สรุปเนื้อหา ตอนที่ 304 เสียสละตนเพื่อผู้อื่น – ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet
บท ตอนที่ 304 เสียสละตนเพื่อผู้อื่น ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ตอนที่ 304 เสียสละตนเพื่อผู้อื่น
รุ่งเช้า ณ วังหลวง
หลังจากว่าราชการยามเช้าเสร็จ ขุนนางสองคนเดินเล่นเป็นเพื่อนเฮ่าอวิ๋นถู ฮ่องเต้และขุนนางพูดคุยหารือ กิ่งหลิวโน้มเอนริมทะเลสาบ ระลอกคลื่นเปล่งประกายระยิบระยับ
เผยซานเหนียงยืนกุมมืออยู่ใต้ต้นหลิวต้นหนึ่ง นางเห็นว่าฝ่าบาทหารือกับขุนนางอยู่ จึงไม่ได้เข้าไปรบกวน
เฮ่าอวิ๋นถูเองก็เพียงแค่ปรายตามองนางเล็กน้อย เดินผ่านหน้าเผยซานเหนียงไป
เผยซานเหนียงมองปู้สวินผู้เป็นผู้ดูแลหลวงที่เดินตามอยู่ด้านหลัง พยักหน้าส่งสัญญาณให้เล็กน้อย
ปู้สวินชะลอฝีเท้า หยุดลงข้างกายนาง เผยซานเหนียงกระซิบกระซาบริมหูเขาอยู่ครู่หนึ่ง
ปู้สวินขมวดคิ้ว จากนั้นกวักมือเรียก ด้วยเหตุนี้เผยซานเหนียงจึงติดตามอยู่ด้านข้างเขา เดินตามหลังองค์ฮ่องเต้และขุนนางที่เดินนำอยู่ด้านหน้าไป
กระทั่งฝ่าบาทหารืองานราชการกับขุนนางเสร็จเรียบร้อย ขุนนางทั้งสองขอตัวอำลาไป ปู้สวินถึงเดินเข้าไปรายงานต่อเฮ่าอวิ๋นถู จากนั้นกวักมือเรียกเผยซานเหนียงเข้ามาหา
หลังจากเผยซานเหนียงก้าวเข้ามาทำความเคารพเสร็จ ก็บอกเล่าเหตุการณ์ที่ไปพบกับหนิวโหย่วเต้าเมื่อคืนนี้
หลังจากเฮ่าอวิ๋นถูฟังจบก็มองปู้สวินที่อยู่ด้านข้าง สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสดี ไม่มีทีท่าว่าจะโกรธเคืองเลย แต่กลับให้ความรู้สึกคล้ายว่าสนุกอยู่เสียด้วยซ้ำ
ปู้สวินยิ้มตาม ค้อมกายกล่าวว่า “ช่างใจกล้าเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ!”
เฮ่าอวิ๋นถูแค่นหัวเราะเฮอะๆ “เป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรตัวเล็กๆ คนหนึ่ง กลับกล้ามาข่มขู่ข้าได้!”
เผยซานเหนียงก้มหน้าเล็กน้อย ไม่ปริปากใดๆ นางเพียงรายงานไปตามความจริงเท่านั้น ไม่ได้เสนอความเห็นใดๆ
“ตอบตกลงเขาไป บอกว่าข้าอนุญาต!” เฮ่าอวิ๋นถูปรายตามองพลางเอ่ยทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง จากนั้นหันหลังเดินจากไป
ปู้สวินมองเผยซานเหนียงด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม หันหลังเดินตามท่านผู้นั้นออกไปเช่นกัน
….
หนิวโหย่วเต้าตามเฟิงเอินไท่เข้ามาในเรือน ได้กลิ่นดินโคลนอบอวลชัดเจน มีดินโคลนกองสุมกันอยู่ในห้องหลายห้อง ดินที่กองสุมอยู่รอบกำแพงสูงจนเกือบเท่าผนังกำแพงแล้ว
ศิษย์สำนักหยกสวรรค์ยืนเรียงแถวกันอยู่ใต้ชายคา ต่างมองหนิวโหย่วเต้าที่เดินตามเฟิงเอินไท่เข้ามา
โดยรวมแล้วการเก็บกวาดภายในลานเรือนยังคงหมดจดอย่างยิ่ง เฟิงเอินไท่พาหนิวโหย่วเต้าเดินไปที่ริมบ่อน้ำ ชี้ลงไปแล้วกล่าวว่า “ทางเข้าอยู่ด้านใน”
หนิวโหย่วเต้ายื่นหัวมองลงไป เห็นว่าน้ำในบ่อขุ่นขลั่ก บนผนังบ่อมีโพรงรูหนึ่ง
เฟิงเอินไท่นำลงไปก่อน มุดเข้าไปในโพรง หนิวโหย่วเต้าตามลงไป เฮยหมู่ตานเฝ้าอยู่นอกบ่อ
ปากบ่อกว้างพอให้มุดเข้าไปได้คนเดียว ระยะความกว้างของเส้นทางภายในโพรงเองก็เหมือนกัน พอให้ผ่านเข้าไปได้คนเดียว ค่อนข้างชื้นแฉะด้วย
เฟิงเอินไท่ปล่อยผีเสื้อจันทราออกมา นำทางอยู่ด้านหน้า สุดท้ายก็มาหยุดที่ปลายอุโมงค์ที่ห่างออกมาหนึ่งร้อยจั้ง ปลายทางกว้างขึ้นมาเล็กน้อย พอให้ยืนกันได้สองถึงสามคน
หลังจากหนิวโหย่วเต้าตามมาถึง เฟิงเอินไท่ชี้ขึ้นไปด้านบน หนิวโหย่วเต้าเงยหน้ามองขึ้นไป มองเห็นแผ่นศิลาแผ่นหนึ่งปิดอยู่เหนือศีรษะ
“ด้านบนคือห้องเก็บของที่ใช้เก็บข้าวของจิปาถะของบ้านหลังนั้น เพื่อที่จะไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น จึงไม่ได้เจาะทะลุปลายทางเอาไว้ รอให้ถึงเวลาที่น้องหนิวต้องการ ก็สามารถเจาะทะลุขึ้นไปได้ง่ายๆ” เฟิงเอินไท่เอ่ยอธิบาย
หนิวโหย่วเต้าใคร่ครวญถึงเส้นทางใต้ดินอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขาเองก็นับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการคำนวณตำแหน่งของเส้นทางใต้ดิน เมื่อครุ่นคิดดูเล็กน้อยก็พอจะวิเคราะห์ตำแหน่งที่ตนอยู่ได้คร่าวๆ แล้ว ดูแล้วน่าจะถูกต้องตามที่อีกฝ่ายกล่าวมา จึงพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ลำบากท่านแล้ว กลับกันเถอะ”
ระหว่างที่เดินกลับ เฟิงเอินไท่แสดงความรู้สึกผิด “เส้นทางเข้าออกอุโมงค์แคบไปหน่อย เพราะตอนที่ขุดเจาะไม่กล้าทำให้เกิดเสียงดัง ก็เลยต้องระวังเวลาเจาะ ทำให้ขุดได้ค่อนข้างช้า น้องหนิวอยากให้เสร็จสิ้นก่อนเที่ยง จึงได้แต่ต้องทำหยาบๆ เช่นนี้ก่อน”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ไม่เป็นไร ก็แค่อุโมงค์ที่เอาไว้ใช้งานชั่วคราวเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องดีมากก็ได้”
ทั้งสองออกมาจากอุโมงค์ ทะยานขึ้นมาจากบ่อน้ำ หนิวโหย่วเต้าเอ่ยกับเฟิงเอินไท่ต่อว่า “พี่ใหญ่ พวกท่านไปเถอะ เก็บกวาดให้เรียบร้อยแล้วรีบจากไปให้เร็วที่สุด”
เฟิงเอินไท่มองเขาด้วยความตะลึง สีหน้าซับซ้อนขึ้นมา นี่เท่ากับว่าอีกฝ่ายกำลังจะเสียสละตัวเองเพื่อแบกรับภาระแทนสำนักหยกสวรรค์!
เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรดี สุดท้ายประสานมือค้อมคำนับ “คำสั่งสำนักยากจะขัดขืนได้จริงๆ น้องหนิว ครั้งนี้นับว่าพี่ใหญ่ผิดต่อเจ้า!”
เขายังไม่รู้เรื่องที่หนิวโหย่วเต้าขอร้องให้เผยซานเหนียงไปช่วยเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ให้ยอมเมตตาละเว้น
ถึงตอนนี้ศิษย์สำนักหยกสวรรค์ที่ทำงานขุดเจาะอุโมงค์ก็พอจะทราบแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น พอเป็นเช่นนี้ก็มีคนทยอยเข้ามาประสานมือค้อมคำนับหนิวโหย่วเต้า สุดท้ายศิษย์สำนักหยกสวรรค์ทั้งหมดล้วนเข้ามาค้อมคำนับเขา
หนิวโหย่วเต้ายื่นสองมือไปประคองเฟิงเอินไท่ขึ้นมา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้แล้ว หากว่าครานี้ข้ารอดชีวิตไปได้ พี่ก็อย่าลืมตอบแทนน้ำใจก็พอ เก็บของแล้วออกเดินทางเถอะ” เขาไม่ได้เอ่ยอะไรให้มากความเช่นกัน หันหลังเดินนำเฮยหมู่ตานออกไป
เฟิงเอินไท่มองส่งเขาจากไป จากนั้นมองไปที่เหล่าศิษย์สำนักหยกสวรรค์ที่ยืนเรียงแถวอยู่ใต้ชายคา ถอนใจออกมาเบาๆ
….
ยามที่เรียกรวมตัวคนอื่นๆ ให้อพยพไปด้วยกัน นางก็บังเอิญพบกับเฟิงเอินไท่ที่มากล่าวอำลาที่นอกเรือนพอดี ลิ่งหูชิวเองก็ยกมือไพล่หลังเดินตามมาเช่นกัน
พอเห็นพวกเฮยหมู่ตาน ทางเขาย่อมสอบถามว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เมื่อทราบว่าพวกเฮยหมู่ตานก็จะหนีเช่นกัน เขาพลันตกตะลึง!
“เฟิงเหยี่ย เต้าเหยี่ยบอกให้พวกเรารีบออกเดินทางทันทีเจ้าค่ะ!” เฮยหมู่ตานยื่นมือไปขวางเฟิงเอินไท่ที่ต้องการเข้าไปสอบถามให้ชัดเจนเอาไว้
สุดท้าย เหลือเพียงลิ่งหูชิวที่วิ่งเหยาะๆ เข้ามาในเรือนของหนิวโหย่วเต้าด้วยความเร่งร้อน พอเห็นหนิวโหย่วเต้านั่งอยู่ในห้องเพียงลำพัง เขาก็ถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจว่า “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดคนฝั่งเจ้าถึงไปกันหมดเลยเล่า? เฮ่าอวิ๋นถูไม่ตอบตกลงหรือ?”
“เปล่า ยังไม่มีข่าวมาจากเผยซานเหนียง”
“เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงให้พวกเขาหนีไปล่ะ?”
จะไม่ให้เขากังวลก็ไม่ได้ หากเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ เขาไม่มีทางร่วมตายไปพร้อมกับหนิวโหย่วเต้า เขาย่อมต้องหนีเอาตัวรอดเช่นกัน น้องชายร่วมสาบานที่ไม่ได้เรื่องเช่นนี้ไม่เอาแล้วก็ได้
หนิวโหย่วเต้าหยิบกาน้ำชาบนโต๊ะมารินชาให้เขา กล่าวไปว่า “แค่ให้พวกเขานำหน้าไปก่อนเท่านั้น ไม่ได้ให้พวกเขาหนีไป ทุกคนจะมาติดอยู่ที่นี่กันหมดไม่ได้ ให้พวกเขาออกไปจากที่นี่ก่อน เพราะข้าเตรียมการในด้านอื่นไว้ จะได้รับมือได้ทันท่วงทีหากเกิดอะไรขึ้น”
“น้องหนิว ข้าว่าเจ้าอย่ามาหลอกข้าจะดีกว่า!”
“พี่รอง ดูท่านพูดเข้าสิ เห็นข้าหน่ายจะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร? ท่านคิดว่าข้าเป็นคนมีคุณธรรมยิ่งใหญ่จนสามารถเสียสละตนเพื่อผู้อื่นได้หรือ?”
พอได้ฟังคำพูดนี้ ลิ่งหูชิวคิดๆ ดูก็พบว่าจริงดั่งว่า จึงเบาใจลงเล็กน้อย ค่อยๆ นั่งลงด้านข้าง ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มช้าๆ แต่ยังคงมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่
“พี่รอง ท่านดูสิ ตอนนี้ข้างกายข้าไม่มีคนอยู่รับใช้เลยสักคน ทว่าข้างกายท่านกลับมีสตรีอยู่สองนาง มิสู้แบ่งหงซิ่วหรือหงฝูมาให้ข้าสักคนเป็นอย่างไร?”
“เจ้าคิดเหลวไหลกับพวกนางให้น้อยๆ หน่อยเถอะ โบราณว่าภรรยาสหายไม่อาจล่วงเกินได้ หรือเจ้าไม่รู้? ยิ่งไปกว่านั้นพวกนางเป็นสตรีของพี่ชายเจ้านะ!”
“ดูท่านพูดเข้าสิ เห็นข้าเป็นคนประเภทนั้นหรือ?”
“ฮ่าๆ เจ้าสนใจพวกนางน้อยเสียเมื่อไรเล่า? ระหว่างทางอยากจะให้พวกนางไปหลับนอนเป็นเพื่อนเจ้าอยู่กี่ครั้ง เจ้าลองนับเอาเองเถิด”
“ถึงขนาดนี้แล้ว ข้ายังจะคิดเหลวไหลอะไรได้อีก เพียงอยากได้ผู้ช่วยสักคนเท่านั้น”
“จะยกให้เจ้าสักคนก็ได้…ไม่สิ ไม่ใช่ยกให้เจ้า แต่ให้เป็นผู้ช่วยเจ้าชั่วคราว ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อนนะ อย่าได้ทำอะไรรุ่มร่าม มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้า!”
……………………………………………………………..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า