่า “พี่อู่ชมเกินไปแล้ว แค่เพียงเลียนแบบให้ดูดีเท่านั้น เทียบกับพี่อู่ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
“ข้าหาได้เยินยอไม่ เจ้ามีความสามารถจริงๆ ดูตัวอักษรนี้สิ!” อู่เทียนหนานชี้ตัวอักษรในกระดาษ ส่ายหน้าไปมาพลางกล่าวว่า “ข้าละอายตัวเองนัก”
ลู่เซิ่งจงถอนใจพลางเอ่ยว่า “พวกเจ้าอย่าเอาแต่ยอกันไปยอกันมาเลย เยี่ยนเอ๋อร์ เทียนหนานนำอาหารมาด้วย เจ้าไปจัดการเถอะ”
เถาเยี่ยนเอ๋อร์ค้อมกายให้อู่เทียนหนานเล็กน้อย หันหลังรีบออกไปจัดเตรียมอาหาร
ผ่านไปครู่หนึ่ง สุราอาหารถูกจัดใส่จานยกขึ้นโต๊ะ
บนโต๊ะ หลังจากทั้งสามยกจอกคารวะกันเล็กน้อยแล้ว จู่ๆ ลู่เซิ่งจงก็เอ่ยถามว่า “น้องอู่ เหตุใดถึงเห็นเจ้าอยู่ในมหานครเป่ยโจวบ่อยๆ เล่า ไม่ต้องกลับไปที่อำเภอผิงชวนหรือ?”
อู่เทียนหนานผงะไปเล็กน้อย ค่อยๆ วางจอกสุราลง ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ “อยู่ต่อหน้าพี่เถาและน้องเยี่ยนเอ๋อร์เช่นนี้ ข้าก็ขอกล่าวอย่างไม่ปิดบังแล้วกัน สถานการณ์ของมณฑลเป่ยโจวพวกท่านก็น่าจะพอทราบอยู่ สถานการณ์ที่นี่ค่อนข้างพิเศษ หลังแยกตัวออกมาจากแคว้นเยี่ยน ทางแคว้นเยี่ยนก็ไม่อาจเข้ามาจัดการได้ ส่วนทางแคว้นหานก็ไม่กล้าบีบคั้นจนเกินไป ดังนั้นในพื้นที่แถบนี้ ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจอย่างแท้จริงนั้นอยู่ในมหานครเป่ยโจวแห่งนี้ ข้าใช้ชีวิตอยู่ในตัวมหานครแห่งนี้มานานแล้ว แล้วก็คิดจะพึ่งพาเส้นสายเพื่อหางานที่เหมาะสมสักอย่างทำ”
ลู่เซิ่งจงร้องโอ้ กล่าวไปว่า “บิดาเจ้าเป็นปลัดอำเภอผิงชวน หรือว่ายังไม่สามารถจัดสรรตำแหน่งงานดีๆ ในอำเภอผิงชวนให้เจ้าได้อีก?”
อู่เทียนหนานกล่าวว่า “อำเภอผิงชวนเป็นพื้นที่ยากจน ตำแหน่งงานดีๆ จะดีได้สักแค่ไหนกัน? ความทะเยอทะยานของข้าไม่ได้อยู่แค่ในอำเภอผิงชวน หากแต่หวังจะไต่เต้ามารับตำแหน่งในมหานครเป่ยโจวแห่งนี้”
เขาวางท่าทะเยอทะยานใฝ่สูง พลางเหลือบมองท่าทีของเถาเยี่ยนเอ๋อร์ที่นั่งสำรวมอยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า