ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 234

ตอนที่ 234 ดื้อรั้น

กรงไม้ถูกยกขึ้นมาบนฝั่งอีกครั้ง จากนั้นถูกเปิดออก

ถานเย่าเสี่ยนคิดจะมุดออกไป ทว่าถูกเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านในกอดเอาไว้ ไม่ยอมให้เขาออกไป “อย่าไปนะ พี่ถาน ไม่ต้องกลัว เขาไม่กล้าทำอะไรพวกเราหรอก”

ถานเย่าเสี่ยนดิ้นรน ต้องการแกะมือของนางออก เซ่าหลิ่วเอ๋อร์กอดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

สุดท้ายทั้งสองก็ทรุดนั่งอยู่ในกรงกันทั้งคู่ กอดกันร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยเนื้อตัวที่เปียกปอน

เซ่าผิงปอที่ยืนอยู่หน้ากรงสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ เอ่ยว่า “ลากออกมา!”

เฉินกุยซั่วยื่นมือเข้าไปทันที คว้าแขนของถานเย่าเสี่ยน ลากเขาออกมา

“อย่านะ!” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์กรีดร้อง ดึงแขนอีกข้างของถานเย่าเสี่ยนเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ทั้งสองจึงถูกลากออกมาพร้อมกัน

เซ่าผิงปอก้าวเข้ามา จับข้อมือของน้องสาว ออกแรงบีบ ทำให้เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ต้องปล่อยมือทันที

ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียร แต่ถึงอย่างไรก็ถือกำเนิดในตระกูลผู้ฝึกยุทธ์ ฝีมือการต่อสู้ของเขาดีแค่ไหนนั้นไม่สำคัญ อย่างน้อยๆ ก็ต้องดีกว่าเซ่าหลิ่วเอ๋อร์อย่างแน่นอน

เขาเหวี่ยงแขน ผลักเซ่าหลิ่วเอ๋อร์จนซวนเซเข้าไปหาซูจ้าว ซูจ้าวรับตัวนางไว้ทันที

“พี่ซู ข้าขอร้องท่านล่ะ…” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์น้ำตานองหน้า

ซูจ้าวถอนหายใจ “หลิ่วเอ๋อร์ พี่ชายของเจ้าหวังดีต่อเจ้าจริงๆ นะ! เจ้าอยู่กับเขา มีแต่จะทำร้ายเขา ปล่อยเขาไปเถอะ!”

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์พยายามดิ้นรน จากนั้นชี้หน้าเซ่าผิงปอ “เซ่าผิงปอ ข้าจะแต่งให้กับใครมันก็เป็นเรื่องของข้า จะดีจะร้ายข้าก็ยินดีรับ เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าด้วย? เจ้าปล่อยข้านะ ข้าจะไปกับเขา ข้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ตระกูลเซ่าก็ไม่จำเป็นต้องมาสนใจ!”

ซูจ้าวรัดตัวนางไว้ไม่ยอมปล่อย นึกในใจ นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดส่งเดชได้ บุตรีตระกูลเซ่า จะไม่ให้ตระกูลเซ่าสนใจได้หรือ? ถึงตระกูลเซ่าไม่อยากสนใจก็ทำไม่ได้ มิเช่นนั้นเหตุใดลู่เซิ่งจงคนนี้ถึงลงมือกับเจ้าเล่า?

“ได้! ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าสักครั้ง” จู่ๆ เซ่าผิงปอก็ตวาดออกมา

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ที่อาละวาดโวยวายอยู่เงียบลง ถานเย่าเสี่ยนที่ร้องไห้ด้วยความเสียใจก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง

เซ่าผิงปอพยักเพยิดไปทางถานเย่าเสี่ยนเล็กน้อย “ให้เงินเขาร้อยเหรียญทอง!”

ซ่งซูหยิบตั๋วเงินมูลค่าหนึ่งร้อยเหรียญทองออกมาหนึ่งใบ เดินเข้าไปยื่นให้ถานเย่าเสี่ยน

ถานเย่าเสี่ยนส่ายหน้าไม่ยอมรับไว้

เซ่าผิงปอกล่าวว่า “มอบให้เจ้า เจ้าก็รับไปซะ หากเจ้าอยากแต่งกับหลิ่วเอ๋อร์จริง หากเจ้ามีความสามารถพอจะแต่งกับนางจริงๆ ข้าให้เวลาเจ้าสามปี ข้าจะให้หลิ่วเอ๋อร์รอเจ้าสามปี สามปีให้หลัง หากเจ้าสามารถทำให้ร้อยเหรียญทองนี้งอกเงยเป็นหมื่นเหรียญทองได้ หรือว่าแสดงความโดดเด่นในงานด้านใดด้านหนึ่งให้เป็นที่ประจักษ์ได้ ข้าไม่เรียกร้องให้เจ้าต้องทำให้ยอดเยี่ยมมากนัก แต่อย่างน้อยก็ต้องทำให้ตระกูลเซ่าได้รู้ว่าควรสนับสนุนเจ้าในด้านไหน เพื่อจะได้มาแต่งกับนางอย่างเปิดเผยและมีเกียรติได้ มิใช่แอบพานางหนีไปด้วยกัน อีกทั้งมิใช่การพานางไปเสี่ยงอันตรายลำบากลำบนกับเจ้า!”

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ตะโกน “พี่ถาน อย่าไปฟังเขา!”

เซ่าผิงปอหันกลับมาทันที ตวาดใส่ “ทำไมเล่า? ข้าเปิดโอกาสให้ขนาดนี้แล้ว หากเจ้าคิดว่าเขาทำไม่ได้ แล้วเจ้าจะคาดหวังให้เขาไปทำอันใดได้? หรือเจ้าก็คิดว่าเขาเป็นคนอ่อนแอเหลาะแหละ ไม่มีความมั่นใจในตัวเขาเช่นกัน?”

“…..” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ถูกตอกหน้าจนพูดไม่ออก รู้สึกมึนนงงไปเล็กน้อย ถูกพี่ใหญ่พูดใส่เช่นนี้ นางครุ่นคิดดูเล็กน้อย กระทั่งนางเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าด้วยความสามารถของถานเย่าเสี่ยนจะทำเรื่องใดให้โดดเด่นได้บ้าง

“รับไปซะ!” ซ่งซูยื่นตั๋วแลกเงินในมือให้

ถานเย่าเสี่ยนปัดออกไป ยกแขนเสื้อที่เปียกชุ่มขึ้นเช็ดน้ำตา หันไปหาเซ่าหลิ่วเอ๋อร์พลางตะโกนขึ้นมา “หลิ่วเอ๋อร์ รอข้าสามปี!” กล่าวจบก็หันหลังวิ่งจากไป

วิ่งออกไปอย่างคลุ้มคลั่ง วิ่งออกไปด้วยความเสียใจ ดูมีศักดิ์ศรีเป็นยิ่งนัก ไม่รับตั๋วเงินร้อยเหรียญทองนั้น

วิ่งไปพลางร้องไห้ไปพลาง น้ำตาทำให้สายตาพร่าเลือน เท้าสะดุดหินก้อนหนึ่ง ล้มหน้าคว่ำต่อหน้ากลุ่มคนที่มองดู เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาแล้ววิ่งต่อไป คางแตกจนมีเลือดไหลซึมออกมา คอยยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาเป็นระยะ

“พี่ถาน…” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ตะโกนเรียกจนเสียงแหบพร่า แต่กลับไม่เห็นถานเย่าเสี่ยนหันกลับมาอีกเลย สุดท้ายก็ทิ้งตัวนั่งลงไปตรงปลายเท้าของซูจ้าวอย่างไร้เรี่ยวแรง

“ไป!” เซ่าผิงปอที่มองดูถานเย่าเสี่ยนหายลับไปสะบัดผ้าคลุมหันหลังกลับ

วิหคโผขึ้นสู่นภา ม้าศึกควบทะยาน ทั้งกลุ่มหันหลังจากไป

…..

ท่ามกลางความมืดยามราตรี ถานเย่าเสี่ยนที่เดินเลียบอยู่ริมแม่น้ำวิ่งต่อไปไม่ไหวแล้ว เดินมุ่งหน้าไปอย่างไร้จุดหมายภายใต้แสงจันทร์ เนื้อตัวที่เปียกชุ่มยังไม่แห้งดี ทั้งหนาวเหน็บทั้งหิวโหย ไม่รู้เช่นกันว่าตนจะเดินไปทางไหนดี

หิวจนท้องร้อง ขณะที่เพิ่งจะย่อตัวลงริมแม่น้ำเพื่อวักน้ำมาดื่มดับความหิว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังแว่วเข้ามา

ถานเย่าเสี่ยนลุกขึ้นมองดู เห็นเพียงว่าใต้แสงจันทร์มีกลุ่มทหารสิบกว่าคนขี่ม้ามาเป็นขบวน บังคับม้าวิ่งผ่านเขาไป

ทหารที่ควบม้าผ่านไปมองสำรวจเขาเล็กน้อย

จากนั้น ทหารม้าวกกลับมา แต่ละคนหยิบคันธนูบนหลังม้า น้าวธนูขึ้นสาย ลูกธนูถูกยิงออกไป

ละอองโลหิตสาดกระจายขึ้นทั่วร่างถานเย่าเสี่ยน

“หลิ่วเอ๋อร์…” ถานเย่าเสี่ยนที่มีลูกธนูสิบกว่าดอกปักอยู่บนร่างเอ่ยพึมพำออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ ล้มหงายหลังไป ร่วงตกลงไปในแม่น้ำ

…..

นอกมหานครเป่ยโจว ภายในเรือนหลังหนึ่ง ลู่เซิ่งจงที่นอนฟุบอยู่บนเตียงไม่ได้รับทัณฑ์ทรมานใดๆ เนื่องจากเขาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี สิ่งใดควรสารภาพก็สารภาพออกมาจนหมด

ทางนี้ถึงได้รู้ว่าเป็นเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ที่คิดหาทางหนีออกมาจากจวนผู้ว่าเอง มิเช่นนั้น หากคนผู้นี้จับตัวเซ่าหลิ่วเอ๋อร์เป็นตัวประกันล่ะก็ เช่นนั้นคงได้วุ่นวายจริงๆ แน่

ซูจ้าวลอบถอนใจ แต่ก่อนเด็กคนนั้นก็ดูเหมือนเป็นสาวน้อยที่ไร้เดียงสาคนหนึ่ง ไม่คิดเลยว่าจะมีไหวพริบเช่นนี้

นางอดมองไปทางเซ่าผิงปอไม่ได้ คิดว่านี่จะเกี่ยวข้องกับสายเลือดทางฝั่งบ้านมารดาของตนหรือเปล่า ตัวนางก็คล้ายจะมิใช่คนโง่ บุตรธิดาทั้งสองที่ถือกำเนิดจากอาหญิงของนางก็มิใช่คนโง่เช่นกัน อย่างน้อยก็เฉลียวฉลาดกว่าบุตรที่กำเนิดจากอนุหร่วนมากนัก

ในเวลานี้เอง ทางนี้ก็เพิ่งได้ทราบเช่นเดียวกันว่าเรื่องที่หลอกล่อเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ออกไปนั้นเป็นแผนการของลู่เซิ่งจงเพียงคนเดียว เรื่องที่แอบยุยงพวกอนุหร่วนแม่ลูกก็เป็นฝีมือของคนผู้นี้คนเดียวเช่นกัน แทบจะไม่ได้อาศัยความช่วยเหลือจากภายนอกเลย แค่คนเดียวก็จัดการเรื่องทั้งหมดได้เรียบร้อยแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า