ตอนที่ 320 หงเหนียง
ในน้ำเสียงเปี่ยมด้วยอารมณ์ซับซ้อนที่ยากจะอธิบายได้
เว่ยฉูเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ “ท่านอ๋อง เรื่องนี้เกรงว่าจะจัดการได้ยากพ่ะย่ะค่ะ ทางฝั่งอวี้อ๋องไม่มีทางปล่อยให้ข่าวหลุดรอดออกมาแน่ ส่วนทางปู้สวินพวกเราก็ไม่กล้าไปสอบถามเช่นกัน หากถามไปเกรงว่าจะทำให้ปู้สวินเข้าใจผิดว่าพระองค์แอบสอดส่องเขาอยู่ ไม่เป็นผลดีต่อท่านอ๋องเลยพ่ะย่ะค่ะ ด้านคนที่ติดตามไปกับพวกเขาก็เป็นคนจากสามสำนัก คนของสามสำนักยึดหลักการใดพระองค์ก็ทราบดี พวกเราไม่ควรไปถามเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าฉี่เอ่ยเสียงทุ้ม “เช่นนั้นก็ไปหาอีกคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไปถามหนิวโหย่วเต้าคนนั้น”
เว่ยฉูกล่าวว่า “พวกเราไม่ทราบสถานการณ์แน่ชัด จู่ๆ ไปสอบถามเลยจะเหมาะสมหรือพ่ะย่ะค่ะ? หากเขาแจ้งไปยังปู้สวินจะทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
เฮ่าฉี่เงยหน้ามองมาเล็กน้อย “แม้แต่เรื่องเล็กๆ แค่นี้ยังจัดการไม่ได้ แล้วข้าจะเก็บพวกเจ้าไว้ทำไม? ถ้าไม่มีพวกเจ้า คิดว่าสำนักมหาบรรพต สำนักศาสตราลึกล้ำและสำนักเพลิงนภาจะปกป้องความปลอดภัยของข้าไม่ได้หรือ? ไปคิดหาทางเอาเอง!”
เว่ยฉูถูกพูดใส่เช่นนี้ก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน ทว่ายังรับคำสั่งแต่โดยดี “พ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋องทรงพักผ่อนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
เขาประสานมือคำนับลา ขณะที่หันหลังเดินไปถึงประตูแล้ว พลันมีเสียงทุ้มต่ำของเฮ่าฉี่แว่วมาจากด้านหลังอีกครั้ง “ในกรณีที่จำเป็น ให้ถามหนิวโหย่วเต้าว่าคิดจะเป็นศัตรูกับข้าอย่างนั้นหรือ?”
…..
รุ่งเช้า ทั่วเมืองหลวงค่อยๆ ตื่นขึ้นมา
ควันไฟลอยโขมงไปทั่ว แม่บ้านของแต่ละครัวเรือนต่างทำงานยุ่งง่วน พ่อค้าแม่ขายชนชั้นแรงงานทยอยปรากฏตัวขึ้นบนท้องถนน วันใหม่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ลิ่งหูชิวเดินอาดๆ มุ่งหน้าไปทางห้องของหนิวโหย่วเต้า อยากไปถามว่าวันนี้เขาวางแผนจะทำอะไรบ้าง
หงฝูเดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน ขวางเขาเอาไว้ “นายท่าน หงเหนียงมาเยือน ต้องการพบท่านเจ้าค่ะ”
“หงเหนียงหรือ?” ลิ่งหูชิวผงะไปเล็กน้อย
หงเหนียงก็นับเป็นคนมีชื่อเสียงคนหนึ่งในแวดวงผู้บำเพ็ญเพียรของเมืองหลวงแคว้นฉีแห่งนี้ หงเหนียงเป็นชื่อที่คนนอกเรียกกัน นามที่แท้จริงคือก่วนฟางอี๋ สถานะไม่ต่างไปจากลิ่งหูชิวเลย เป็นนายหน้าคนหนึ่งเช่นกัน
เนื่องจากสันทัดการแนะนำจับคู่ จึงถูกคนอื่นเรียกว่าหงเหนียง[1]
แม้จะเป็นนายหน้าเหมือนกัน แต่ก็มีจุดที่แตกต่างกับลิ่งหูชิวเล็กน้อย ลิ่งหูชิวออกท่องไปทั่วหล้า ทว่านางกลับยึดเอาเมืองหลวงแคว้นฉีเป็นถิ่นฐาน อาศัยอยู่ที่นี่มานาหลายปี เชี่ยวชาญการเจรจาผูกไมตรี ไม่ว่าจะเป็นคนของกลุ่มอิทธิพลใดในเมืองหลวงล้วนรู้จักทั้งสิ้น
ที่นี่คือเมืองหลวงของโลกคนธรรมดา ย่อมมีกฎระเบียบในแบบของคนธรรมดา ไม่สามารถค้าขายทรัพยากรบำเพ็ญเพียรอย่างเปิดเผยได้เหมือนที่เมืองไจซิง หากปล่อยให้ทำเช่นนั้นจริงๆ เกรงว่าคงจะวุ่นวายกันไปหมด ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรที่เดินทางมายังที่นี่ก็พกพาทรัพยากรบำเพ็ญเพียรปริมาณมากติดตัวมาไม่ได้ หากถึงเวลาที่ต้องการใช้ขึ้นมาก็มาหานางได้ หรือถ้าหากมีข้าวของใดที่อยากจะปล่อยขายก็มาหานางได้เช่นกัน
นางมักจะช่วยหาผู้ซื้อที่ต้องการของให้ลูกค้าได้เสมอ แล้วก็ช่วยหาผู้ขายที่ลูกค้าต้องการให้ได้เสมอเช่นกัน ส่วนตัวนางที่เป็นนายหน้าช่วยแนะนำก็จะได้ส่วนแบ่งจากการค้าขาย
นางอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี มีความน่าเชื่อถือมากพอให้นางได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้อย่างสุขสำราญ
กิจการในแบบที่นางทำอยู่นี้ หาใช่กิจการที่ผู้ใดนึกจะทำก็ทำได้ เส้นสายความสัมพันธ์และความน่าเชื่อถือที่นางสะสมมานานหลายปีคือหัวใจสำคัญ จึงแทบไม่มีผู้ใดมาแทนที่นางได้ แทบจะกินรวบค่านายหน้าจากผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดที่เดินทางเข้าออกเมืองหลวงแคว้นฉี แล้วชีวิตจะไม่สุขสำราญได้อย่างไร?
ลิ่งหูชิวก็เคยมาพักอยู่ทางนี้เช่นกัน ได้ชื่อว่าเป็นนายหน้าชื่อดัง ซ้ำยังเป็นคนในสายอาชีพเดียวกัน แล้วจะไม่รู้จักก่วนฟางอี๋ได้อย่างไร
“เจ้าแน่ใจหรือว่านางมาพบข้า?” ลิ่งหูชิวพยักเพยิดหน้าไปทางประตูห้องของหนิวโหย่วเต้าที่ปิดสนิทอยู่ “ไม่ได้มาหาเขาหรอกหรือ?”
เนื่องจากหลายวันมานี้แขกที่มาเยือนล้วนมาหาหนิวโหย่วเต้าทั้งสิ้น แทบจะไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย รู้สึกเหมือนสองนายบ่าวเป็นเพียงผู้ติดตามรับใช้หนิวโหย่วเต้าเท่านั้น
หงฝูเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “มาเพื่อพบนายท่านเจ้าค่ะ นางระบุว่าต้องการพบนายท่าน”
นางมักจะมีท่าทางเย็นชาเช่นนี้เสมอ แตกต่างกับพี่สาวของนางที่มีสีหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอ
“สตรีคนนี้มาหาข้าทำไม? หรือว่ามีของอยากขายให้ข้า? ตอนนี้ข้าก็ไม่มีอะไรอยากจะซื้อนี่นา?” ลิ่งหูชิวส่ายหน้า สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความไม่เข้าใจ แต่ถึงกระนั้นก็ยังหันหลังเดินออกไป ก่วนฟางอี๋เองก็นับว่าเป็นเจ้าถิ่นของทางนี้ ในเมื่อนางมาหาถึงที่แล้ว เขาก็จำเป็นต้องไว้หน้ากันบ้าง
รถม้าคันหนึ่งจอดนิ่งอยู่นอกประตูใหญ่ นายบ่าวเดินผ่านประตูออกมา หงฝูพยักเพยิดหน้าไปทางรถม้าเล็กน้อย สื่อว่านางอยู่ในรถม้า
ม่านหน้าต่างรถม้าแหวกเปิดออก หญิงงามวัยกลางคนที่งามเย้ายวนแบบกระดังงาลนไฟเผยหน้าออกมา คลี่ยิ้มสดใสปานบุปผาแล้วกวักมือเรียกลิ่งหูชิว สื่อว่าให้ลิ่งหูชิวขึ้นรถม้ามา ท่าทางเป็นมิตรสนิทสนม ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกอยากเข้าใกล้
ลิ่งหูชิวท่องโลกมานานหลายปี ไหนเลยจะถูกลักษณะภายนอกของสตรีนางนี้หลอกเอาได้ เขาตื่นตัวอยู่ในใจเล็กน้อย เดินไปที่ด้านหน้ารถม้า ยื่นมือไปเลิกเปิดม่านรถม้าพลางมองเข้าไปด้านใน เห็นว่ามีเพียงก่วนฟางอี๋ในชุดงามหรูหราคนเดียว ไม่เห็นคนอื่น จึงโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
แต่เขากลับไม่ได้ขึ้นไปบนรถม้า หากแต่ปล่อยม่านลงแล้วเดินไปที่ข้างหน้าต่างรถม้าอีกครั้ง ยื่นมือไปแหวกเปิดม่านหน้าต่าง เอ่ยถามคนด้านใน “มีธุระใด?”
เพียะ! ก่วนฟางอี๋ยื่นมือออกมาฟาดลงบนมือของเขาอย่างมีจริตจะก้าน “ขึ้นรถแล้วค่อยคุยกันเถอะ กลัวข้าจะจับเจ้ากินหรือไง?”
ลิ่งหูชิวเอ่ยว่า “ข้ายังมีธุระต่อ ไม่มีเวลามาหยอกเอินกับเจ้า มีธุระอะไรก็ว่ามาก่อน”
ก่วนฟางอี๋จึงกล่าวว่า “มีคนอยากพบเจ้า”
ลิ่งหูชิวถามด้วยความฉงน “ผู้ใด?”
ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “ไม่สะดวกจะเปิดเผยที่นี่ เอาไว้ไปพบแล้วเจ้าย่อมรู้เอง ข้าอุตส่าห์ถ่อมารับเจ้าด้วยตัวเองเชียวนะ หรือเจ้าจะไม่ไว้หน้าข้าสักนิดเลย?
ลิ่งหูชิวขมวดคิ้วเอ่ยไปว่า “ใช่ว่าข้าจะไม่ไว้หน้าเจ้า แต่ถ้าเขาอยากพบก็มาหาข้าเลยสิ คิดว่าคงรู้กันไปทั่วแล้วว่าข้าอยู่ที่นี่ หาตัวได้ยากเสียที่ไหน? จำเป็นต้องอ้อมค้อมติดต่อผ่านทางเจ้าด้วยหรือ?”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “เจ้าโง่หรือเปล่า คนเขาไม่สะดวกมาพบซึ่งๆ หน้า ย่อมมีเหตุผลที่ไม่สะดวกอยู่ ขึ้นรถม้าเถอะ ข้าจะทำร้ายเจ้าให้เสียชื่อเสียงตัวเองไปไย?”
ลิ่งหูชิวคิดๆ ดูพบว่าจริงดั่งว่า อยากรู้เช่นกันว่าสรุปแล้วเป็นผู้ใดกันแน่ที่ต้องการพบตนอย่างลับๆ แต่เขาก็ยังต้องเหลือทางรอดเอาไว้ให้ตัวเองบ้าง จึงหันไปส่งสัญญาณให้หงฝูไปแจ้งให้หงซิ่วรู้ ป้องกันไว้เผื่อเกิดเหตุขึ้นกับตนแล้วทางนี้ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า