ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 24

ตอนที่ 24 เต้าเหยี่ย เจ้าลิง

ตกดึก คนที่สมควรพักผ่อนส่วนใหญ่ก็พากันไปพักผ่อนหมดแล้ว หนิวโหย่วเต้าสังเกตดูรูปแบบการจัดเวรยามป้องกันของกองทหารเล็กน้อย ทหารจำนวนห้าร้อยนายถึงแม้จะสลับเวรกันพักผ่อนและเฝ้ายาม แต่เมื่อดูจากรูปแบบการวางกำลังแล้ว คาดว่าหากมีความผิดปกติอันใดในรัศมีสองสามลี้ก็คงยากจะรอดพ้นการตรวจจับของคนกลุ่มนี้ไปได้ เขาจึงสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย

ภายในกระโจมหลังหนึ่ง ม่านกระโจมถูกแหวกเปิดเป็นช่อง หลังจากหลานรั่วถิงจับตามองดูพฤติกรรมของหนิวโหย่วเต้าอย่างละเอียดแล้ว เขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย กล่าวพึมพำกับตัวเองว่า “น่าสนใจ…”

หนิวโหย่วเต้าเดินเตร่อยู่ครู่หนึ่งก็กลับเข้ากระโจมของตน หยิบจดหมายฉบับนั้นออกมา อาศัยแสงไฟจากกองไฟด้านนอก ชักกระบี่ล้ำค่าออกมา ก่อนจะใช้ปลายกระบี่กรีดซองจดหมายอย่างระมัดระวัง หยิบเอาแผ่นกระดาษด้านในออกมาพลิกดู คิดไม่ถึงว่ามันกลับเป็นกระดาษเปล่า แม้แต่รอยหมึกสักหยดก็ไม่มี

เขาหันกระดาษส่องกับแสงไฟจากกองไฟด้านนอกแล้วดูซ้ำไปซ้ำมา จากนั้นนำกระดาษมาจ่อที่ปลายจมูกไล่สูดดมทั้งด้านหน้าด้านหลัง สุดท้ายก็ยื่นปลายลิ้นออกมาแตะเลียไปบนหน้ากระดาษ ลองชิมรสชาติดูเล็กน้อย เขายังคงกังวลอยู่ว่าอาจจะมีการใช้น้ำยาซ่อนข้อความอันใด แต่จากการเลียนี้ทำให้เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว ที่แท้นี่เป็นจดหมายปลอม

“เจ้าอาวาสวัดหนานซานแห่งเขาหนานซานจังหวัดกว่างอี้…เห็นทีว่าคำเตือนจากเหล่าถูจะมิใช่คำเตือนส่งๆ เสียแล้ว มีคนต้องการทำร้ายข้าจริงๆ นึกว่ารังแกข้าได้ง่ายๆ เหรอ…” หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้วพึมพำกับตัวเอง ครุ่นคิดว่าหากถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตามจองเวรไม่เลิกราจริงๆ เกรงว่าคงวุ่นวายเป็นแน่ เพราะว่ายังมีเรื่องราวมากมายที่เขายังไม่ทราบตื้นลึกหนาบาง

หลังจากไตร่ตรองอยู่หลายรอบ เขาก็มีแผนการในใจแล้ว เขาพับกระดาษให้เรียบร้อยแล้วใส่กลับเข้าไปในซองอีกครั้ง

………

รุ่งเช้าวันต่อมา ฟ้าเพิ่งสาง ทุกคนกินข้าวเตรียมออกเดินทาง

กระโจมมีคนกางให้แล้วก็มีคนเก็บให้ ม้าก็มีคนป้อนอาหารแล้วนำมาส่งให้ หนิวโหย่วเต้าไม่ต้องทำอะไรเลย ทุกอย่างมีคนจัดการให้เรียบร้อยหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าคนทั้งกลุ่มผ่านการอบรมมาเป็นอย่างดี

ขบวนออกเดินทางอีกครั้ง เสียงฝีเท้าม้าดังกึกก้อง หนิวโหย่วเต้ารู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ต่างไปจากเมื่อวาน ไม่มีใครมาพาเขาไปแทรกอยู่กลางขบวนเพื่อจับตามองเขาอีก

หลังจากเดินทางไปได้สักพัก หนิวโหย่วเต้าก็ลงแส้เร่งม้าวิ่งขึ้นไปด้านหน้า ขี่ขนานไปกับพวกซางเฉาจงทั้งสามที่อยู่ด้านหน้า

ทั้งสามมองเขา หนิวโหย่วเต้าหาหัวข้อมาชวนคุยไปเรื่อย “ท่านอ๋อง ด้วยฐานะของท่าน มีทหารติดตามเพียงห้าร้อยคนหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางเฉาจงเอ่ยตอบ “ด้วยบรรดาศักดิ์ของข้า หากไม่มีตำแหน่งทางราชการ ตามกฎมณเฑียรบาล อนุญาตให้มีองครักษ์เพียงห้าร้อยคน”

“โอ้! อย่างนี้นี่เอง” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า อันที่จริงเขาแค่หาเรื่องชวนคุยเท่านั้น พอคุยจบก็ขี่ขนานอยู่ด้านหน้าต่อไม่ถอยลงไปด้านหลัง อยู่ด้านหลังโดนฝุ่นมากมายลำบากนัก

หลานรั่วถิงพลันเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “อภัยให้ด้วยที่แซ่หลานความรู้ตื้นเขิน ขอบังอาจถามฝ่าซือ ไม่ทราบว่าห้าสุสาน[1]อยู่ที่ใดหรือ?”

“เอ่อ…” หนิวโหย่วเต้ารับรู้ได้ทันทีว่าเกี่ยวข้องกับกลอนดอกท้อของตน อดไม่ได้ที่จะมองไปทางซางซูชิง จนปัญญาที่นางปิดบังใบหน้าไว้ มองไม่เห็นปฏิกิริยาใดๆ ถึงมองไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด จึงหัวเราะแหะๆ กล่าวว่า “เพ้อไปเรื่อยเท่านั้น”

คำอธิบายนี้ทำให้หลานรั่วถิงพูดไม่ออกจริงๆ จากนั้นจึงสอบถามถึงสถานการณ์ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กับหนิวโหย่วเต้าต่อ แม้หนิวโหย่วเต้าจะอยู่ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาหลายปี แต่เขาก็ไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เลย จึงล้วนแต่เลี่ยงคำถามไปด้วยคำว่า ‘ยากจะอธิบายให้กระจ่างได้’

อันที่จริงคำพูดของเขาล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น แต่ในมุมมองของพวกหลานรั่วถิง คนผู้นี้มิได้พูดความจริงเลย!

การเดินทางในช่วงครึ่งเช้า เดินทางลัดผ่านภูเขา ตัดผ่านทุ่งกว้าง จากถนนมุ่งสู่ทางเลียบริมน้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นทิวทัศน์สองข้างทาง หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ เผยสีหน้าย้อนระลึกความทรงจำขึ้นมา

จนกระทั่งปรากฏพฤกษาสูงใหญ่สามต้นยืนเรียงรายบนเชิงเขาอีกฟากฝั่งแม่น้ำ หนิวโหย่วเต้าถึงได้แน่ใจว่าหมู่บ้านในหุบเขาแห่งนั้นที่เขาจากไปเมื่อห้าปีก่อนน่าจะอยู่ไม่ไกลแล้ว

กระแสน้ำเริ่มไหลลดเลี้ยวทอดตัวเข้าสู่หุบเขา ยามที่ใกล้จะถึงทางเดินเส้นเล็กๆ เส้นหนึ่งที่มุ่งสู่หุบเขาด้านหน้า หนิวโหย่วเต้าพลันหันมากล่าวว่า “ท่านอ๋อง หยุดตรงปากทางด้านหน้าสักครู่ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

ระหว่างที่กล่าวก็มาถึงพอดี ซางเฉาจงยกมือขึ้น เหล่าทหารพากันรั้งบังเหียนหยุดม้า

ซางเฉาจงเอ่ยถาม “ฝ่าซือมีเรื่องใดหรือ”

หนิวโหย่วเต้าชูแส้ชี้ไปยังทางเดินเส้นเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง “ไม่ขอปิดบังท่านอ๋อง ด้านในนี้มีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่ข้าถือกำเนิด ข้าจากหมู่บ้านไปตั้งแต่เด็ก ยังไม่เคยได้กลับมา อยากเข้าไปเยี่ยมดูหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่เสียเวลาจนเกินไปแน่นอน ท่านอ๋องโปรดคอยสักครู่ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ซางเฉาจงมองไปทางหลานรั่วถิงเพื่อขอความเห็น

หลานรั่วถิงมองดูรอบข้าง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านอ๋อง พวกเรามิสู้ไปเยี่ยมชมบ้านเกิดฝ่าซือด้วยกันว่าเป็นสถานที่งดงามเช่นใดกันล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

ซางเฉาจงฟังความหมายในวาจาเขาออก อีกฝ่ายคิดจะฉวยโอกาสตรวจสอบประวัติของหนิวโหย่วเต้า จึงพยักหน้ารับ “ก็ดี!”

หนิวโหย่วเต้าเองก็รู้แจ้งแก่ใจดี คร้านจะอธิบายอันใดเช่นกัน เพียงยิ้มตอบประโยคหนึ่ง “แค่หมู่บ้านยากไร้ในหุบเขาเท่านั้น เกรงว่าคงไม่ถูกใจท่านอ๋องเท่าไร”

“ไป!” ซางเฉาจงชูแส้ชี้ออกไป มีทหารแนวหน้าหลายคนควบม้าออกสำรวจเส้นทางในทันใด คนที่เหลือก็ตามหลังไปอย่างไม่รีบร้อน

เมื่อตัดผ่านป่าทึบกลางหุบเขา ไม่จำเป็นต้องเอ่ยสั่งการใดๆ ทหารม้าสองฝั่งซ้ายขวาก็เริ่มขึ้นสายหน้าไม้ บ้างก็คว้าจับอาวุธ จับตาดูผืนป่ารอบด้านอย่างระแวดระวัง หนิวโหย่วเต้าหันมองคนเหล่านี้ สัมผัสได้ว่าคนเหล่านี้มิใช่กองทหารธรรมดา หากแต่มีประสบการณ์ในการรบอย่างโชกโชน

“วี้ด…วี้ด…วี้ดๆ”

พลันมีเสียงวิหคแว่วขึ้นกลางหุบเขา หนิวโหย่วเต้าเสมือนถูกไฟช็อตขึ้นมาเล็กน้อย หันมองไปยังทิศทางที่เสียงนกดังแว่วขึ้นมา ดวงตาเบิกกว้าง

“ท่านอ๋อง เสียงนกนี้ไม่ชอบมาพากลพ่ะย่ะค่ะ”

ใครบางคนในหมู่ทหารองครักษ์ส่งเสียงเตือนทันที พวกซางเฉาจงหยุดม้าในทันใด ตั้งท่าเฝ้าระวังรอบด้านขั้นสูงสุด

มีทหารเข้ามาคุ้มกันพวกซางเฉาจงเอาไว้ แล้วก็เริ่มมีคนเข้ามาล้อมหนิวโหย่วเต้าไว้ตรงกลาง หน้าไม้เริ่มเล็งไปทางเขา จับจ้องเขาด้วยสายตาดุร้าย คล้ายคิดว่าหนิวโหย่วเต้าจงใจลวงพวกเขาเข้ามาติดกับดัก หากมีความผิดปกติเมื่อไรก็พร้อมลงมือทุกเมื่อ

“วี้ดๆ…วี้ดๆ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า