ตอนที่ 289 ไม่แน่จริงย่อมไม่กล้าแผลงฤทธิ์ในต่างแดน
จั่วเต๋อซ่งค่อนข้างตกตะลึงพอสมควร “วาจาไม่อาจกล่าวส่งเดชได้ องค์หญิงใหญ่จะติดหนี้เจ้าได้อย่างไร?”
แม้ปากจะกล่าวไปเช่นนี้ แต่ความคิดในหัวกลับกำลังใคร่ครวญอยู่ อีกฝ่ายมาหาถึงที่ คาดว่าคงไม่พูดจาเหลวไหลแน่
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ปีก่อน ยามที่องค์หญิงใหญ่ปลอมตัวออกเดินทางไปเที่ยวชมหอหิมะเหมันต์ พระองค์ได้ติดหนี้ข้าไว้”
การออกไปท่องเที่ยวครั้งนั้นของเฮ่าชิงชิงได้ถูกดำเนินการอย่างลับๆ อีกทั้งปกปิดไว้มิดชิดยิ่ง ไม่มีทางปล่อยให้แพร่งพรายสู่โลกภายนอกได้ เพราะถ้าเกิดเรื่องนี้แพร่ออกไป จะมีอันตรายใดแฝงอยู่บ้าง เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว ดังนั้นจั่วเต๋อซ่งจึงไม่ทราบเรื่องนี้เลย แต่เขารู้ดีว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้ จึงซักถาม “องค์หญิงติดหนี้เจ้าเท่าไร ถึงทำให้เจ้าดั้นด้นเดินทางไกลจากแคว้นเยี่ยนมาถึงแคว้นฉีได้?”
หนิวโหย่วเต้าชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว “ไม่มาก สองล้านเหรียญทองเท่านั้น!”
“…..” จั่วเต๋อซ่งพูดไม่ออก ถ้าสองล้านเหรียญทองไม่ถือว่ามาก เช่นนั้นเท่าไรถึงจะเรียกว่ามากเล่า?
เฉียนโยวที่ฟังอยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตดูสีหน้าของจั่วเต๋อซ่ง
“….” ลิ่งหูชิวเองก็ตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นฉีจะติดหนี้เจ้าหนุ่มคนนี้มากขนาดนี้ เรื่องนี้จะเป็นไปได้หรือ?
เมื่อครู่ได้ยินหนิวโหย่วเต้ากล่าวทำนองว่าไม่ได้มาเพราะม้าศึก เขาย่อมนึกว่าเป็นเพียงลูกไม้ข้ออ้าง ยามนี้พอได้ยินจำนวนเงินที่ติดไว้ เขากลับนึกสงสัยขึ้นมาแล้วจริงๆ ตลอดทางมานี้คนผู้นี้เอื่อยเฉื่อยไม่เร่งร้อน ดูไม่คล้ายว่าจะมาจัดการเรื่องสำคัญ คงไม่ใช่ว่าคิดจะใช้เรื่องม้าศึกมาเป็นข้ออ้าง หยิบยืมกำลังของสำนักทั้งหลายช่วยปกป้องตัวเองเพื่อเดินทางมาทวงหนี้ที่แคว้นฉีกระมัง?
ที่เขาสงสัยเช่นนี้ย่อมมีเหตุมาจากจำนวนเงินที่ติดหนี้ไว้ สองล้านเหรียญทอง ซางเฉาจงจะให้เงินมากขนาดนี้แก่หนิวโหย่วเต้าได้หรือ? หากหนิวโหย่วเต้าได้เงินก้อนนี้ไป ยังจำเป็นต้องทำงานรับใช้ซางเฉาจงอีกหรือ?
จั่วเต๋อซ่งดึงสติกลับมา เอ่ยถาม “เหตุใดองค์หญิงใหญ่ถึงติดหนี้เจ้ามากมายขนาดนี้?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เหตุผลภายในเรื่องราวข้าไม่สะดวกจะบอกเล่าอย่างละเอียด เพื่อไม่ให้องค์หญิงใหญ่ต้องเสียหายอับอาย เรื่องนี้ฝ่าซือประจำตัวองค์หญิงใหญ่ต่างเป็นพยานได้ ใต้เท้าจั่วไปถามดูย่อมรู้เอง”
จั่วเต๋อซ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยถามด้วยแววตาวาววับ “มีการลงนามทำสัญญาไว้หรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “เดิมทีมีการลงนามทำสัญญากับข้าไว้ แต่ข้าคืนสัญญาให้องค์หญิงใหญ่ไปแล้ว เนื่องจากข้าเชื่อว่าเชื้อพระวงศ์แคว้นฉีมิใช่คนถ่อยที่จะฉ้อโกงเบี้ยวหนี้”
จั่วเต๋ออันหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา “เงินสองล้านเหรียญทองมิใช่จำนวนน้อยๆ เจ้าไร้หลักฐานแต่กลับบอกว่าคนเขาติดหนี้เจ้า จะให้คนอื่นเชื่อเจ้าได้อย่างไร? หากว่าทุกคนต่างพูดปากเปล่าเหลวไหลเช่นนี้ได้ ใต้หล้ามิวุ่นวายแย่หรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ความยุติธรรมอยู่ในใจคน หากองค์หญิงใหญ่ไม่ยอมคืน ข้าก็อับจนวาจาจะกล่าว ดังนั้นจึงได้แต่มาขอร้องให้ใต้เท้าจั่วช่วยไปแจ้งต่อองค์หญิงใหญ่สักหน่อยว่าข้ามาแล้ว ช่วยนำเงินที่ติดค้างข้าไว้มาคืนด้วย!”
จั่วเต๋อซ่งลูบเคราส่ายหน้า “เรื่องราวจริงเท็จประการใดข้าไม่ทราบแน่ชัด ต่อให้องค์หญิงใหญ่จะติดหนี้เจ้าจริง แต่เรื่องของเชื้อพระวงศ์คือเรื่องในราชวงศ์ มิใช่เรื่องที่คนนอกอย่างพวกเราจะสอดมือเข้าไปแทรกแซงได้ ข้าเองก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน สภาองคมนตรีตะวันตกรับผิดชอบดูแลเรื่องราวต่างๆ ในราชวงศ์ ขอแนะนำให้เจ้าไปหาคนของสภาองคมนตรีตะวันตกช่วยจัดการ…”
เขาหาข้ออ้างมาผลักเรื่องราวให้พ้นตัว เขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องประเภทนี้ได้อย่างไร นี่มิใช่จำนวนเงินเล็กน้อยเลย เสนาบดีปฏิคมผู้ทรงเกียรติช่วยคนนอกทวงเงินเชื้อพระวงศ์มันหมายความว่าอย่างไร?
การที่เขามานั่งคุยกับหนิวโหย่วเต้าอยู่ตรงนี้ก็ถือว่าให้เกียรติมากแล้ว มิเช่นนั้นด้วยฐานะตำแหน่งของเขา ไม่จำเป็นต้องเห็นหนิวโหย่วเต้าอยู่ในสายตาเลย ที่ยอมมาคุยด้วยเช่นนี้ก็เพียงเพราะชื่อเสียงอันโด่งดังของหนิวโหย่วเต้า อยากเห็นว่าเป็นคนแบบไหนกันแน่
ว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว บางครั้งชื่อเสียงก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ จะมีความสามารถจริงเหมือนอย่างชื่อเสียงหรือไม่ไม่สำคัญ แต่ผลประโยชน์อื่นๆ ที่ตามมาจากการที่ผู้คนจำนวนมากจับตามองมานั้นคือเรื่องจริง ยกตัวอย่างเช่นเสวียนจื่อชุนที่ยอมเสี่ยงมาท้าทายหนิวโหย่วเต้า มิใช่เพราะชื่อเสียงหรอกหรือ เมื่อมีชื่อเสียงก็ย่อมมีผลประโยชน์ตามมาด้วยเสมอ
จากนั้นเขาย่อมอ้างว่ายังมีภาระงานต่อ เพื่อจะไล่หนิวโหย่วเต้าออกไป
หนิวโหย่วเต้าก็ไม่ได้ดึงดันจะอยู่ที่นี่เช่นกัน ถึงอยากอยู่ก็อยู่ไม่ได้ หากต้องถูกคนอื่นไล่ตะเพิดออกไปคงอับอายขายหน้า ระหว่างที่ลุกขึ้นกล่าวอำลา เขาได้เอ่ยขอร้องครั้ง “ใต้เท้าจั่ว หนี้ที่ติดค้างย่อมต้องชำระคืน ในเมื่อข้ามาหาใต้เท้าจั่วทั้งที ก็หวังว่าใต้เท้าจั่วจะยอมเมตตา ช่วยถ่ายทอดถ้อยคำให้ สำหรับใต้เท้าจั่วแล้ว นี่มิใช่เรื่องยากเย็นอันใดเลย!”
จั่วเต๋อซ่งยิ้มน้อยๆ กล่าวไปว่า “ข้าพูดไปชัดเจนมากแล้ว ข้ารับผิดชอบเรื่องติดต่อภายนอกแคว้น เรื่องราวของราชวงศ์อยู่ในความรับผิดชอบของสภาองคมนตรีตะวันตก เฉียนโยว ส่งแขก!”
“เชิญ!” เฉียนโยวผายมือเชิญทันที
หนิวโหย่วเต้ายกมือขึ้นมา สื่อว่าขอเวลาอีกสักครู่ “ก็เป็นเพราะใต้เท้าจั่วรับผิดชอบเรื่องติดต่อภายนอกแคว้น ข้าถึงได้มาหาใต้เท้าจั่ว”
จั่วเต๋อซ่งร้องโอ้ เอ่ยด้วยความรู้สึกสนใจ “ข้าชักอยากฟังเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วสิ หรือว่าเจ้าจะเป็นราชทูตลับจากแคว้นใด? ”
หนิวโหย่วเต้าอธิบายไปว่า “คนที่อยู่ในแคว้นฉี บางทีข้าอาจจะจัดการได้ไม่สะดวก แต่คนที่อยู่นอกแคว้นฉี เมื่อไม่มีอิทธิพลอันแข็งแกร่งของแคว้นฉีคอยปกป้องคุ้มครอง จะเกิดเรื่องใดขึ้นบ้างข้าเองก็ไม่กล้ารับประกัน ยกตัวอย่างเช่นจั่วอันเหนียนบุตรชายของท่านที่ไปปฏิบัติหน้าที่ในแคว้นจ้าว แล้วก็ยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาอีกมากมาย ข้าคิดว่าใต้เท้าคงไม่อยากเห็นลูกน้องของตนประสบเหตุนอกแคว้นอยู่เนืองๆ กระมัง!”
วาจานี้เปี่ยมไปด้วยน้ำเสียงของการข่มขู่
ลิ่งหูชิวสะดุ้งโหยง ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ หนิวโหย่วเต้าจะพูดจาไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นนี้ออกมา เขารีบกระตุกแขนเสื้อหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อย “ระวังคำพูดหน่อย!”
ม่านตาจั่วเต๋อซ่งหดตัววูบ
“สามหาว!” เฉียนโยวโมโหขึ้นมาทันที
จั่วเต๋อซ่งกลับยกมือปรามเล็กน้อย ยิ้มน้อยๆ เอ่ยไปว่า “หนิวโหย่วเต้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่ เจ้ากำลังข่มขู่ข้าหรือ?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญกับเหตุการณ์ที่มีผู้บำเพ็ญเพียรต่างแคว้นกล้าวิ่งมาข่มขู่วางอำนาจต่อหน้าเขาในจวนเสนาบดีปฏิคมของตน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า