ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 321

สรุปบท ตอนที่ 321 ซื่อตรงเกินไปย่อมไร้คนคบค้า: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 321 ซื่อตรงเกินไปย่อมไร้คนคบค้า – ตอนที่ต้องอ่านของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนนี้ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 321 ซื่อตรงเกินไปย่อมไร้คนคบค้า จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 321 ซื่อตรงเกินไปย่อมไร้คนคบค้า

ในเวลานี้ ลิ่งหูชิวรับรู้ถึงเจตนาในการมาของอีกฝ่ายได้รางๆ แล้ว พลันเกิดความกังวลขึ้นในใจ บางเรื่องราวหากเข้าไปพัวพันแล้วจะกลายเป็นปัญหาวุ่นวายใหญ่หลวง เขาตอบไปว่า “อาจารย์เว่ย เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน”

เว่ยฉูกล่าวว่า “ลิ่งหูซยง ท่านเป็นคนรู้ความ น่าจะทราบดีว่าวันนี้ข้ามาถามในนามของผู้ใด การใช้คำว่าไม่รู้มาบอกปัดข้าไม่มีประโยชน์เลยจริงๆ อีกทั้งไม่เป็นผลดีต่อตัวท่านด้วย”

ลิ่งหูชิวยิ้มเจื่อน เขาย่อมทราบว่าอีกฝ่ายมาในนามของผู้ใด มิเช่นนั้นเขาคงไม่รู้สึกกังวลเช่นกัน คนธรรมดาทั่วไปจะมีใครมาสนใจปัญหาเช่นนี้กัน?

“อาจารย์เว่ย ข้ามิได้บอกปัด แต่ข้าไม่รู้จริงๆ”

เว่ยฉูสีหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อย “หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ท่านเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับหนิวโหย่วเต้ากระมัง?”

ลิ่งหูชิวกล่าวอย่างจนใจว่า “ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน”

เว่ยฉูเอ่ยว่า “เท่าที่ข้ารู้มา ตอนนี้ข้างกายหนิวโหย่วเต้าเหลือเพียงพวกท่านไม่กี่คน เรื่องรับรองแขกผู้มาเยือนก็คงไม่พ้นไปจากพวกท่าน ท่านเป็นพี่ชายร่วมสาบานของเขา เขาจะกีดกันท่านออกไปได้หรือ แล้วท่านจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาคุยอะไรกัน?”

พี่น้องร่วมสาบานอย่างนั้นหรือ? ลิ่งหูชิวเรียกได้ว่ามีความทุกข์แต่ยากจะบอกกล่าวได้จริงๆ เรื่องร่วมสาบานเป็นอย่างไรตัวเขารู้แจ้งแก่ใจดี เพียงแต่ไม่อาจบอกกล่าวต่อคนนอกได้ หรือจะให้บอกว่าตนแสร้งร่วมสาบานด้วยมีเจตนาแอบแฝงเล่า?

เขาไม่เคยประกาศต่อภายนอกเลยว่าตนเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับหนิวโหย่วเต้า แต่จนใจที่หนิวโหย่วเต้าเที่ยวประกาศต่อภายนอกอย่างอวดดี ตอนนี้เรียกได้ว่าทำให้คนรู้กันไปทั่วแล้วจริงๆ

ลิ่งหูชิวถอนหายใจเอ่ยไปว่า “อาจารย์เว่ย มิใช่อย่างที่ท่านคิดเลย ขอบอกท่านตามตรงแล้วกัน ตอนนั้นข้าก็อยากอยู่ฟังด้วยเช่นกัน แต่ไม่มีโอกาสได้อยู่ฟังเลย ทันทีที่ผู้ดูแลหลวงมาถึง ลูกน้องที่ติดตามผู้ดูแลหลวงมาก็ปิดกั้นสถานที่สนทนาไว้ทันที ไม่ปล่อยให้ผู้ใดเข้าใกล้ มีเพียงผู้ดูแลหลวงและหนิวโหย่วเต้าที่เจรจากันอย่างลับๆ อยู่ในห้องสองคน ตอนที่พระชายาอวี้มาถึงในยามราตรีก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เผลอๆ จะเก็บเป็นความลับยิ่งกว่าด้วยซ้ำ นางสวมชุดคลุมสีดำหมวกคลุมปิดบังใบหน้า ซ้ำยังปิดประตูแน่นหนา หากหนิวโหย่วเต้าไม่มาบอกทีหลังว่าเป็นพระชายาอวี้ ข้าคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ที่มาเยือนเป็นใคร”

เว่ยฉูถาม “ท่านไม่สงสัยเลยหรือว่าพวกเขาคุยอะไรกัน หลังจากนั้นไม่ได้ถามดูหรือ?”

ลิ่งหูชิวตอบว่า “อาจารย์เว่ยเดาถูกต้องแล้ว ข้าเคยถามไปแล้วจริงๆ แต่หนิวโหย่วเต้าไม่ยอมบอกข้าเลย”

“เฮอะๆ” เว่ยฉูพลันหัวเราะหยันเล็กน้อย ดวงตาฉายแววเย็นชา จ้องลิ่งหูชิวที่อยู่ตรงหน้าเขม็ง จ้องจนลิ่งหูชิวอึดอัดไปทั้งตัว

ลิ่งหูชิวจำต้องอธิบายไปว่า “ทุกถ้อยคำของข้าเป็นความจริงทั้งสิ้น ไม่มีการปกปิดแน่นอน”

เว่ยฉูกล่าวว่า “หรือข้าฟังผิดไปกัน? เมื่อครู่เป็นผู้ใดกันที่บอกว่าหากหนิวโหย่วเต้าไม่มาบอกทีหลังว่าเป็นพระชายาอวี้ ก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้มาเยือนเป็นใคร ตอนนี้กลับมาบอกข้าว่าเขาไม่ได้บอกอะไรท่านเลย ลิ่งหูชิว ท่านเห็นข้าเป็นคนโง่หรือ คิดว่าข้าหลอกง่ายหรือ? จะมองว่าข้าเป็นคนโง่ก็ไม่เป็นไร แต่ข้าขอเตือนเอาไว้ประโยคหนึ่ง เรื่องบางเรื่องไม่ควรนำมาล้อเล่น จะทำให้ตายเอาได้! ในเมืองหลวงแคว้นฉีแห่งนี้ หากใครบางคนต้องการทำให้ท่านไม่ได้เห็นดวงตะวันในวันพรุ่งขึ้นมา เช่นนั้นท่านก็จะไม่ได้เห็นอีกแน่นอน ไม่จำเป็นต้องสงสัยเลย”

ในใจลิ่งหูชิวเกิดความโมโหขึ้นมาหลายส่วน คิดไว้แล้วว่าหลังจากนี้จะต้องไปสืบดูเสียหน่อยว่าคนผู้นี้เป็นใครมาจากไหน ถึงได้กล้าพูดจากำแหงขนาดนี้ คิดว่าคนของหอจันทร์กระจ่างไร้พิษสงอย่างนั้นหรือ?

ทว่าเรื่องนี้มันก็อธิบายได้ยากจริงๆ เห็นๆ อยู่ว่าสิ่งที่เขาพูดคือความจริง แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมเชื่อ แล้วเขาจะทำอะไรได้?

ปัญหาคือกระทั่งตัวเขาก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้มันย้อนแย้งเช่นเดียวกัน แต่เจ้าสารเลวหนิวโหย่วเต้าคนนั้นทำเช่นนี้จริงๆ บอกเพียงว่าผู้ที่มาเยือนคือใคร ส่วนปัญหาที่สำคัญจริงๆ กลับไม่ยอมเผยให้เขารู้เลยแม้แต่นิดเดียว แล้วเขาจะไปร้องทุกข์กับผู้ใดได้บ้างเล่า?

ลิ่งหูชิวใคร่ครวญเล็กน้อยก็ตอบไปว่า “อาจารย์เว่ย หนิวโหย่วเต้าบอกข้าเพียงว่าผู้ที่มาคือใคร ส่วนพวกเขาพูดคุยเรื่องใดกันนั้น ข้าไม่ทราบอะไรเลย เขาปกปิดเอาไว้มิดชิด ไม่ยอมเผยให้ข้าฟังแม้แต่นิดเดียว”

พอได้ยินเขากล่าวมาเช่นนี้ เว่ยฉูก็ยิ่งอยากรู้มากกว่าเดิมว่าเป็นความลับใดกันแน่ เขาเอ่ยเสียงขรึม “ลิ่งหูชิว ข้าขอเตือนท่านอีกครั้ง ถ้อยคำบางอย่างไม่อาจกล่าวส่งเดชได้ หลังจากนี้หากเรื่องราวที่ข้าสืบทราบมาไม่ตรงกับที่ท่านเล่ามา ผลลัพธ์ที่จะตามมานั้นท่านแบกรับไม่ไหวแน่!”

ลิ่งหูชิวเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้พูดปดแน่นอน อันที่จริงข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่าพวกเขาคุยอะไรกัน อาจารย์เว่ย เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าพาท่านไปหาหนิวโหย่วเต้า ท่านไปถามเขาเอาเองเลย ถือเป็นการยืนยันต่อหน้าท่านด้วยว่าข้าไม่ได้พูดปดแน่นอน ท่านว่าเป็นอย่างไร?”

เขาต้องรีบขจัดภัยนี้ทิ้งไปให้ได้ ไม่จำเป็นต้องช่วยแบกรับเรื่องนี้ให้หนิวโหย่วเต้าเลย การเข้าไปพัวพันกับข้อพิพาทบางอย่างหาใช่เรื่องน่าสนุกอันใดไม่ เป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดไว้จริงๆ นี่ถึงตายได้เลย

เว่ยฉูเงียบไปแล้ว ยกชาขึ้นจิบช้าๆ

เหตุใดเขาถึงไม่ไปถามเอากับหนิวโหย่วเต้าโดยตรงน่ะหรือ ก็เพราะพยายามเลี่ยงไม่เข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรงอย่างไรล่ะ

ทว่าพอนึกถึงคำสั่งของท่านผู้นั้น รวมถึงความอยากรู้จนแทบอดรนทนไม่ไหวของท่านผู้นั้นแล้ว หลังจากเขาลังเลอยู่นานพักใหญ่ก็วางถ้วยชาลง ลุกขึ้นพลางเอ่ยว่า ไปเถอะ!“”

ลิ่งหูชิวลุกขึ้นทันที ผายมือพลางเอ่ยว่า “เชิญ!”

หงฝูรีบไปเปิดประตูให้ทันที

ทั้งสามเดินออกมาจากในเรือนได้ไม่นาน ก่วนฟางอี๋ก็ปรากฏตัวขึ้น เดินกระวีกระวาดเข้ามา เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ทั้งสองท่านคุยกันเรียบร้อยแล้วหรือ?”

“เตรียมรถม้ามาหนึ่งคัน เก็บเป็นความลับด้วย…” เว่ยฉูเอ่ยสั่งการ

ขณะที่ก่วนฟางอี๋สั่งให้คนไปเตรียมการ ลิ่งหูชิวเดินเข้าไปหานางพลางกระซิบว่า “เจ้ากล้าหลอกข้าอย่างนั้นหรือ?”

ก่วนฟางอี๋กลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง เอ่ยไปว่า “ไม่ใช่ว่าข้าหลอกเจ้า แต่เจ้าเองก็รู้นี่ว่าผู้มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังเขาไม่ใช่คนที่ข้าจะล่วงเกินได้ หากข้ายังอยากใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ต่อก็จำเป็นต้องยอมเชื่อฟัง เขามาหาข้า ข้าก็หมดหนทางจะปฏิเสธได้ แล้วก็ไม่มีทางเลือกด้วย อีกอย่าง เมื่อเขาอยากพบเจ้า แล้วเจ้าจะหลบเลี่ยงได้หรือ? ถึงข้าไม่รับงานก็ย่อมมีคนอื่นมาทำแทน เจ้าก็หนีไม่พ้นเหมือนเดิม ยิ่งไปกว่านั้นคือเรื่องราวก็เรียบร้อยดีมิใช่หรือ คุยเรื่องอะไรกันน่ะ เหตุใดกลายเป็นข้าหลอกเจ้าไปได้?”

ลิ่งหูชิวหัวเราะหยันคราหนึ่ง จนใจที่เขาไม่อาจแพร่งพรายเนื้อหาบทสนทนาได้ จึงเอ่ยเพียงว่า “บัญชีครั้งนี้ข้าจดเอาไว้แล้ว!”

ก่วนฟางอี๋ตีหลังมือเขาเล็กน้อย เอ่ยไปว่า “ทำไมคิดเล็กคิดน้อยจัง? ก็ได้ ข้ายอมแล้ว ข้าได้เงินมาหนึ่งพันเหรียญทอง จะแบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่งดีหรือไม่?”

“เก็บเงินของเจ้าไว้เลี้ยงดูบุรุษเถอะ” ลิ่งหูชิวเอ่ยเหยียดหยาม หันหลังเดินออกไป

บุรุษทั้งสามลุกขึ้นยืน ก่วนฟางอี๋ก็รีบลุกขึ้นมาเช่นกัน “ไม่ทราบว่าใต้เท้าทั้งสามมีธุระใดจะสั่งการหรือเจ้าคะ?”

บุรุษที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเดินเข้ามาหยุดตรงหน้านาง เอ่ยถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ตอนเว่ยฉูมาพบลิ่งหูชิวที่นี่คุยอะไรกันบ้าง?”

ก่วนฟางอี๋โอดครวญอยู่ในใจ กลัวสิ่งใดย่อมได้พบสิ่งนั้นจริงๆ ความเดือดร้อนมาเยือนเร็วถึงเพียงนี้ นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ใต้เท้า ท่านทำให้ข้าลำบากใจแทบตายแล้วจริงๆ พวกเขาสนทนากันในห้องรับรองส่วนตัว ซ้ำด้านนอกยังมีคนของพวกเขาเฝ้าอยู่ด้วย ข้าไม่สามารถเข้าใกล้ได้ จะทราบได้อย่างไรเล่าว่าพวกเขาคุยอะไรบ้าง”

บุรุษผู้นั้นเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยตอบ คิดดูดีๆ”

ก่วนฟางอี๋ร้องไอ๊หยาพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้า ข้าไม่มีหูทิพย์พันลี้นะเจ้าคะ ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน”

บุรุษคนนั้นเอ่ยเสียงเรียบว่า “ต้องให้ข้าขุดคุ้ยเรื่องท่อทองแดงที่เจ้าแอบฝังไว้ออกมาหรือไม่ ให้คนที่เคยมาเจรจากันอย่างลับๆ ในสถานที่ของเจ้าได้ทราบกันถ้วนหน้าว่าเจ้าทำเรื่องดีงามอันใดไว้ เจ้าถึงจะยอมพูดออกมา?”

สีหน้าก่วนฟางอี๋แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง ดูซีดเซียวและหวาดผวา ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายทราบถึงความลับนี้ได้อย่างไร เรื่องนี้แม้แต่ลูกน้องของนางก็ยังไม่ทราบเลย

บุรุษคนนั้นเอ่ยต่อไปว่า “พวกเราไม่มีทางมาหาเจ้าโดยไร้สาเหตุ เจ้าคิดเอาเองเถอะว่าจะเลือกปกปิดหรือพูดมาตามจริง”

ก่วนฟางอี๋กลืนน้ำลายเล็กน้อย เอ่ยด้วยความประหม่า “พวกท่านทราบได้อย่างไร?”

บุรุษคนนั้นกล่าวว่า “เรื่องชั่วช้าที่เจ้ากระทำในเมืองหลวงในช่วงหลายปีมานี้ คิดจริงๆ น่ะหรือว่าทุกคนล้วนปล่อยผ่านไม่รู้ไม่ชี้กันไปหมด? พวกเราเคยเข้ามาตรวจค้นสวนไม้เลื้อยแห่งนี้ของเจ้าหลายรอบแล้ว มีเล่ห์กลใดอยู่พวกเรารู้ชัดแจ้งดี ซื่อตรงเกินไปย่อมไร้คนคบค้า ที่ไม่เอาเรื่องเจ้าก็เพราะมีเหตุผลอยู่ พวกเราปล่อยให้เจ้าทำกิจการของเจ้าไปอย่างสบายใจแล้ว เจ้าก็สมควรให้ความร่วมมือกับพวกเรามิใช่หรือ?”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยด้วยสีหน้าขมขื่น “ที่ข้าทำเช่นนี้หาได้มีเจตนาร้ายอันใดไม่ อีกทั้งไม่เคยคิดร้ายต่อผู้ใด เพียงไม่อยากกลายเป็นเหยื่อให้ผู้ใดเชือด อยากมีหลักประกันเพื่อปกป้องตัวเอง เผื่อไว้สำหรับกรณีไม่คาดฝันเท่านั้น ใต้เท้าโปรดใคร่ครวญด้วยเถิด!”

บุรุษคนนั้นกล่าวว่า “กิจการของเจ้าเอง เจ้าอยากจัดการอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องของเจ้า นี่มิใช่เรื่องที่ข้าสนใจ ตอนนี้พวกเราสนใจในเรื่องที่พวกเราต้องการทราบเท่านั้น พวกเขาคุยอะไรกัน?”

“อันที่จริงก็ไม่ได้คุยอะไรกันเจ้าค่ะ เว่ยฉูมาหาข้า ให้ข้าไปเชิญลิ่งหูชิวมา ตอนแรกข้าก็ไม่ทราบเช่นกันว่ามีเรื่องใด ต่อมาได้ฟังจากบทสนทนาลับของพวกเขาถึงกระจ่างแจ้ง เว่ยฉูอยากรู้ว่าเมื่อวานผู้ดูแลหลวงและพระชายาอวี้ไปพูดคุยอะไรกับหนิวโหย่วเต้า…” ก่วนฟางอี๋บอกเล่าเรื่องราวที่ตนออกมาจากตามจริง

หลังจากซักถามเรื่องราวกระจ่างแล้ว บุรุษทั้งสามก็ไม่มีเหตุอันใดให้ต้องรั้งอยู่ที่นี่อีก หันหลังเดินจากไป

ก่วนฟางอี๋มองส่งอยู่ตรงหน้าประตูในสภาพจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จากนั้นก็ค่อยๆ ถอยกลับเข้าไป สุดท้ายนางหย่อนสะโพกนั่งลงบนเก้าอี้ สีหน้าทุกข์ระทม เพิ่งรู้ในวันนี้เองว่าชีวิตในเมืองหลวงแห่งนี้ที่ตนคิดเอาเองว่าราบรื่นเสรีล้วนเป็นภาพลวงตาทั้งสิ้น มีคนกุมจุดตายของนางไว้แต่แรกแล้ว ที่ไม่ลงมือกับนางก็เพียงเพราะดูแคลนเท่านั้น

นางนึกถึงเรื่องราวบางอย่างในอดีต อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นขึ้นมา โชคดีที่ตนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวบางอย่างเข้า มิเช่นนั้นเกรงว่าคงตายอย่างไร้หลุมฝังกลบไปนานแล้ว

…………………………………………………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า