ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 287

ตอนที่ 287 ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียบ้างเลย

จริงหรือเปล่าเนี่ย? ฮูเหยียนเวยผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็อดขำไม่ได้ สตรีนางนี้จะไปรู้จักหนิวโหย่วเต้าได้อย่างไร? จึงเอ่ยด้วยสีหน้าประชดประชัน “เชื่อสิ เชื่ออยู่แล้ว พระองค์เป็นองค์หญิง กระหม่อมจะกล้าไม่เชื่อได้หรือ?”

ท่าทางเช่นนี้ของเขาดูเหมือนเชื่อเสียที่ไหน เห็นๆ อยู่ว่ากำลังประชดประชัน เฮ่าชิงชิงพลันโมโหขึ้นมา ชี้หน้าด่า “ไอ้หน้าหนวด คำพูดแดกดันของเจ้านี่มันอะไรกัน?”

ฮูเหยียนเวยหัวเราะใส่ “เหอะๆ!”

เฮ่าชิงชิงโกรธขึ้นมา “ห้ามหัวเราะ!”

ฮูเหยียนเวยถาม “มีกฎหมายข้อไหนที่ห้ามไม่ให้กระหม่อมหัวเราะหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ชิ้ง! เฮ่าชิงชิงชักมีดสั้นตรงหว่างเอวที่ใช้ประกอบการปลอมตัวออกมา คิดจะสั่งสอนเขา “ข้าจะช่วยโกนหนวดบนหน้าเจ้าให้เอง!”

เผยเหนียงจื่อจะปล่อยให้นางสมปรารถนาได้อย่างไร พลันกดไหล่นางไว้ ทำให้นางขยับเขยื้อนไม่ได้

อริคู่นี้ คนที่อยู่รอบข้างเห็นแล้วได้แต่ส่ายหน้า คนที่คุ้นชินกันดีล้วนรู้ว่าสองคนนี้พอเจอหน้ากันเป็นต้องทะเลาะกันร่ำไป

แต่แน่นอน ทุกครั้งล้วนเป็นฮูเหยียนเวยที่เสียเปรียบ ช่วยไม่ได้ อีกฝ่ายเป็นถึงองค์หญิงใหญ่ เจ้าไม่อาจด่าทอหยามเกียรติเชื้อพระวงศ์กลับไปได้ ยิ่งไม่อาจตอบโต้กลับได้ เช่นนั้นก็ย่อมต้องเสียเปรียบ

ในบริเวณหนึ่งทางด้านล่าง ซูจ้าวที่ผ่านการแปลงโฉมแล้วก็มีคนจำนวนหนึ่งคอยห้อมล้อมป้องกันอยู่เช่นกัน

ซูจ้าวมองดวงตะวันที่ลอยสูงขึ้นไปบนฟ้าเป็นพักๆ กระซิบถามฉินเหมียนที่ผ่านการแปลงโฉมแล้วเช่นกันว่า “ทำไมยังไม่มาอีก?”

ฉินเหมียนตอบว่า “ไม่ทราบเจ้าค่ะ หรือว่าจะเปลี่ยนใจแล้ว?”

ซูจ้าวหมดคำพูด คนผู้นี้เอาแน่เอานอนไม่ได้จริงๆ บอกได้เพียงว่าอาจจะเป็นเช่นนั้น

…..

ณ สวนบุปผาในคฤหาสน์ ยังคงมีคราบเลือดของเมื่อวานติดอยู่

ลิ่งหูชิวและเฟิงเอินไท่เดินกลับไปกลับมาอยู่ในลานเรือนหลัก คอยมองท้องฟ้าเป็นระยะ ตะวันลอยสูงขนาดนี้แล้ว ยังไม่เห็นหนิวโหย่วเต้าปรากฏตัว นี่ยังจะไปสู้ตามคำท้าที่ลานน้ำตกเหินหาวอยู่หรือเปล่า?

หลังรอคอยอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็เห็นพวกหนิวโหย่วเต้าเดินออกมาจากในเรือน

เมื่อเห็นทั้งสองคนที่รออยู่ด้านนอก หนิวโหย่วเต้าประสานมือคำนับ

ลิ่งหูชิวเอ่ยขึ้นว่า “น้องหนิวปล่อยให้พวกเรารออยู่ตั้งนานเชียว”

หนิวโหย่วเต้าแปลกใจ “รอข้าทำไมหรือ?”

ลิ่งหูชิวกลอกตาใส่ “เจ้าจะไปสู้กับเสวียนจื่อชุนที่ลานน้ำตกเหินหาวมิใช่หรือ? พวกเราก็รอชมความองอาจของน้องหนิวอยู่น่ะสิ!”

“ฮ่าๆ ที่แท้ก็ร้อนใจอยากชมเรื่องครื้นเครงนี่เอง” หนิวโหย่วเต้าหัวเราะ หันกลับไปเอ่ยกับต้วนหู่ที่นำหน้ากลุ่มคนอยู่ทางด้านหลัง “พวกเจ้าไปก่อนเถอะ ระวังด้วย”

“ขอรับ!” ต้วนหู่รับคำ ในมือหิ้วห่อผ้าสองห่อไว้ พายอดฝีมือสิบคนจากสามสำนักจากไป

ให้ลูกน้องล่วงหน้าไปก่อนหรือ? เฟิงเอินไท่ถามด้วยความไม่เข้าใจ “แล้วเจ้าจะไปเมื่อไร?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ข้าย่อมต้องไปเดี๋ยวนี้ ทั้งสองท่านจะไปกับข้าด้วยหรือไม่?”

“แน่นอน!” คนหนึ่งตอบรับ คนหนึ่งพยักหน้ารับ

“ได้ เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ” หนิวโหย่วเต้าผายมือเชิญ จากนั้นเขาก็นำขบวนคนกลุ่มหนึ่ง เดินอาดๆ ตัดผ่านลานเรือน ก้าวออกประตูไปทันที

ตรงหน้าประตู มีคนเตรียมม้าเอาไว้นานแล้ว ทั้งกลุ่มกระโดดขึ้นหลังม้า เสียงฝีเท้าม้าย่ำกุบกับไปตามถนนของเมืองหลวงอันรุ่งเรืองอย่างไม่เร่งร้อน

หลังจากเดินทางไปได้สักพัก เฟิงเอินไท่ที่อยู่บนท้องถนนที่มีคนสัญจรไปมาก็สังเกตเห็นว่าเส้นทางไม่ถูกต้อง

เขาอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีมาระยะหนึ่งแล้ว นับว่าค่อนข้างคุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศของที่นี่ จึงเอ่ยถาม “น้องหนิว นี่มิใช่เส้นทางที่จะไปยังประตูทิศเหนือนี่ นี่เจ้าจะไปไหนกัน?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ย่อมไปเยี่ยมเยือนผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง”

ลิ่งหูชิวเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง เอ่ยถามซ้ำว่า “นี่มันยามใดแล้ว เจ้ายังมีแก่ใจไปเยี่ยมเยือนคนอีกหรือ เกรงว่าทางฝั่งลานน้ำตกเหินหาวคงคอยจนร้อนใจแล้ว”

เฟิงเอินไท่ยิ้มพลางเอ่ยว่า “น้องหนิวต้องการจะวางท่ากระมัง จงใจหมางเมินเสวียนจื่อชุนคนนั้นใช่หรือไม่? หากว่าเป็นเช่นนี้จริง โชคดีที่พวกเราไม่ได้ล่วงหน้าไปก่อน มิเช่นนั้นคงไม่รู้เลยว่าต้องรอไปถึงเมื่อไร”

ผู้ใดจะไปคิดว่าหนิวโหย่วเต้ากลับถามย้อนว่า “ทั้งสองท่านคงไม่ได้คิดว่าข้าจะรับคำท้าแล้วไปที่ลานน้ำตกเหินหาวจริงๆ กระมัง?”

พอเอ่ยออกมาเช่นนี้ ทั้งสองพลันตะลึงงันไปพร้อมกัน ต่างมองมาที่เขาด้วยความตื่นตะลึงและมึนงงเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ แทบจะนึกว่าตนฟังผิดไปเสียแล้ว

เฟิงเอินไท่ที่ดูเหมือนจะตกใจจนอ้าปากค้างเอ่ยถามว่า “เจ้าไม่ไปอย่างนั้นหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าผายมือข้างหนึ่งออก เอ่ยว่า “หรือว่าในสายตาของพี่เฟิง ข้าดูว่างขนาดนั้นเลยหรือ? ทำไมข้าต้องไปด้วย? แค่คนผู้หนึ่งที่วิ่งมาท้าข้าสู้ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ถ้าไปก็บ้าไปแล้ว”

บัดซบ! นี่มันอะไรกันเนี่ย? นี่มันจะเหลวไหลเกินไปแล้ว! ความคิดของลิ่งหูชิวค่อนสับสน หลังจากไตร่ตรองเล็กน้อยก็เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นเจ้ารับคำท้านางทำไม? เจ้าเอาเรื่องที่รับคำท้าของนางมาใช้ปฏิเสธคนอื่นที่มาท้าสู้ไปมากมายขนาดนั้น ตอนนี้ข่าวแพร่กระจายไปทั่วแล้ว เกรงว่าคนในโลกบำเพ็ญเพียรทั่วทั้งเมืองหลวงคงรู้กันหมดแล้ว ด้วยชื่อเสียงของเจ้าในตอนนี้ ข้ากล้ารับรองเลยว่าที่ลานน้ำตกเหินหาวในยามนี้ เกรงว่าคงมีคนจากกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในเมืองหลวงไปรอชมแล้ว หากเจ้าผิดนัดเช่นนี้ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการตบหน้าตัวเองต่อหน้าคนอื่นเลย เกรงว่าคงไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงในอนาคตของเจ้า วันหน้าไม่ว่าไปที่ใด คงได้ถูกคนนินทาแดกดันกันไปทั่วแน่!”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา “ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกคนอื่นๆ ไปว่าพี่ลิ่งหูคือพี่น้องร่วมสาบานของข้า พวกเรามีทุกข์ร่วมต้าน! หากมีคนนินทาแดกดันข้า ท่านอย่าลืมแก้ต่างให้ข้าหน่อยล่ะ”

พี่น้องร่วมสาบานหรือ? เฟิงเอินไท่ผงะไปเล็กน้อย มองหน้าทั้งสองคนสลับกันไปมา เขายังไม่ทราบว่าสองคนนี้สาบานเป็นพี่น้องกัน อีกทั้งไม่เคยได้ยินทางสำนักหยกสวรรค์เอ่ยถึงเลย

มุมปากลิ่งหูชิวกระตุกเล็กน้อย ยังคงไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี “นี่ข้ากำลังจริงจังอยู่นะ เจ้าอย่าทำเป็นเล่นไป เจ้าจะไม่ไปจริงๆ น่ะหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้ามาเพื่อทำสิ่งใด ใช่ว่าท่านจะไม่รู้ ข้ามีงานใหญ่ต้องจัดการ ไหนเลยจะมีแก่ใจไปเล่นเป็นเพื่อนคนพวกนั้น”

ลิ่งหูชิวชี้นิ้วไปทางเหนือ “ทางนั้นย่อมมีผู้บำเพ็ญเพียรมารวมตัวกันมากมาย คนมากมายปานนั้นต่างรออยู่ ในหมู่พวกเขาอาจจะมีคนสำคัญอยู่ไม่น้อย เจ้าปล่อยให้พวกเขาคอยเก้อเช่นนี้ หากทำให้คนมากมายปานนั้นไม่พอใจ วันหน้าเจ้ายังคิดว่าจะจัดการเรื่องในแคว้นฉีได้อีกหรือ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า