ตอนที่ 31 ขุนศึกองอาจขนานแท้
หยวนกังยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น วางท่าชัดเจนว่าพวกเจ้าจะคนไหนก็เข้ามาได้เลย
หนิวโหย่วเต้าเองก็เอ็ดขึ้นมาว่า “เจ้าลิง อย่าก่อเรื่อง กลับมา นี่มิใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาเที่ยวเล่นสนุกได้!”
“ข้ามิได้เล่นสนุก หากข้าแพ้จะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่ท่านอ๋องเลย” หยวนกังให้คำมั่น
ซางเฉาจงได้ฟังก็ลอบปรีดา อยากจะรับตัวหยวนกังเข้ามาอยู่ในกองทหารของตน เมื่อดูจากสิ่งที่ได้เห็นได้ยินมาในป่าทางหมู่บ้านเสี่ยวเมี่ยวแห่งนั้น การที่เขาสามารถนำกลุ่มชาวบ้านต่อต้านการปล้นชิงของทหารทรามได้ นั่นก็เพียงพอที่จะยืนยันแล้วว่าคนผู้นี้มีทักษะบัญชาการทัพออกศึกในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
จากนั้นหยวนกังก็หันไปหาเฉินซู่หลินที่อยู่ตรงกันข้าม พยักเพยิดหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “แล้วถ้าเจ้าแพ้จะทำอย่างไร?”
เฉินซู่หลินก็เอ่ยว่า “ถ้าข้าแพ้ก็แล้วแต่เจ้าจะจัดการเช่นกัน!”
หยวนกังเอ่ยอย่างเฉยชา “เจ้าเป็นทหารของท่านอ๋อง คำพูดเจ้านับได้ด้วยหรือ?”
“….” เฉินซู่หลินถูกตอกกลับมาจนพูดไม่ออก อดไม่ได้ที่จะมองไปทางซางเฉาจงเพื่อขอความช่วยเหลือ
ซางเฉาจงหัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าว “อนุญาต!”
หยวนกังเอียงคอมองเขา “กระหม่อมไม่ได้อยากล่วงเกินใคร เพียงแต่การเดินทางครั้งนี้ยากลำบาก จึงอยากได้คนวิ่งเต้นทำธุระเล็กน้อยแทนสักคน หากกระหม่อมชนะ ท่านอ๋องได้โปรดอนุญาตให้กระหม่อมเลือกคนไว้ใช้สอยได้ตามใจชอบแทนก็พอ มิทราบว่าท่านอ๋องคิดเห็นประการใด?”
ซางเฉาจงโบกมือพลางเอ่ยว่า “อนุญาต!”
หนิวโหย่วเต้าตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าลิง หยุดก่อเรื่อง!”
แต่คำพูดของเขาคล้ายจะไม่มีประโยชน์อันใด เหล่าองครักษ์ไหนเลยจะฟังเขา กระทั่งหยวนกังก็ยังเมินเฉย คนที่เหลือยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
มีการพนันขันแข่งบ้างก็คล้ายเป็นเรื่องดี ทุกคนล้วนกระฉับกระเฉงขึ้นมา การเดินทางไกลนั้นน่าเบื่อไร้รสชาติ เวลานี้อย่างน้อยก็มีเรื่องครื้นเครงให้ชม จึงพากันแหวกทางออกไปซ้ายขวา เปิดเป็นพื้นที่โล่งให้ ม้าสองตัวถูกจูงมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง นอกจากนี้ยังมีดาบง้าวอันเป็นอาวุธติดตัวขององครักษ์ให้ด้วย
เฉินซู่หลินพลิกตัวขึ้นม้า รับดาบง้าวที่ถูกโยนเข้ามา กุมบังเหียนควบม้าทะยานออกไปไกล จากนั้นหยุดลงพลางหันกลับมามองทางนี้
ทว่าหนิวโหย่วเต้ากลับไม่ได้ถอยออกไป กระทั่งคนที่ส่งม้ามอบดาบถอยออกไปแล้ว เขากลับก้าวเข้าไปตำหนิหยวนกังว่า “เจ้าก่อเรื่องอันใดของเจ้า!” จากนั้นก็ลดเสียงกระซิบอีกประโยคว่า “นายไหวไหม? อย่าฝืนทำอวดดีล่ะ!”
หยวนกังลดเสียงกระซิบตอบไป “ผมต่อสู้กับพวกทหารทรามที่หมู่บ้านมาหลายปี คุณเดาถูกแล้ว ความก้าวหน้าในการฝึกฝนปราณเสริมแกร่งในโลกนี้รวดเร็วจนยากจะจินตนาการได้จริงๆ!”
พอได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้าจึงวางใจ มีความมั่นใจก็ดี จากนั้นแสร้งทำเป็นด่าทอหยวนกังอีกยกหนึ่ง แต่ด่าไปก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายจึงสะบัดแขนเสื้อหันหลังจากไป ไปรอชมอยู่ด้านข้างกับพวกซางเฉาจง
ไกลออกไป เฉินซู่หลินโอ้อวดข่มขวัญ กวัดแกว่งดาบง้าวในมือแสดงกริยายั่วยุท้าทายต่างๆ นาๆ มาทางด้านนี้
หยวนกังมองแวบหนึ่ง โยนบังเหียนกลับไปบนอานม้า ตบบั้นท้ายม้าศึกด้วยดาบง้าวในมือ ม้าศึกหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด วิ่งเตลิดออกไปด้านข้าง ถูกองครักษ์ที่อยู่บริเวณนั้นหยุดไว้
ผู้ชมที่อยู่สองฝั่งตื่นตะลึง เฉินซู่หลินที่โอ้อวดข่มขวัญอยู่อีกด้านหนึ่งก็ตะลึงงันเช่นกัน ไม่รู้ว่าหยวนกังทำเช่นนี้หมายความว่ากระไร
ทว่าการกระทำต่อมาของหยวนกังยิ่งทำให้ผู้คนประหลาดใจ พวกเขามองเห็นหยวนกังกวัดแกว่งดาบอย่างส่งๆ แล้วโยนออกไปด้านข้าง
ฟ้าว! ดาบง้าวบินมา เสียบลงบนพื้นเบื้องหน้าซางเฉาจง
เหล่าทหารอดมองหน้ากันไม่ได้ นี่มันเรื่องอะไรกัน หรือคิดจะสู้กับเฉินซู่หลินที่ควบม้าอยู่ด้วยมือเปล่า? หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเปรียบเทียบกันในด้านพละกำลังแล้วจะต้องเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวงแน่นอน พลังปะทะของม้าศึกนั้นมากมายมหาศาล หากถูกม้าศึกพุ่งชนถ้าไม่ตายก็ต้องพิการ หากคนที่อยู่บนหลังม้าฉวยโอกาสฟันดาบใส่ก็ยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก!
ซางเฉาจงจ้องมองทุกอากัปกริยาของหยวนกังด้วยแววตาเป็นประกาย เขามองเห็นความสุขุมเยือกเย็นก่อนออกศึกจากตัวหยวนกัง มีท่วงท่าลักษณะของแม่ทัพใหญ่ ภายในใจยิ่งทวีความชื่นชม
หนิวโหย่วเต้ายันกระบี่ต่างไม้เท้า สีหน้าสงบเยือกเย็น ทว่าในแววตาเผยความรู้สึกสนใจออกมานิดๆ เขาเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าพลังในปัจจุบันของหยวนกังเป็นเช่นใด
ท่ามกลางการจับจ้องของเหล่าทหาร จู่ๆ หยวนกังพลันยกแขนข้างหนึ่งขึ้น กำหมัดยกนิ้วโป้งข้างหนึ่งชูให้เฉินซู่หลิน จากนั้นคว่ำมือลง นิ้วโป้งชี้ลงเบื้องล่าง
มาตรว่าในที่แห่งนี้จะมีเพียงหนิวโหย่วเต้าที่ทราบว่าท่าทางนี้มีความหมายว่าอย่างไร แต่ทุกคนล้วนมิใช่คนโง่ ต่างเดาได้ว่านี่คือสัญญาณมือยั่วยุอย่างหนึ่งที่มองไม่เข้าใจ
เฉินซู่หลินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเผยรอยยิ้มเยียบเย็น ทว่าในใจกลับมีเปลวไฟลุกท่วม กล้ามาท้าทายด้วยมือเปล่า มันจะดูถูกพวกข้าเกินไปหน่อยแล้ว!
“ไป!” เฉินซู่หลินหวดดาบง้าวไปที่บั้นท้ายม้า สองเท้ากระทุ้งสีข้างม้า ม้าศึกที่เขาขี่อยู่พลันกางสี่เท้าห้อเหยียด ดินโคลนและวัชพืชใต้กีบเท้าทั้งสี่ปลิวกระจาย ทั้งคนและม้าพุ่งเข้ามาดั่งลมพายุ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า