สรุปเนื้อหา ตอนที่ 322 อยู่ดีไม่ว่าดี – ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet
บท ตอนที่ 322 อยู่ดีไม่ว่าดี ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ตอนที่ 322 อยู่ดีไม่ว่าดี
หนิวโหย่วเต้าเดินออกมาจากห้อง ยืนยืดเส้นยืดสายอยู่ใต้ชายคา มือถือกระบี่ค้ำพื้น บิดศีรษะไปทางซ้ายทีขวาที ขยับไหล่และต้นคอเล็กน้อย จากนั้นเดินลงบันไดมุ่งหน้าไปทางห้องของลิ่งหูชิว
“พี่รอง!” หนิวโหย่วเต้าร้องเรียกลิ่งหูชิวพลางใช้ด้ามกระบี่เคาะประตูเล็กน้อย
ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านใน เสิ่นชิวปรากฎตัวขึ้น เข้ามาหาพลางเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย เขาออกไปแล้วขอรับ”
เสิ่นชิวคือสายสืบในเมืองหลวงของสำนักเบญจคีรีที่ถูกเรียกตัวมาในคืนนั้น
หนิวโหย่วเต้าหันไปมองเล็กน้อย เอ่ยด้วยความฉงน “ออกไปแล้ว?”
เสิ่นชิวตอบว่า “ขอรับ ออกไปแต่เช้าตรู่แล้ว”
“ไปไหน?”
“ไม่ทราบขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าหันหลังเดินออกมา “ไปกันหมดเลยหรือ?”
เสิ่นชิวตอบว่า “หงซิ่งเฝ้าอยู่ที่ประตูใหญ่ขอรับ”
“ให้โฉมงามไปเฝ้าประตูออกจะเสียของไปเสียหน่อย” หนิวโหย่วเต้าหัวเราะ ตอนแรกนึกว่าพวกลิ่งหูชิวเผ่นหนีไปแล้ว แต่หงซิ่วยังอยู่ เช่นนั้นก็แปลว่าไม่ได้หนี เขาถามขึ้นมาอีกครั้ง “ตอนที่รวบรวมข่าวสารข้อมูลในเมืองหลวงให้ข้า เจ้ามีส่วนร่วมด้วยหรือไม่?”
เสิ่นชิวตอบว่า “ข้าเป็นคนจัดการเองขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “จากที่ข้าอ่านข้อมูลมา ที่นี่มีผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งนามหงเหนียง มีหน้ามีตาในเมืองหลวงแห่งนี้อย่างมาก”
เสิ่นชิวตอบรับ “ใช่ขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าถาม “เจ้ารู้ข้อมูลของหงเหนียงคนนี้มากน้อยแค่ไหน”
เสิ่นชิวตอบว่า “ไม่เคยติดต่อด้วย แต่มักจะได้ยินคนที่นี่พูดถึงเป็นประจำขอรับ หากมีสิ่งใดที่ต้องการซื้อขาย ก็สามารถติดต่อผ่านทางนางได้ คนผู้นี้ค่อนข้างมีความน่าเชื่อถือขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าเล็กน้อย หันหลังออกเดิน เดินอาดๆ มาถึงห้องเฝ้ายามข้างประตูใหญ่
หงซิ่วที่นั่งอยู่ในห้องลุกขึ้นเดินออกมาสอบถามทันที “เต้าเหยี่ย จะออกไปข้างนอกหรือเจ้าคะ?”
“พี่รองออกไปข้างนอกหรือ?”
“เจ้าค่ะ!”
“ไปไหน?”
หงซิ่วแสร้งพูดเฉไฉ “ไม่ได้บอกเอาไว้ ข้าเองก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม“ในเมืองหลวงแห่งนี้มีผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งนามว่าหงเหนียง เจ้ารู้จักหรือไม่?”
หงซิ่วใจเต้นแรงเล็กน้อย คนผู้นี้ทราบแล้วหรือว่านายท่านไปไหน? ทำไมข่าวสารของเขาถึงได้รวดเร็วขนาดนี้?
นางแสร้งทำเป็นครุ่นคิด เอ่ยงึมงำว่า “เคยได้ยินเจ้าค่ะ แต่ว่าไม่รู้จักคุ้นเคย”
หนิวโหย่วเต้าถามต่อ “พี่รองจะกลับมาเมื่อไร?”
หงซิ่วตอบว่า “ไม่ทราบเลยเจ้าค่ะ ไม่ได้บอกข้าไว้”
ทางนี้เพิ่งพูดจบก็มีเสียงฝีเท้าม้าแว่วมาจากด้านนอก หงซิ่วเข้าไปในห้องเฝ้ายามอย่างรวดเร็ว มองออกไปด้านนอกผ่านหน้าต่างบานเล็กๆ ที่อยู่ในห้อง จากนั้นก็ออกมาเปิดประตูใหญ่อย่างรวดเร็ว
ลิ่งหูชิวเพิ่งเดินขึ้นบันไดมาก็เห็นหนิวโหย่วเต้ายืนค้ำกระบี่อยู่ด้านในประตู เขาผงะไปเล็กน้อย
หนิวโหย่วเต้าพินิจดูรถม้าที่อยู่หน้าประตูเล็กน้อย เอ่ยถาม “พี่รองไปไหนมาหรือ?”
ลิ่งหูชิวเดินเข้ามาหาทันที เรียกเขาเข้ามาในห้องเฝ้ายาม “น้องเล็ก มานี่ มีเรื่องบางอย่างจะบอกกับเจ้าหน่อย”
ทว่าคนที่อยู่ในรถม้าไม่ให้ความร่วมมือสักเท่าไร เว่ยฉูถือโอกาสขณะที่ในตรอกไม่มีคนสนใจ มุดออกมาจากรถม้าแล้วพุ่งทะยานเข้ามา แทรกกายผ่านประตูเข้าไปร่อนลงข้างกายคนทั้งสอง จากนั้นก็มีคนหลายคนวิ่งตามเข้ามาอย่างรวดเร็ว ท่าทางคล้ายจะเข้าปิดล้อมทางนี้ไว้
หนิวโหย่วเต้าที่ยืนค้ำกระบี่ไว้ด้านหน้ามองซ้ายมองขวา มือที่กุมด้ามกระบี่ค่อยๆ ย้ายไปจับบริเวณที่กุมได้ถนัดมือพลางเอ่ยถาม “พี่รอง นี่หมายความว่าอย่างไร?”
เว่ยฉูพยักเพยิดหน้าไปทางด้านใน
ลิ่งหูชิวรีบยิ้มแล้วเอ่ยกับหนิวโหย่วเต้าว่า “น้องเล็ก ที่นี่ไม่เหมาะจะพูดคุย เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”
พอทุกคนเตรียมจะเดินเข้าไปด้านใน หงซิ่วก็ร้องเรียก “นายท่าน”
ลิ่งหูชิวส่งสัญญาณให้หงฝูพาแขกเข้าไปก่อน ส่วนตนรั้งอยู่
กระทั่งทุกคนเดินห่างออกไปแล้ว หงซิ่วกระซิบว่า “เมื่อครู่จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าก็ออกมาถามข้าว่ารู้ข้อมูลของหงเหนียงหรือไม่เจ้าค่ะ”
ลิ่งหูชิวแปลกใจ “เขารู้แล้วหรือว่าข้าออกไปพบหงเหนียง?”
หงซิ่วตอบว่า “ข้าก็ไม่ทราบว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรเจ้าค่ะ ทางนี้เพิ่งจะคุยกันท่านก็กลับมาแล้ว”
กระทั่งพวกหนิวโหย่วเต้าไปถึงห้องโถงหลักแล้ว ลิ่งหูชิวก็รีบเดินกลับมาหา เข้าในไปห้องโถงแล้วสั่งให้คนยกชามาโดยเร็ว
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี มาคุยธุระกันเถอะ” เว่ยฉูยกมือปฏิเสธน้ำชา จากนั้นโบกมือเล็กน้อย ลูกน้องที่ติดตามเขามาออกไปเฝ้าด้านนอกทันที
หนิวโหย่วเต้าคอยสังเกตพฤติกรรมคำพูดของคนผู้นี้อยู่ตลอด
ลิ่งหูชิวเอ่ยแนะนำก่อน “น้องเล็ก ท่านผู้นี้คืออาจารย์เว่ยฉูแห่งจวนจินอ๋อง มีเรื่องอยากสอบถามเจ้าเล็กน้อย”
“ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว” หนิวโหย่วเต้าประสานมือทักทายเล็กน้อย อันที่จริงไม่เคยได้ยินชื่อเลยและไม่ทราบถึงเจตนาในการมาเยือนของคนผู้นี้ด้วย ตอนแรกเป็นปู้สวิน ต่อมาเป็นองค์หญิง ตอนนี้มีคนของจวนจินอ๋องโผล่มาอีกแล้ว โผล่มาหากันเรื่อยๆ เช่นนี้ ไม่ทราบจริงๆ ว่าคนนี้ใช่คนที่ปู้สวินส่งมาหรือไม่
เว่ยฉูเอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องพูดจาตามมารยาทอะไรแล้ว เจ้าถามไปเลยเถอะ” เขาหันไปเอียงหัวส่งสัญญาณให้ลิ่งหูชิวเล็กน้อย
ลิ่งหูชิวกำมือป้องปากกระแอมเล็กน้อย ยิ้มแห้งๆ แล้วกล่าวว่า “น้องเล็ก คืออย่างนี้ อาจารย์เว่ยอยากรู้ว่าเมื่อวานผู้ดูแลหลวงและพระชายาอวี้มาคุยธุระใดกับเจ้า”
เว่ยฉูเอ่ยถาม “นี่เจ้ายกผู้ดูแลหลวงมาข่มขู่ข้าอยู่หรือ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “มิได้มีเจตนาเช่นนี้เลย เพียงแค่ไม่อยากสร้างความเข้าใจผิดอันใดไปเท่านั้น”
เว่ยฉูค่อยๆ ยกมือขึ้นมา ยื่นนิ้วมือนิ้วหนึ่งออกไปทิ่มหน้าอกของหนิวโหย่วเต้า ทิ่มอยู่หลายครั้งพลางเอ่ยว่า “นี่เจ้าคิดจะเป็นปฏิปักษ์กับท่านอ๋องอย่างนั้นหรือ? เจ้าอย่าลืมเสียล่ะว่าที่นี่คือที่ไหน ที่นี่คือแคว้นฉีมิใช่แคว้นเยี่ยนของพวกเจ้า มิใช่สถานที่ที่ผู้ใดจะมาทำตัวกร่างได้! ข้าขอเตือนให้เจ้าคิดดีๆ อีกทีแล้วค่อยตอบ”
ในแง่หนึ่งแล้ว การกระทำเช่นนี้ของเขานับว่าเสียมารยาทเป็นอย่างยิ่ง
หนิวโหย่วเต้ามองมือของเขาที่ทิ่มหน้าอกตนอยู่ เอ่ยเสียงเรียบ “อาจารย์เว่ย ข้าไม่กล้าเป็นปฏิปักษ์กับท่านอ๋องแน่นอน เรื่องใดสมควรพูดเรื่องใดไม่สมควรพูด ข้าล้วนบอกไปตามความจริงแล้ว”
เว่ยฉูย้ายมือไปวางบนไหล่ของหนิวโหย่วเต้า ตบไหล่เขาเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “กล่าวเช่นนี้คือเจ้าไม่คิดจะพูดอย่างอื่นแล้วใช่หรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ข้าคงไม่อาจพูดจาเหลวไหลโป้ปดอาจารย์เว่ยได้กระมัง?”
“ฮ่าๆ!” เว่ยฉูหัวเราะออกมา ตบไหล่หนิวโหย่วเต้าแรงๆ สองสามที เอ่ยว่า “อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้าแล้วกัน ข้าหวังว่าบทสนทนาในวันนี้จะไม่มีผู้ใดมารับรู้เพิ่ม มิเช่นนั้นจงรอรับผลที่จะตามมาได้เลย! ”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “คำเตือนของอาจารย์เว่ย ข้าจะจดจำใส่ใจแน่นอน”
เว่ยฉูชักมือกลับไปด้วยสีหน้าเย็นชา สะบัดหน้าเดินออกไป
ลิ่งหูชิวรีบตามออกไปส่งอีกฝ่าย
หนิวโหย่วเต้าเดินออกมายืนใต้ชายคา ยันกระบี่ไว้ด้านหน้า มองส่งแขกเดินจากไปพลางมุ่นคิ้วเล็กน้อย
รถม้าที่จอดอยู่หน้าประตูเคลื่อนตัวออกไปแล้ว ลิ่งหูชิวประสานมือคำนับมองตามไปเช่นกัน หงซิ่วและหงฝูยืนขนาบอยู่สองฝั่งซ้ายขวา
กระทั่งรถม้าหายลับไปจากปากตรอกแล้ว ลิ่งหูชิวจึงค่อยๆ ลดมือลง หันไปเอ่ยกับหงฝูว่า “คนผู้นี้ช่างโอหังอวดดีเหลือเกิน ส่งข่าวไปสอบถามเบื้องบนดูหน่อย ตรวจสอบหน่อยสิว่าเว่ยฉูผู้นี้มีความเป็นมาอย่างไร” กล่าวจบก็หันหลังเดินกลับเข้าไป
พอกลับมาถึงโถงหลักมองเห็นหนิวโหย่วเต้ายืนอยู่ใต้ชายคา ลิ่งหูชิวรีบเดินเข้าไปหา เอ่ยด้วยความโกรธว่า “ที่เจ้าทำก่อนหน้านี้มันหมายความว่าอย่างไร?”
เขาหมายถึงเรื่องที่หนิวโหย่วเต้าจงใจทำให้เว่ยฉูเข้าใจผิดไปก่อนหน้านี้
หนิวโหย่วเต้ายังจะหมายความว่าอย่างไรได้เล่า เขาย่อมต้องการจะลากอีกฝ่ายเข้ามาพัวพันด้วยหากเกิดอะไรขึ้น แต่ปากกลับย้อนถามไปว่า “ท่านถามข้าหรือ? เช่นนั้นข้าขอถามหน่อยว่าพี่รองมีเจตนาใดกัน? รู้อยู่ว่าเบื้องหลังคนผู้นี้เป็นอย่างไร แต่ท่านก็ยังพาเขามาหาข้า นี่ท่านจงใจสร้างปัญหาให้ข้าอยู่ใช่หรือเปล่า?”
ลิ่งหูชิวถูกวาจานี้ตอกหน้าจนพูดไม่ออก จะว่าไปแล้วก็เป็นเขาที่ไม่ซื่อสัตย์ก่อน เขาจึงถอนหายใจพลางเอ่ยไปว่า “ข้าก็ไม่อยากมีปัญหาเช่นกัน เบื้องหลังเขาเป็นอย่างไรเจ้าเองก็รู้แล้ว วันนี้จู่ๆ เขาก็มาพบข้าแต่เช้าตรู่ ต้องการสอบถามเรื่องราวเมื่อวานนี้ให้ได้ แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรเล่า?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ท่านบอกว่าท่านไม่ทราบก็จบเรื่องแล้ว ไยต้องพามาหาข้าด้วย?”
ลิ่งหูชิวอ้างออกไป “มิใช่ข้าอยากพามา แต่เป็นเขาต้องการให้ข้าพาเขามา ข้าจะปฏิเสธได้หรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ท่านบอกว่าข้าไม่อยู่ก็จบแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ลิ่งหูชิวกลอกตาใส่พลางเอ่ยว่า “นี่เจ้าพูดเหลวไหลอะไรอยู่? อีกฝ่ายรู้แม้กระทั่งว่ามีผู้ใดมาพบเจ้าบ้าง แล้วเจ้าอยู่หรือไม่อยู่เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร?”
…………………………………………………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า