ตอนที่ 274 เอื่อยเฉื่อย
เรื่องราวจึงได้ข้อสรุปเช่นนี้
หากไม่มีผลกำไร ฮูเหยียนเวยก็ไม่มีทางสนใจอะไรที่นี่เลย เขามีเส้นสายในสังคมมากมาย คนในตระกูลฮูเหยียนล้วนเคร่งครัดมีวินัย ทว่าเขากลับเป็นคนที่ชอบเข้าสังคมที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลตน เวลานี้เขายังต้องไปร่วมงานสังคมต่อ จึงขอตัวลาไป
แต่ก็เป็นเพราะเขาเที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกบ่อยๆ ก่อนหน้านี้เขาถึงได้ถูกหยวนกังฉวยโอกาสจับเขาเป็นตัวประกัน
ทว่าขณะที่เพิ่งเดินพ้นประตูเรือนไป เขาก็เกาท้ายทอย หันกลับมาอีกครั้ง “อันซยง ข้ามีอีกเรื่องหนึ่ง”
หยวนกังถาม “เรื่องอะไร?”
ฮูเหยียนเวยหัวเราะพลางเอ่ยไปว่า “ท่านพ่อข้าบอกว่าของว่างนี้รสชาติดี ท่านแม่ข้าก็ชอบเหมือนกัน ไม่มีเหตุผลเลยที่ไปส่งให้บ้านคนอื่นทุกวันได้ แต่บ้านตัวเองกลับไม่ได้กิน ต่อไปทุกเช้าก็นำเต้าฮวยสดใหม่หนึ่งถังเล็กไปส่งให้ที่บ้านข้ากินเป็นมื้อเช้าเถอะ เช่นนี้ข้าจะได้มีหน้ามีตาในบ้านด้วย พอท่านแม่ได้กินจะต้องชมข้าแน่”
หยวนกังพยักหน้ารับ “ได้ จะไม่คิดเงิน อยากกินเท่าไรก็เต็มที่เลย เห็นแก่หน้าท่าน”
“ฮ่าๆ ได้ อย่างนั้นข้าไปล่ะ พวกเจ้าทำงานต่อเถอะ…ดีร้ายอย่างไรก็เป็นเถ้าแก่แล้ว ชุดขาดแล้วไปเปลี่ยนเถอะ” ฮูเหยียนเวยตบไหล่เขาเบาๆ จากนั้นชี้เสื้อผ้าบนร่างเขาที่ถูกเฆี่ยนจนขาด ก่อนจะก้าวอาดๆ เดินจากไป
เป็นลูกคนสุดท้องในครอบครัว แรงกดดันและภาระที่ต้องรับผิดชอบล้วนไม่ตกมาถึงเขา จึงใช้ชีวิตค่อนข้างลอยชาย
….
ณ ศาลาท่าน้ำหลังเรือนเมฆาขาว เรือเทียบฝั่ง พวกซูจ้าวก้าวลงจากเรือแล้วเดินเข้าไป
เมื่อกลับมานั่งลงข้างโต๊ะพิณในศาลาอีกครั้ง ฉินเหมียนยกน้ำชามาให้พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นายหญิง ไม่ผิดไปจากที่พูดเลยใช่ไหมล่ะเจ้าคะ ร้านเต้าหู้นั่นใช้ได้เลยใช่ไหมเจ้าคะ?”
ซูจ้าวจิบน้ำชา วางถ้วยชาลง เอ่ยเสียงราบเรียบ “พอใช้ได้”
ฉินเหมียนเอ่ยว่า “หากท่านชอบ ข้าจะให้คนไปซื้อมาให้วันละหนึ่งชุดเจ้าค่ะ”
ซูจ้าวกล่าวว่า “ไม่ต้อง กินไปกินมาก็มีเพียงเท่านั้น กินทุกวันก็เบื่อกันพอดี หากอยากกินค่อยไปอีกก็ได้ ได้กินรสชาติสดใหม่น่าจะดีกว่า” ดวงตายังคงฉายแววเลื่อนลอยอยู่บ้าง
ในเวลานี้เอง ลูกน้องคนหนึ่งถือจดหมายฉบับหนึ่งเดินเข้ามา ฉินเหมียนรับไป โบกมือให้ลูกน้องถอยไป หลังจากนางอ่านเนื้อความในจดหมายอย่างละเอียดแล้วก็เอ่ยรายงาน “นายหญิง หนิวโหย่วเต้าถึงเมืองต้าหยาแล้วเจ้าค่ะ มองจากเส้นทางแล้วน่าจะมุ่งเข้าสู่เมืองหลวง น่าจะมาถึงเมืองหลวงภายในสิบวันเจ้าค่ะ”
ซูจ้าวที่นั่งเหม่อได้สติกลับมา ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ยไปว่า “คนผู้นี้เดินทางอย่างไม่เร่งร้อน ค่อยๆ เดินทางมาแคว้นฉี ใช้เวลาเดินทางอยู่หลายเดือน เขาคิดจะทำอะไรกันแน่? ปกติแล้วหากเร่งเดินทาง ใช้เวลาแค่ไม่กี่วันก็เพียงพอแล้วกระมัง? หากว่าก่อนหน้านี้ทำเพื่อล่อให้ข้าลงมือ อันนั้นก็พอจะเข้าใจได้ แต่เข้าเขตแคว้นฉีแล้วยังเอื่อยเฉื่อยอีก ซ้ำยังช้ากว่าก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำ ระหว่างทางก็หยุดพักเป็นระยะๆ ยังมีแก่ใจไปท่องเที่ยวชมธรรมชาติอีก นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน? กว่าเขาจะค่อยๆ ต้วมเตี้ยมมาถึง กว่าจะจัดการเรื่องม้าศึก กว่าจะขนส่งม้าศึกกลับไปอีก เกรงว่าคงถึงปีหน้าแล้ว หรือว่าเขาไม่ร้อนใจกับเรื่องม้าศึกเลยสักนิด?”
ไม่ใช่แค่นางที่ไม่เข้าใจ นางรายงานสถานการณ์ต่อทางเซ่าผิงปอตลอด ให้เซ่าผิงปอช่วยวิเคราะห์ดู แต่เซ่าผิงปอก็ไม่ค่อยเข้าใจเช่นกัน
ฉินเหมียนถาม “หรือจะเป็นเพราะไม่เคยพบเห็นทุ่งหญ้ามาก่อน จึงถูกบรรยากาศที่ราบทุ่งหญ้าดึงดูดเอาไว้เจ้าคะ?”
ซูจ้าวกลอกตาทีหนึ่ง “เจ้าคิดว่าจะเป็นไปได้หรือ? นานขนาดนี้แล้วยังดูไม่พออีกหรือไง? คนผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ทำเช่นนี้ต้องมีจุดประสงค์แน่ แต่จะรู้ได้ยังไงว่าเขาวางแผนอะไรเอาไว้กันแน่?”
ฉินเหมียนเอ่ยด้วยความลังเล “หรือกำลังติดต่อตามด่านเพื่อเปิดทางสำหรับขนม้าศึกกลับไปอยู่เจ้าคะ?”
ซูจ้าวย้อนถาม “จากสถานการณ์ตลอดการเดินทางของเขา เจ้าเห็นเขาไปพบผู้ใดบ้างหรือเปล่าล่ะ? มีการพูดคุยเจรจาเพื่อเปิดช่องทางเช่นนี้ด้วยหรือ?”
ฉินเหมียนกล่าวว่า “เช่นนั้นจะเป็นไปได้ไหมว่าเขาไม่ได้มาเพื่อม้าศึกแต่แรก หากแต่หลังจากลิ่งหูชิวไปพบเขา เขาถึงได้ออกจากหุบเขา แล้วก็มาแคว้นฉีด้วยเป้าหมายอื่นเจ้าคะ?”
ซูจ้าวก็สงสัยเช่นนี้อยู่เหมือนกัน แต่ทางเซ่าผิงปอกลับมั่นใจว่าหนิวโหย่วเต้ามาเพื่อม้าศึก ทั้งยังบอกนางไว้ว่าหากขวางเขาได้ก็ให้ขัดขวางเสีย
ตอนนี้หนิวโหย่วเต้าเที่ยวเล่นชมธรรมชาติมาตลอดทาง ไม่ข้องแวะกับเรื่องม้าศึกเลย จะให้ขวางอย่างไร?
เซ่าผิงปอยังนึกสงสัยเป็นอย่างมากด้วยว่า หรือลิ่งหูชิวจะมีความมั่นใจที่จะช่วยหนิวโหย่วเต้าให้เอาม้าศึกมาได้ หนิวโหย่วเต้าถึงได้ไม่มีความร้อนใจ ความจริงแล้วกำลังจงใจตบตาอยู่
เนื่องด้วยเหตุนี้เซ่าผิงปอจึงให้นางจับตาดูลิ่งหูชิวไว้สักหน่อย
ระหว่างทางล้มเหลวในการจัดการหนิวโหย่วไปครั้งหนึ่ง สูญเสียยอดฝีมือไปหนึ่งคน ทำให้เบื้องบนตำหนิอย่างรุนแรง!
อีกฝ่ายยังเดินทางมาไม่ถึงเลย แต่กลับทำให้นางเดาทางไม่ได้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนประเภทนี้ ซูจ้าวก็ค่อยๆ รับรู้ได้ถึงความยากลำบากแล้ว ถึงขนาดที่ว่ารู้สึกค่อนข้างไร้กำลัง
ตามความคิดของนาง วิธีที่ดีที่สุดคือใช้กำลังจัดการหนิวโหย่วเต้าทิ้งไปเสีย แต่เบื้องบนมีคำสั่งต่อนางอย่างเข้มงวด
ยังมีปัญหาอีกข้อหนึ่ง นั่นคือจั๋วเชาเสียชีวิตอย่างไม่ชอบมาพากล ไม่มีใครรู้ว่าสรุปแล้วทางหนิวโหย่วเต้าซุกซ่อนพลังเช่นไรเอาไว้กันแน่ นางจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมืออีกครั้งจริงๆ ครั้งก่อนที่เรียกใช้จั๋วเชาให้ลงมือก็นับว่าผิดกฎแล้ว ฝ่าฝืนกฎระเบียบขององค์กรไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะมีอาจารย์ออกหน้าให้ เกรงว่าตนคงเดือดร้อนหนัก หากคิดจะเรียกใช้คนที่แข็งแกร่งกว่าจั๋วเชาอีก ก็ไม่ใช่ว่าตนเองนึกจะเรียกใช้ก็สามารถเรียกใช้ได้ง่ายๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า