ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 32

ตอนที่ 32 ตกอยู่ในอันตราย

พอข้ามฝั่งไป ทั้งขบวนได้ขึ้นฝั่งอีกครั้งภายใต้การสอดส่องดูแลของทหารรักษาการณ์

แม่ทัพฝ่ายตรงข้ามนำกองทหารเข้ามาต้อนรับซางเฉาจง ทางนี้ยังไม่ได้ก่อกบฏอย่างสมบูรณ์ ในนามยังนับว่าเป็นคนของราชสำนักอยู่ ส่วนฝ่ายซางเฉาจงเองก็ยังนับว่าเป็นท่านอ๋องแห่งราชสำนักอยู่ ว่ากันตามหลักแล้วย่อมสมควรมาต้อนรับ สรุปแล้วก็คือทางนี้ยังนับว่ามีมารยาทต่อซางเฉาจง แล้วก็ทราบว่าอันที่จริงซางเฉาจงไม่ถือเป็นคนของราชสำนักแล้ว จึงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นศัตรูกัน

เดิมทีแม่ทัพทางฝ่ายนี้ต้องการจัดงานเลี้ยงรับรอง ทว่าซางเฉาจงปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม ต้องการเพียงเสบียงบางส่วนเท่านั้น สำหรับกองทัพกบฏที่กระทำตัวอวดดีแข็งข้อกับทางราชสำนักเหล่านี้ เขาไม่มีความรู้สึกดีอันใดให้ ดีร้ายอย่างไรเขาก็เป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง

แต่ทางฝ่ายนี้ยังคงมีมารยาท ส่งทหารม้ากลุ่มเล็กๆ จำนวนสิบนายมาคอยคุ้มกันขบวนของซางเฉาจง บอกว่าจะคุ้มกันซางเฉาจงจนออกจากเขตจังหวัดกว่างอี้

ซางเฉาจงไม่ได้ปฏิเสธ แล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ รู้ดีว่าการคุ้มกันเป็นเพียงฉากหน้า ความจริงเป็นการจับตามอง เพราะว่าเขามีทหารม้าชั้นยอดอยู่ในมือห้าร้อยนาย หากจัดเป็นกระบวนทัพขึ้นมาก็ทรงพลังพอจะบุกทะลวงโจมตีได้ เกรงว่ากระทั่งพลทหารเดินเท้าสองสามพันคนที่จัดเป็นกระบวนทัพขึ้นมาก็คงจะต้านเอาไว้ไม่อยู่ สามารถประสานการโจมตีร่วมกับทางกองทัพของราชสำนักได้เลย จังหวัดกว่างอี้และราชสำนักกำลังมีความขัดแย้งกันอยู่ ฝั่งนั้นจำเป็นต้องระวังไว้

ขบวนทหารม้าออกเดินทางอีกครั้งโดยมีทหารกลุ่มเล็กๆ ติดตามอยู่ด้านหลัง แม่ทัพหนุ่มของทหารกลุ่มนั้นมีนามว่าชวีอู่ คอยจับตามองอยู่ในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลตลอดการเดินทาง เมื่อผ่านจุดพักม้าจะส่งสารรายงานสถานการณ์ระหว่างทางเสมอ

ความจริงเมื่อเข้าตัวเมืองจังหวัดกว่างอี้ วัดหนานซานก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้ว วันต่อมาในที่สุดก็มาถึงเชิงเขาหนานซานแล้ว พื้นที่ป่าเขาทั้งหมดที่อยู่ด้านข้างถนนหลวงก็คือเขาหนานซานที่เรียกขานกัน

ซางซูชิงหันไปตะโกนเรียก “เสด็จพี่!”

ซางเฉาจงชูมือขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สาเหตุที่มีสีหน้าเคร่งขรึม เพราะทางฝั่งพวกเขาได้คาดเดาแล้วว่าไม่ช้าก็เร็วหนิวโหย่วเต้าจะต้องแยกทางกับพวกเขา รั้งตัวไว้ไม่อยู่แล้ว เหตุที่อีกฝ่ายยังโอ้เอ้ไม่จากไปเกรงว่าจะเป็นเพราะเรื่องส่งจดหมาย เมื่อมาถึงเขาหนานซานเกรงว่าคงถึงเวลาที่หนิวโหย่วเต้าจะบอกลาแล้ว

เหล่าทหารมองเห็นสัญญาณมือสั่งหยุด จึงรั้งบังเหียน หยุดม้าอยู่บนถนน

ซางซูชิงที่สวมหมวกม่านแพรนั่งอยู่บนหลังม้า โน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย เอียงคอมองหนิวโหย่วเต้าที่อยู่อีกด้านหนึ่ง “ฝ่าซือ ท่านต้องส่งจดหมายมิใช่หรือ? ถึงเขาหนานซานแล้ว”

“โอ้! ถึงแล้วหรือ?” หนิวโหย่วเต้าท่าทางเหมือนเพิ่งรู้

ฉู่เจ๋อที่เป็นนายกองผู้รับผิดชอบเรื่องสำรวจเส้นทางชี้ไปยังทางขึ้นเขาที่อยู่ไม่ไกล “นี่คือทางไปวัดหนานซาน!”

หนิวโหยวเต้าหันกลับไปชี้ห่อสัมภาระที่ผูกไว้บนหลังม้าของหยวนกัง เอ่ยว่า “เจ้าลิง จดหมายอยู่ในห่อ เจ้าช่วยนำไปส่งให้ข้าที!”

หยวนกังพยักหน้ารับเงียบๆ กระตุกบังเหียนที่อยู่ในมือ แยกตัวออกจากขบวน ม้าเดินหมุนวนอยู่ที่เดิมครึ่งรอบ จากนั้นยกแส้ชี้ไปทางองครักษ์นายหนึ่งในขบวน เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เกรงใจเลยสักนิดว่า “เจ้า ไปกับข้า!”

องครักษ์นายนั้นนามว่าซูเจี๋ยเหริน เมื่อเห็นเขาชี้มาที่ตน จึงอดงุนงงไม่ได้ หันไปมองผู้นำของตน ซางเฉาจงหันกลับมาพยักหน้าส่งสัญญาณให้เล็กน้อย เขาถึงควบม้าออกจากขบวน หยวนกังสะบัดบังเหียน ควบม้าเข้าสู่ทางขึ้นเขา ซูเจี๋ยเหรินไล่ตามหลังไป

“เฝ้าระวัง!” หลานรั่วถิงตะโกน พร้อมกับส่งสายตาให้กวนเถี่ยที่อยู่ด้านข้าง

กวนเถี่ยเข้าใจเจตนา พยักหน้าเล็กน้อย นำทหารกลุ่มหนึ่งออกลาดตระเวนไปในทิศทางหนึ่ง ทหารม้าห้าร้อยนายกระจายตัวไปเฝ้าระวังตามคำสั่ง

แม่ทัพชวีอู่ของจังหวัดกว่างอี้ผู้รับผิดชอบสังเกตการณ์พาทหารควบม้าเข้ามา เอ่ยถาม “ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

หลานรั่วถิงยิ้มพลางเอ่ยตอบแทน “ไม่มีอะไร แค่ให้คนไปส่งจดหมายที่วัดหนานซาน ประเดี๋ยวก็กลับมา ใช้เวลาไม่นาน”

ชวีอู่ร้อง “อ้อ” คำหนึ่ง พาคนถอยออกไป มองสังเกตการณ์รอบข้างอยู่ตลอด…

……..

“มากับข้า!”

หยวนกังที่ควบม้าไปตามเส้นทางภูเขาจู่ๆ ก็หันกลับมาตะโกนคราหนึ่ง บังคับม้าเลี้ยวเปลี่ยนทาง เฉออกจากเส้นทางบนภูเขา พุ่งเข้าสู่ป่ารถทึบที่มีลักษณะราบเรียบ

ซูเจี๋ยเหรินเลี้ยวตามไป เข้าป่าทึบไปได้ไม่ไกล จู่ๆ หยวนกังที่อยู่ด้านหน้าพลันลงแส้หยุดม้าอีกครั้ง มองสำรวจรอบข้างอย่างเงียบๆ

ซูเจี๋ยเหรินเข้ามาหาพลางหยุดม้าตาม ถามด้วยความสงสัย “พี่หยวน มิใช่จะไปส่งจดหมายที่วัดหนานซานหรือ?”

“ลงม้า!” หยวนกังเอ่ยสั้นๆ ประโยคหนึ่ง วาดขากระโดดลงจากหลังม้า ปลดห่อสัมภาระบนหลังม้าลงมา หยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาจากห่อสัมภาระ เป็นเสื้อผ้าของหนิวโหย่วเต้า

ซูเจี๋ยเหรินเพิ่งลงจากม้า ยังไม่ทันตั้งตัวก็ต้องยื่นมือไปรับเสื้อผ้าที่หยวนกังโยนมาให้ กอดไว้ด้วยสีหน้ามึนงง

หยวนกังพยักเพยิดหน้าให้เขา บอกว่า “เปลี่ยนเสื้อผ้า!”

“เพราะเหตุใด?” ซูเจี๋ยเหรินไม่เข้าใจ

หยวนกังกล่าวว่า “ให้เจ้าเปลี่ยนก็เปลี่ยนสิ ไยต้องพูดไร้สาระมากความ!”

ซูเจี๋ยเหรินรู้สึกจนปัญญา ได้แต่ทำตามที่บอก เขาเคลื่อนไหวเชื่องช้า หยวนกังจึงเอ็ดใส่อีกครั้ง “เร็วเข้า!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า