สรุปตอน ตอนที่ 325 มารร้าย – จากเรื่อง ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet
ตอน ตอนที่ 325 มารร้าย ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่ 325 มารร้าย
“น้องสาม ไม่จำเป็นต้องใส่อารมณ์ขนาดนี้เลย” ลิ่งหูชิวที่อยู่ด้านข้างเกลี้ยกล่อม
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสียงเรียบ “หยั่งเชิงดูเท่านั้น”
“หยั่งเชิงอะไร? เจ้า…” ลิ่งหูชิวเอ่ยไปได้ครึ่งเดียวก็ตะลึงงัน คล้ายจะเข้าใจอะไรขึ้นมา เอ่ยด้วยความฉงน “เจ้าสงสัยว่านางจะรู้ว่าข้าคุยอะไรกับเว่ยฉูอย่างนั้นหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าพยักเพยิดหน้าออกไปทางความมืดด้านนอก เอ่ยขึ้นว่า “จะได้รู้กันภายในหนึ่งชั่วยามนี้!”
ลิ่งหูชิวเงียบไปแล้ว หากมิใช่เพราะคำถามก่อนหน้านี้ของหนิวโหย่วเต้าชัดเจนเป็นอย่างมาก ประกอบกับเมื่อครู่นี้ที่หนิวโหย่วเต้าบอกออกมาตรงๆ ว่าเป็นการหยั่งเชิง เขาก็คงยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดหนิวโหย่วเต้าถึงต้องใส่อารมณ์ขนาดนั้น เป็นการหยั่งเชิงจริงๆ ด้วย!
ตัวเขาที่รอจนหมดความอดทนแล้ว เวลานี้กลับมีความอดทนที่จะรอดูผลการหยั่งเชิงขึ้นมาใหม่
หงซิ่วที่อยู่ด้านข้างไม่ค่อยเข้าใจว่าบทสนทนาที่เหมือนเล่นทายปริศนาของทั้งสองคนหมายความว่าอย่างไรกันแน่ จนใจที่อยู่ต่อหน้าหนิวโหย่วเต้าจึงไม่สะดวกจะถาม
ไม่จำเป็นต้องรอถึงหนึ่งชั่วยามเลย หลังจากผ่านไปราวครึ่งชั่วยามก็มีเสียงฝีเท้าม้าแว่วมาจากด้านนอก กลางดึกเช่นนี้เสียงเอี๊ยดอ๊าดของรถม้าดังชัดเจนเป็นอย่างมาก
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะหยันคราหนึ่ง “น่าจะมาแล้ว”
ลิ่งหูชิวค่อยๆ ลุกขึ้นมา สีหน้าตึงเครียด
รถม้าคันหนึ่งหยุดอยู่บนถนนด้านนอก ผีเสื้อจันทราบินส่องแสง สตรีใช้ชุดกระโปรงงามหรูหราเดินเข้ามา พอเห็นคนในศาลา ก็ยิ้มหวานหยดย้อยมาจากแต่ไกล เร่งฝีเท้าเข้ามา
“ใช่นางหรือไม่?” หนิวโหย่วเต้าถามเบาๆ
ลิ่งหูชิวตอบ “อืม” คำหนึ่ง
หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา “ในเมื่อนางมา อะไรๆ ก็ง่ายขึ้นแล้ว กำลังงีบหลับก็มีคนเอาหมอนมาให้ น่าสนใจนัก”
ลิ่งหูชิวเอ่ยว่า “เจ้าสนใจนางขนาดนั้นจริงๆ หรือ?”
หนิวโหย่วเต้าไม่ตอบ แต่มองพินิจสตรีที่เดินเข้ามาอย่างจริงจัง
ดูคล้ายเพิ่งจะมุดออกมาจากที่ไหนสักแห่งจริงๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย
ถึงแม้จะล่วงเข้าวัยกลางคน ใบหน้าปรากฏร่อยเหี่ยวย่นเล็กน้อย ผิวพรรณเองก็หย่อนคล้อยไปบ้าง แต่เค้าความงามยังคงอยู่ เสน่ห์ดึงดูดยังคงปรากฏให้เห็น มองออกเลยว่าสมัยสาวๆ ความงามเย้ายวนนี้สามารถทำให้เหล่าบุรุษมาคุกเข่าสยบอยู่ใต้ชายกระโปรงของนางได้จริงๆ
“ลิ่งหู เจ้าต้องเร่งกันขนาดนี้เชียวหรือ คิดจะทำอะไรกันถึงได้มารบกวนความสุขยามค่ำคืนของข้า” พอก่วนฟางอี๋เดินมาถึงก็เอ่ยตำหนิลิ่งหูชิวประโยคหนึ่ง
ลิ่งหูชิวเอียงศีรษะไปทางหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อย “ว่าผิดคนแล้ว มิใช่ข้าที่ทำลายความสุขของเจ้า เป็นเขาต่างหาก” น้ำเสียงเขาค่อนข้างเย็นชา
อีกฝ่ายทนรับการข่มขู่ของหนิวโหย่วเต้าไม่ไหว มาถึงภายในหนึ่งชั่วยามจริงๆ ทำให้เขาเข้าใจแจ่มแจ้งว่าหนิวโหย่วเต้าวิเคราะห์ถูกต้องแล้ว สตรีนางนี้ทราบบทสนทนาระหว่างเขากับเว่ยฉูจริงๆ
อันที่จริงก่วนฟางอี๋สังเกตเห็นหนิวโหย่วเต้าแต่แรกแล้ว เวลานี้ถึงได้พินิจดูอีกฝ่ายอย่างเต็มตา “ท่านผู้นี้คาดว่าคงเป็นน้องหนิวโหย่วเต้ากระมัง?”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มน้อยๆ “ถูกต้อง”
ก่วนฟางอี๋หัวเราะคิกๆ ขึ้นมาทันที “น้องหนิวผู้สังหารราชทูตแคว้นเยี่ยน พิฆาตจั๋วเชา ทั้งยังเอาชนะคุนหลินซู่ได้ ข้าได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว วันนี้ได้พบตัวจริง เป็นชายหนุ่มองอาจห้าวหาญโดยแท้”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เรื่องพวกนั้นล้วนเป็นเพียงเสียงเล่าอ้างทั้งสิ้น มิเช่นนั้นจะถูกเจ้าปล่อยให้รอตั้งครึ่งค่อนวันหรือ”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยด้วยสีหน้าเขินอายเล็กน้อย “ไอ๊หยา โชคไม่ดีเลย วันนี้บังเอิญเจอหนุ่มน้อยสองคน ช่างปรนนิบัติเอาใจคนนัก ก็เลยถูกพัวพันจนปลีกตัวมาไม่ได้ ทำให้น้องหนิวต้องเห็นเรื่องน่าอับอายเสียแล้ว”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ชายชอบพอหญิงพึงใจ ต่างฝ่ายต่างถูกใจกัน อีกทั้งไม่ได้ทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมหรือเรื่องน่าละอายอันใด ไม่ถือว่าเป็นเรื่องน่าอับอายหรอก”
“ฮ่าๆ…” ก่วนฟางอี๋หัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง หัวเราะสดใสปานบุปผาบานสะพรั่ง นางหัวเราะคิกคักพลางกวาดตามองไปรอบๆ จนไปสบตากับหงซิ่วเข้า สังเกตเห็นว่าหงซิ่วมองหน้าอกตนด้วยแววตาดูแคลนเป็นอย่างมาก เสียงหัวเราะชะงักลง นางดึงสาบเสื้อมาปิดหน้าอกแล้วเอ่ยว่า “มาพบแขกในสภาพไม่เรียบร้อย นับว่าเสียมารยาทจริงๆ หากว่าไม่รีบร้อน ข้าขอไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อน”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “รอมานานขนาดนี้แล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นไรไป ไม่รีบหรอก เชิญตามสบาย”
ก่วนฟางอี๋ยิ้มแล้วหันหลังเดินออกไป ผู้ใดจะทราบว่าหนิวโหย่วเต้าที่อยู่ด้านหลังจะเอ่ยเสริมอีกประโยคว่า “ถึงอย่างไรเจ้าก็หนีไม่รอดอยู่แล้ว!”
ก่วนฟางอี๋ตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย สีหน้าแปรเปลี่ยน ร้องสั่งการว่า “ยังไม่รีบยกน้ำชามาให้แขกอีก!” จากนั้นเดินลงบันไดจากไป
ไม่นานนักก็มีคนยกน้ำชามาส่งให้ในศาลา
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยสั่งการคนที่ยกน้ำชามาให้ว่า “รบกวนนำอุปกรณ์เครื่องเขียนมาชุดหนึ่ง”
“ขอรับ!” คนผู้นั้นตอบรับ ถือถาดเร่งเดินออกไป
คอยอยู่ครู่หนึ่ง อุปกรณ์เครื่องเขียนก็ถูกนำมาส่งให้ หนิวโหย่วเต้านั่งลงแล้วเริ่มฝนหมึกด้วยตัวเอง จากนั้นกางกระดาษออก จุ่มพู่กันลงในน้ำหมึก จรดพู่กันลงบนกระดาษแล้วเขียนตัวอักษรขึ้น ลายมือบรรจงงดงาม
ลิ่งหูชิวและหงซิ่วเดินเข้ามายืนข้างกายเขาสองฝั่งซ้ายขวา มองว่าเขากำลังเขียนอะไรอยู่ ไม่ทราบเช่นกันว่าดึกดื่นขนาดนี้แล้วเขายังจะเขียนอะไรอีก
หลังจากตัวอักษรเพิ่มมากขึ้นจนแสดงความหมายคร่าวๆ ออกมาแล้ว ลิ่งหูชิวและหงซิ่วมองหน้ากัน สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
ส่วนในสายตาของหงซิ่ว หนิวโหย่วเต้าดูคล้ายมารร้ายที่ล่อลวงเด็กสาวน่าสงสารคนหนึ่งให้เดินลงไปในหุบเหวลึกทีละก้าวๆ
จนถึงตอนนี้หงซิ่วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่ ยังไม่เข้าใจว่าเรื่องราวกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร ทั้งสองคนเพิ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรกเมื่อครู่นี้เอง
พู่กันในมือของก่วนฟางอี๋สั่นระริก จ้องมองกระดาษบนโต๊ะด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความเศร้าหมอง หยดน้ำตาค่อยๆ เอ่อคลอขึ้นมาในดวงตา
อยู่ในเมืองหลวงมานานหลายปี นางระมัดระวังตัวมาโดยตลอด ไม่กล้าเข้าไม่ยุ่งกับเรื่องราวบางอย่าง พยายามหลีกเลี่ยงข้อพิพาทบางอย่างเสมอมา ไม่กล้าเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย เพราะทราบดีว่าหากเข้าไปข้องเกี่ยว มีโอกาสสูงที่จะพลาดท่าล่มจมไป อาศัยความสุขทางกายหลอกตัวเองมานานหลายปี ดูเหมือนจะมีหน้ามีตา แต่ความจริงแล้วว่างเปล่านัก ไม่มีความสุขเลย
สุดท้ายยังคงถูกลากเข้าไปพัวพันอยู่ดี
เดินย่ำอยู่ริมแม่น้ำเป็นประจำ เท้าจะไม่เปียกน้ำได้อย่างไร! หลักการนี้นางเข้าใจดี เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมาถึงอย่างกะทันหันขนาดนี้ ยากจะทนรับไหวจริงๆ
หนิวโหย่วเต้าที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเร่งเร้า “รีบลงนามซะ หากชักช้าไปอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นง่ายๆ”
ก่วนฟางอี๋หันไปมองเขา เอ่ยถามทั้งน้ำตา “หนิวโหย่วเต้า พวกเราไม่รู้จักกัน ไม่มีความแค้นแต่หนหลัง ปัจจุบันไร้ความบาดหมาง เหตุใดต้องบีบคั้นกันถึงเพียงนี้ด้วย?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าบอกไปแล้วว่าข้าทำเพราะหวังดีกับเจ้า หากเจ้าไม่อยากลงนามข้าก็ไม่บังคับ ข้าจะจากไปตอนนี้เลยก็ได้ แต่หลังจากข้าออกจากสวนไม้เลื้อยแห่งนี้ไปแล้วอาจจะมีคนกลุ่มอื่นเข้ามา! จะมีเจ้าอยู่หรือไม่ ไม่สำคัญสำหรับข้าเลย โอกาสมีเพียงครั้งนี้เท่านั้น เจ้าพิจารณาเอาเองเถอะ”
ทว่าก่วนฟางอี๋ยังคงลังเลยากจะตัดสินใจได้ เอาแต่ร้องไห้อยู่ตรงกัน
“ดูเหมือนข้าจะบังคับฝืนใจคนเขาเสียแล้ว ก็ได้ พี่รอง พวกเราไปกันเถอะ!” หนิวโหย่วเต้าโบกมือพลางเอ่ยเรียก หันหลังเดินออกไป
จริงหรือเปล่าเนี่ย? ลิ่งหูชิวและหงซิ่วสบตากันพลางเอ่ยพึมพำอยู่ในใจ แต่ยังคงเดินตามเขาไป
ทั้งสามเพิ่งจะเดินลงจากบันไดศาลา ก่วนฟางอี๋ที่อยู่ในศาลาก็ร้องเรียกด้วยน้ำเสียงระทม “ช้าก่อน!”
ทั้งสามหันกลับไปมอง เห็นเพียงว่ากวนฟางอี๋โน้มตัวจรดพู่กันลงนามแล้ว จากนั้นโยนพู่กันในมือทิ้ง เบือนหน้าไปด้านข้างยกฝ่ามือขึ้นมาจ่ออยู่ตรงหน้า ละอองโลหิตพ่นออกมาจากปากดัง ‘ฟู่’ แดงฉานเต็มฝ่ามือ จากนั้นตวัดแขน ประทับฝ่ามือเปื้อนโลหิตลงในสัญญาขายตัวดังปัง!
นางเท้ามือยันโต๊ะ ก้มหน้าน้ำตาร่วงริน คราบโลหิตซึมที่มุมปาก ส่ายหน้าไปมาด้วยความอดสูอย่างยิ่ง
หนิวโหย่วเต้าเดินกลับเข้าไปในศาลา จับข้อมือนางแล้วยกขึ้น ดึงสัญญาขายตัวออกมา
เขาชื่นชมสัญญาขายตัวราวกับกำลังชื่นชมผลงานชิ้นเอก คล้ายกำลังพึมพำกับตัวเอง แล้วก็คล้ายว่าจะพูดให้นางฟังด้วย “บนโลกนี้ไหนเลยจะมีการค้าที่ไม่ถามไถ่ถึงความเป็นมา ไม่ถามไถ่ถึงข้อพิพาทขัดแย้งมาให้เจ้าทำได้ตลอด? การที่เจ้าอยู่รอดมาถึงตอนนี้ได้โดยไม่เกิดเรื่อง นับว่าเจ้าโชคดีมากแล้ว หากเจ้ายังทำเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วจะชักนำความเดือดร้อนที่เจ้ารับผิดชอบไม่ไหวเข้ามา มายาคือว่างเปล่า ว่างเปล่าคือมายา หลังจากความสุขสำราญผ่านพ้นไป สุดท้ายก็จะเหลือเพียงความว่างเปล่าเดียวดาย เกรงว่าแม้แต่ตัวเจ้าเองก็คงพะวงอยู่ในใจเช่นกันกระมัง ตอนนี้เรียบร้อยแล้ว เจ้าวางใจได้แล้ว!”
………………………………………………………………..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า