ตอนที่ 264 หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง
“ไม่กล้าถ่วงรั้งงานใหญ่ให้ล่าช้า เป็นพวกเราไร้ความสามารถเองขอรับ!” เถ้าแก่พานว่าตัวเองประโยคหนึ่ง จากนั้นประสานมือกล่าวว่า “ขอบังอาจถามว่าเต้าเหยี่ยมีวิธียอดเยี่ยมอันใดให้พวกเขายอมเปิดปากโดยเร็วหรือไม่ขอรับ?”
คนอื่นๆ ต่างมองไปที่หนิวโหย่วเต้าเช่นกัน ล้วนทราบดีถึงเจตนาที่เถ้าแก่พานตำหนิตัวเอง อีกฝ่ายกำลังสื่อกลายๆ ว่าหนิวโหย่วเต้าไม่ใช่คนลงมือทำก็ย่อมต้องพูดได้อยู่แล้ว
ศิษย์พี่ของเถ้าแก่พานตวาดใส่อย่างไม่จริงจังนัก “ศิษย์น้อง อย่าเสียมารยาท!”
เพราะว่าทางสำนักสั่งการมาแล้วว่าให้พวกเขาประสานงานกับหนิวโหย่วเต้า ทว่าวาจาของหนิวโหย่วเต้าทำให้คนจากทั้งสามสำนักฟังแล้วรู้สึกไม่สบอารมณ์จริงๆ ที่บอกว่าสามสำนักไม่มีคนแล้วหมายความว่าอย่างไร?
เฮยหมู่ตานมีสีหน้าขุ่นเคือง ก้าวออกมาจากด้านหลังหนิวโหย่วเต้าหนึ่งก้าว คิดจะกล่าวตำหนิ กลับเป็นหนิวโหย่วเต้าที่ยื่นมือไปขวางนางไว้
หนิวโหย่วเต้าคร้านจะถือสาหาความกับอีกฝ่าย แล้วก็ไม่ใช่เวลามานั่งถกเถียงพิพาทกันภายใน ตอนนี้ต้องจัดการปัญหาให้ได้ เรื่องราวต้องจัดการกันเป็นเรื่องๆ จึงถามไปว่า “เถ้าแก่พาน เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าใช้ทุกวิถีทางแล้ว?”
เถ้าแก่พานเอ่ยว่า “อย่างน้อยตอนนี้ก็ใช้ทุกวิธีทางที่มีแล้วขอรับ”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ดี เช่นนั้นข้าจะเสนอวิธีการอย่างหนึ่ง เจ้าไปลองดูอีกที”
เถ้าแก่พานประสานมืออีกครั้ง “เชิญว่ามาเลยขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าโบกมือ พาเขาออกไป ปลีกตัวจากกลุ่มคน เมื่อเข้าไปยังห้องห้องหนึ่งแล้ว เขาถึงจะหันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย เอ่ยช้าๆ ชัดๆ ว่า “หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง!”
เถ้าแก่พานมึนงง ไม่เข้าใจว่า ‘หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง’ ที่ว่าจะนำไปใช้สอบสวนได้อย่างไร จึงถามด้วยความฉงน “ผู้น้อยโง่เขลา ขอเต้าเหยี่ยโปรดชี้แนะด้วย!”
หนิวโหย่วเต้ากวักมือให้เขาเอียงหูเข้ามา แล้วกระซิบกระซาบข้างหูเขาสองสามประโยค
หลังจากเถ้าแก่พานได้ยินดวงตาก็พลันลุกวาว จากนั้นก็เอ่ยอย่างลังเลอีกครั้ง “เรื่องนี้ หากเกิดการต่อสู้ขึ้นมา คงไม่สามารถอธิบายกับทางหอไร้ขอบเขตได้ อีกทั้งหากแสดงไม่สมจริงก็คงทำให้เขาเชื่อไม่ได้ด้วยนะขอรับ”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ถ้าสู้ไม่ได้ก็ไม่ต้องสู้…” ก่อนจะกระซิบข้างหูเขาอีกหลายประโยค
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ แต่ด้วยทักษะการปลอมตัวของพวกเราในตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นกลับเท็จเป็นจริงได้”
“ข้าว่านะเถ้าแก่พาน วิธีการก็ชี้แนะให้เจ้าไปแล้ว ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ หากทำถึงขั้นกลับเท็จเป็นจริงไม่ได้ก็เปลี่ยนวิธีเสีย เปลี่ยนวิธีสักหน่อยมันก็ใช้ได้เหมือนกันนั่นแหละ…”
พอฟังคำอธิบายจบแล้ว เถ้าแก่พานก็พยักหน้ารัวๆ เอ่ยอย่างค่อยข้างละอาย “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ข้าจะไปลองดูเดี๋ยวนี้ขอรับ!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยกำชับ “เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุเหนือความคาดหมาย เจ้าจงจัดการเรื่องนี้อย่างลับๆ อย่าเพิ่งแพร่งพรายออกไป ยังมีอีก เจ้าจงติดต่อไปทางฝั่งร้านค้าสำนักเมฆาล่อง ให้บอกวิธีการเดียวกันนี้กับทางนั้นด้วย ให้พวกเขาดำเนินการอย่างลับๆ สองฝ่ายลงมือพร้อมกัน หวังว่าจะมีคนยอมเปิดปากสักคน”
“ขอรับ เต้าเหยี่ยโปรดวางใจ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” เถ้าแก่พานประสานมือคำนับ ท่าทางเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด คล้ายจะยอมรับนับถือขึ้นมาไม่น้อย
…..
ภายในห้องขัง ‘เถ้าแก่พาน’ ที่ถูกโซ่ตรวนมัดพันร่างไว้บนเสามีใบหน้าซีดเผือด แววตาเลื่อนลอย ไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่
ศิษย์สำนักเซียนสถิตสองคนคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ทั้งวัน คอยข่มขู่เกลี้ยกล่อมเป็นระยะ แล้วก็นับว่ากำลังโน้มน้าวเขาอยู่ นี่เป็นภารกิจที่เบื้องบนสั่งการลงมา
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดทราบว่านามที่แท้จริงของ ‘เถ้าแก่พาน’ ผู้นี้มีชื่อว่าอะไร อีกทั้งไม่สามารถหิ้วหัวออกไปสอบถามความเป็นมาเหมือนชายผอมสูงได้
“เจ้าเนี่ยน้า ไยต้องมาดึงดันอยู่ที่นี่ด้วย เถ้าแก่ของพวกเราก็รับประกันกับเจ้าไปแล้ว ขอเพียงเจ้าสารภาพ พวกเราก็จะปล่อยให้เจ้ารอดชีวิต”
“นั่นสิ เจ้าทำแบบนี้เท่ากับเป็นการปิดทางรอดของตัวเอง มีลูกมีเมียหรือเปล่าล่ะเนี่ย? ต่อให้ไม่คิดถึงตัวเอง ก็ต้องคิดถึงครอบครัวให้มากหน่อยใช่ไหมล่ะ?”
“ไยต้องมาทนรับความทรมานนี้ด้วย หากเจ้าถูกตีตายอยู่ที่นี่ ยังจะมีผู้ใดนึกถึงความดีของเจ้าอีกหรือ?”
“ถูกขังเอาไว้ที่นี่ เจ้าก็รู้ดี ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่กล้าใช้กำลังบุกมาช่วยเจ้าออกไปจากเขตหอไร้ขอบเขต เจ้าอยากอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปตลอดหรือ?”
ไม่ว่าทั้งสองคนจะพูดอย่างไร ‘เถ้าแก่พาน’ ล้วนไม่ตอบสนอง ไม่ส่งเสียงสักแอะ
มีเสียงเคาะประตูแว่วมาจากด้านนอก ศิษย์สำนักเซียนสถิตคนหนึ่งจึงไปเปิดประตูมองเล็กน้อย จากนั้นยิ้มแล้วเปิดประตูให้ “ศิษย์น้องจ้าว มาส่งอาหารอีกแล้วหรือ?”
ศิษย์น้องจ้าวที่หน้าตาขี้เหร่หิ้วกล่องอาหารใบหนึ่งเดินเข้ามา
ศิษย์เฝ้ายามอีกคนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องจ้าว มาส่งให้ก็เสียเปล่าอยู่ดี คนเขาไม่แน่ว่าจะซึ้งน้ำใจเจ้าหรอก”
ศิษย์น้องจ้าวจ้องมอง ‘เถ้าแก่พาน’ ที่ถูกมัดไว้บนเสาครู่หนึ่ง เอ่ยเนิบๆ อย่างไม่เร่งร้อนว่า “ไม่ซึ้งในน้ำใจก็เป็นไร แต่จะปล่อยให้คนตายไปภายใต้การดูแลของพวกเราไม่ได้ หากเขาไม่กินก็ต้องยัดใส่ปากให้เขากิน นี่คือคำสั่งของอาจารย์อาพาน”
ศิษย์ที่เฝ้ายามคนหนึ่งถอนใจพลางเอ่ยตอบ “ได้ เข้าใจแล้ว”
ศิษย์น้องจ้าวหิ้วกล่องอาหารไปวางตรงหน้าเชลยแล้วหันหลังเดินออกไป ขณะกำลังจะก้าวพ้นประตูไปก็ได้เอ่ยกำชับอีกประโยคว่า “รีบป้อนให้เขากินเถอะ”
“ได้ๆ เข้าใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าย้ำหรอกน่า” ศิษย์คนหนึ่งโบกมือให้
ศิษย์น้องจ้าวปิดประตูแล้วจากไป ศิษย์คนหนึ่งย่อตัวลงหน้ากล่องอาหาร ค่อยๆ เปิดกล่องอาหารออกแล้วมองดูเล็กน้อย เอ่ยเย้าประโยคหนึ่ง “อาหารมื้อนี้ไม่เลวเลย” จากนั้นเงยหน้ามองเถ้าแก่พาน “เจ้าดูสิ พวกเราดีต่อเจ้าขนาดไหน ไม่เพียงแต่จะได้กินได้ดื่มของดีๆ นี่พวกเรายังต้องปรนนิบัติเจ้าอีก”
‘เถ้าแก่พาน’ หลุบตามองเล็กน้อย ยังคงไม่ปริปาก
ในขณะที่ศิษย์คนนั้นนั่งยองๆ หยิบอาหารออกมา ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูแว่วมาอีกครั้ง ศิษย์อีกคนหนึ่งไปเปิดประตู เห็นศิษย์ร่วมสำนักอีกคนหนึ่งหิ้วกล่องอาหารยืนอยู่ด้านนอก จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ลำบากศิษย์น้องกงต้องมาส่งอาหารให้พวกเราด้วยตัวเองเสียแล้ว”
ศิษย์น้องกงเอ่ยเยาะว่า “ศิษย์พี่ นี่คืออาหารที่นำมาให้เชลยกิน หากพวกท่านอยากกิน รออีกเดี๋ยวย่อมมีคนมาเปลี่ยนเวรกับพวกท่าน”
‘เถ้าแก่พาน’ ที่ถูกมัดไว้บนเสาเงยหน้ามองออกไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า