ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 23

ตอนที่ 23 คนผู้นี้ไม่ธรรมดา

ศิษย์คนสุดท้ายของตงกัวเฮ่าหรานหรือ? ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงตะลึงงัน อดไม่ได้ที่จะสบตากันอีกครั้ง

แม้นในใจจะนึกสงสัย แต่ก่อนที่จะได้ทราบความจริง ทั้งสองยังคงระงับยั้งใจเอาไว้ ประสานมือทักทายตามมารยาท “รบกวนฝ่าซือแล้ว”

หลังกล่าวทักทายพอเป็นพิธีและวางมือลงแล้ว หลานรั่วถิงก็กล่าวอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “ขออภัยที่แซ่หลานเสียมารยาท แซ่หลานและท่านตงกัวเองก็นับว่าเป็นสหายเก่ากัน ต่างฝ่ายต่างรู้จักกันอยู่พอสมควร ศิษย์สืบทอดของท่านตงกัวแซ่หลานล้วนรู้จักทั้งสิ้น แต่ไม่เคยได้ยินว่าท่านตงกัวมีศิษย์คนสุดท้ายนามหนิวโหย่วเต้าเลย”

เรื่องนี้ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของหนิวโหย่วเต้าแม้แต่น้อย จากที่ถังอี๋เรียกเขาว่าศิษย์น้องต่อหน้าคนนอกก็พอจะเข้าใจได้ว่านางไม่ต้องการให้คนนอกทราบถึงการมีอยู่ของเขา จึงยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เรื่องราวบางอย่างไม่สะดวกจะชี้แจง เอาเป็นว่าข้ามิได้โป้ปดแน่นอน หากมีโอกาสเหมาะสมข้าจะบอกให้ทราบถึงสาเหตุ”

หลานรั่วถิงเหลือบมองซางซูชิงด้วยสายตาแฝงความนัย เขาทราบดีว่าซางซูชิงเป็นสตรีเช่นใด มิใช่สตรีโง่เขลาที่ไร้สมองเหมือนอย่างสตรีทั่วไปแน่นอน จึงไม่ทราบว่าซางซูชิงเชิญคนผู้นี้มาด้วยเจตนาใด

พูดคุยกันเพียงเล็กน้อย จากนั้นทั้งขบวนก็เร่งเดินทางต่อ เพียงแต่หนิวโหย่วเต้าสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายดูจะไม่เป็นมิตรกับตนเท่าไร เขาถูกกระหนาบไว้กึ่งกลางขบวน คล้ายกำลังเฝ้าระวังเขา

อันที่จริงซางเฉาจงและหลานรั่วถิงคาดเดาความคิดของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ถูกแล้ว เกรงว่าพวกเขาคงจะส่งคนมาแบบขอไปทีเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ ขณะเดียวกันก็กังวลเล็กน้อยว่าหนิวโหย่วเต้าจะมีปัญหาอันใดหรือไม่ ด้วยเหตุนี้จึงเฝ้าระวังเขาเอาไว้

ระหว่างทางซางเฉาจงทิ้งระยะห่างจากหนิวโหย่วเต้า จากนั้นรอจังหวะ ก่อนจะฉวยโอกาสเอ่ยถามซางซูชิงว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าได้ขอให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ช่วยกำจัดปานบนหน้าหรือไม่?”

ซางซูชิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “เสด็จพี่ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลยจริงๆ ท่านตงกัวกล่าวไว้ถูกต้องแล้ว ในโลกอันวุ่นวายนี้ ความงดงามใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี ยิ่งไปกว่านั้นคือสถานการณ์ของพวกเราในเวลานี้ หากรูปโฉมของน้องโดดเด่นเกินไปจะกลับกลายเป็นนำพาความเดือดร้อนมาให้พวกเราได้ อัปลักษณ์สักหน่อยจะเป็นอะไรไป!”

หลานรั่วถิงได้ยินวาจานี้จึงส่ายหน้า สตรีคนใดบ้างจะไม่รักสวยรักงาม

ซางเฉาจงเอ่ยเสียงขรึม “ช้าเร็วเจ้าก็ต้องออกเรือน จะปิดหน้าไปชั่วชีวิตคงมิได้กระมัง!”

ซางซูชิงเอ่ยว่า “เสด็จพี่ ข้ามิใช่ผักหญ้าไร้ความรู้สึก ข้าเองก็โหยหาความรักชายหญิงเช่นกัน จนปัญญาที่เกิดผิดเวลา ท่านและข้าที่ถือกำเนิดในยุคสมัยอันวุ่นวายถูกลิขิตให้ถือกระบี่ตะลุยไปทั่วหล้า ความรักชายหญิงฟุ้งเฟ้อเกินไป เสด็จพี่ ท่านไม่จำเป็นต้องใส่ใจปานบนหน้าข้าจริงๆ คนทั่วไปข้าย่อมไม่ต้องตา ข้ามองว่าตนคือมุกงามในกองฝุ่น หากได้พบพานผู้ที่ไม่รังเกียจเดียดฉันท์กันจริงๆ เช่นนั้นถึงจะเป็นคนรักที่ข้าปรารถนาอย่างแท้จริง! เมื่อถึงเวลานั้นข้าย่อมต้องปัดฝุ่นบนกายทิ้งแล้วส่องประกายเยี่ยงไข่มุก! หากมีวาสนา เวลานั้นย่อมมาถึง หากไร้วาสนาก็เฝ้ารอคอยอย่างเงียบๆ ไม่จำเป็นต้องฝืนเลย!” นางควบม้าปะทะสายลม ม่านแพรปลิวไสว

แม้นคำพูดจะมีเหตุผล ตัวซางเฉาจงเองก็ไม่ปริปากแล้ว ทว่าใบหน้าของเขากลับคร่ำเคร่ง ภายในใจโศกศัลย์ สตรีทั่วไปอายุสิบหกสิบเจ็ดก็ต้องออกเรือนมีลูกแล้ว เพียงนึกชังที่ตนไร้ความสามารถทำให้น้องสาวต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย ติดอยู่ในคุกหลายปี ทำให้น้องสาวต้องเสียเวลากลายเป็นสาวแก่วัยเกือบยี่สิบปี ด้วยสถานการณ์ของตระกูลซางในยามนี้ ต่อให้ใบหน้าของน้องสาวไร้ปานอัปลักษณ์นั่น จะมีผู้ใดกล้าตบแต่งน้องสาวของตนเล่า? เป็นถึงท่านหญิงฐานะสูงส่ง จะเลือกคนส่งเดชได้หรือ? อีกทั้งเขาก็ไม่ยินยอมให้น้องสาวของตนต้องได้รับความคับข้องใจเช่นกัน ยามที่บิดามารดายังมีชีวิตอยู่เคยพร่ำสั่งกำชับว่าต้องดูแลน้องสาวให้ดี…

……

ระหว่างทางเดินทางบ้างช้าบ้างเร็ว สลับหมุนเวียนเปลี่ยนม้า เพื่อให้ม้าได้มีเวลาพักผ่อนฟื้นตัว

จนกระทั่งพลบค่ำจึงตั้งค่ายพักแรมริมแม่น้ำ มีคนตั้งกระโจม มีคนหาบน้ำก่อไฟ มีคนคอยเฝ้าระวัง มีคนคอยดูแลม้า

กระโจมตั้งเรียงรายริมแม่น้ำ กองไฟก่อขึ้นเป็นหย่อมๆ กลิ่นหอมจากอาหารค่อยๆ โชยขึ้นมา

หนิวโหย่วเต้าที่ยกย้ายหินก้อนหนึ่งมานั่งลงหยิบเอาห่อสัมภาระออกมา หลังจากล้วงหยิบอาหารแห้งออกมาก็นึกถึงคำพูดของถูฮั่น ใคร่ครวญดูเล็กน้อย จากนั้นโยนอาหารแห้งทั้งหมดลงไปในแม่น้ำที่อยู่ด้านข้าง

ซางเฉาจงที่นั่งอยู่ไม่ไกลคอยลอบสังเกตดูหนิวโหย่วเต้าอย่างเงียบๆ เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเย้ยหยันประโยคหนึ่ง “อาหารแห้งชั้นดีเช่นนี้โยนทิ้งไปไม่รู้สึกเสียดายหรือ ในโลกที่เต็มไปด้วยสงครามความวุ่นวายเช่นนี้ ไม่รู้มีประชาชนมากน้อยเพียงใดต้องอดอยาก แต่แน่นอน ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ไม่เคยขาดแคลนอาหารการกิน เกรงว่าคงชินกับการกินของดีๆ ไปแล้ว…”

หลานรั่วถิงที่ถือกิ่งไม้คอยเขี่ยกองไฟอยู่ด้านข้างกลับใช้กิ่งไม้ตีเท้าซางเฉาจงเบาๆ ยิ้มพลางส่ายศีรษะ ซ้ำยังเรียกให้คนไปเชิญหนิวโหย่วเต้าให้ไปกินอาหารร้อนๆ ข้างหม้อร้อนๆ ที่อยู่อีกด้านหนึ่งด้วย หนิวโหย่วเต้าได้ยินเสียงเสียงถากถางของซางเฉาจงแว่วๆ แต่ก็มิได้ถือสาอันใด เมื่อมีคนมาเชิญ เขาก็ไปด้วยความยินดี จะมีเรื่องใดสำคัญไปกว่าการเติมท้องให้อิ่มอีกเล่า?

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซางเฉาจงเอ่ยถามว่า “ท่านอาจารย์คิดว่าข้าพูดเกินไปหรือ?”

หลานรั่วถิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนแรกข้ายังกังวลว่าคนผู้นี้จะมีปัญหาอะไรหรือไม่ ตอนนี้พอดูแล้ว เกรงว่าคนผู้นี้คงจะไม่ได้รับการเหลียวแลจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ถึงถูกส่งมาให้พวกเราอย่างขอไปที ทว่าตอนนี้ข้ากลับเชื่อขึ้นมาบ้างแล้วว่าเขาคือศิษย์ของท่านตงกัวจริงๆ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า