ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 346

ตอนที่ 346 นัดพบอย่างลับๆ

แต่ท่านบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งเก็บตัวในช่วงบั้นปลายของชีวิตหลังจากส่งต่อตำแหน่งเจ้าสำนักไปแล้ว

ซึ่งในความเป็นจริงบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งก็เก็บตัวไม่ถึงสิบปีด้วยซ้ำ เนื่องจากรู้สึกว่ายากจะบรรลุสภาวะได้ แล้วก็รับรู้ว่าอายุขัยมาถึงขีดจำกัดแล้ว อยู่ได้เก้าปีก็ออกจากการเก็บตัว หลังจากฝากฝังสั่งเสียแล้วก็สิ้นลมลาโลกไป

คุนหลินซู่อายุเพียงเท่านี้กลับต้องการนำเวลาสิบปีในช่วงวัยรุ่งโรจน์มาเก็บตัว กักขังตัวเองไว้ที่มืดมิดเดียวดาย สำหรับคนธรรมดาแล้วนับเป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการได้

พอเห็นหนังสือถอนหมั้นฉบับนี้ น้ำตาของหั่วเฟิ่งหวงก็ไหลรินออกมา

นางรู้สึกเสียใจ ครั้งนี้เรียกได้ว่าค่อนข้างปวดใจจริงๆ ทั้งสองหมั้นหมายกัน อีกทั้งใกล้ถึงกำหนดวิวาห์แล้ว ทว่าศิษย์พี่กลับทิ้งหนังสือถอนหมั้นฉบับหนึ่งไว้ให้ จะให้นางทนรับไหวได้อย่างไร แล้วต่อไปนางจะเผชิญหน้ากับคนอื่นได้อย่างไร?

เรื่องที่ทำให้นางเสียใจที่สุดคือนางไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วพี่ใหญ่เห็นตนเป็นอะไรกันแน่ เป็นเพียงสิ่งของที่จะมีหรือไม่มีก็ได้อย่างนั้นหรือ?

“อาจารย์ เหตุใดท่านยอมปล่อยให้ศิษย์พี่เข้าไปเก็บตัวในถ้ำสิ้นแสงถึงสิบปีเจ้าคะ?” หั่วเฟิ่งหวงร่ำไห้ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอาจารย์ของตนทั้งน้ำตา

การเข้าไปเก็บตัวในถ้ำสิ้นแสงไม่ใช่ว่าผู้ใดนึกอยากจะซ่อนตัวจากเรื่องทางโลกก็สามารถเข้าไปได้เลย หากว่าทุกคนล้วนทำแบบนี้กันหมด ผู้ใดจะทำงานในสำนัก ใครจะปฏิบัติภารกิจของสำนักเพลิงนภาเล่า? สำนักเพลิงนภาจะยังอยู่รอดได้หรือ?

ผู้ที่จะเข้าไปเก็บตัวก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์ของตนก่อนถึงจะเข้าไปได้ ไม่ใช่ว่าพอถึงเวลาที่ทางสำนักเกิดปัญหาหรือมีภารกิจให้เจ้าไปจัดการ เจ้าก็จะหลบเลี่ยงเข้าไปเก็บตัวได้!

“อวิ๋นฉาง ครั้งนี้เป็นอาจารย์ที่สะเพร่าเอง ไอ้เดรัจฉานตัวนั้นมาหาข้า บอกว่าจะเข้าไปเก็บตัวในถ้ำสิ้นแสง ข้าเห็นท่าทางของเขาแล้วก็กลัวว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาจะหมดสภาพเอา จึงไม่คิดให้ถ้วนถี่นัก คิดว่าให้เขาไปเก็บตัวสักสองสามปีก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เลยมอบตราประจำตัวของข้าให้เขาไป แต่ข้าก็ได้กำชับล่วงหน้าแล้วว่าเขาต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าก่อนถึงจะทำได้ ผู้ใดจะทราบว่าไอ้เดรัจฉานตัวนั้นกลับเขียนจดหมายเช่นนี้ทิ้งไว้ให้ตาเฒ่าเลอะเลือนคนนี้!”

ตอนพูดว่าตาเฒ่าเลอะเลือน ผางจั๋วชี้ไปที่เถียนเหรินอัน “ตาเฒ่าเลอะเลือนคนนี้ก็ไม่คิดเสียบ้างเลย มีใครในสำนักเพลิงนภาเขาเก็บตัวเป็นสิบปีกัน? ไม่คิดให้ถ้วนถี่ก็ปล่อยให้เขาสลักอักษรยืนยันไว้บน ‘ผนังทบทวน’ แล้วก็ปล่อยให้เขาเข้าไปในถ้ำแบบนั้นได้!”

ผู้ที่จะเข้าไปเก็บตัวล้วนต้องจารึกอักษรยืนยันไว้บนผนังหินข้างทางเข้าถ้ำ เพื่อแสดงถึงปณิธานอันแน่วแน่ เหตุผลที่เรียกกันว่า ‘ผนังทบทวน’ เพราะต้องการให้คิดทบทวนดั่งชื่อของผนังทบทวน ไม่อาจจารึกอักษรลงไปส่งเดชได้ หากจารึกปณิธานลงไปแล้ว จะต้องทำตามที่พูด ไม่อาจเปลี่ยนใจได้!

บนผนังทบทวนจารึกคำปณิธานมุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรของเหล่าศิษย์สำนักเพลิงนภาสืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่น เมื่อผ่านลมฝนเคี่ยวกรำ รอยจารึกจึงคล้ำด่างดำ ศิษย์รุ่นหลังต่างมองด้วยความเลื่อมใส พึงเห็นเป็นแบบอย่าง!

เถียนอันเหรินได้ยินก็ส่งเสียงขึ้นมาทันที “เจ้าโทษข้าหรือ? ข้าคอยดูแลที่นี่ตามกฎสำนัก จะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร? อีกอย่างเขาก็นำตราประจำตัวของเจ้ามาด้วย ใครจะไปรู้ว่าอาจารย์อย่างเจ้าจะมอบตราประจำตัวให้เขาโดยไม่สอบถามเรื่องนี้ให้ชัดเจน เจ้าลองพูดมาสิว่าผู้ใดกันแน่ที่เลอะเลือน?”

พอคุนหลินซู่มาถึงที่นี่ก็ยื่นตราให้ บอกว่าต้องการเก็บตัวบำเพ็ญเพียรสิบปี ทางเขาก็ตกใจเช่นกัน แต่เถียนอันเหรินคิดว่าคุนหลินซู่แค่หงุดหงิดใจจากความพ่ายแพ้ จึงอยากแข็งแกร่งขึ้น เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของคุนหลินซู่ จึงไม่ได้คิดมากความนัก เพียงแค่รู้สึกค่อนข้างสะท้อนใจเท่านั้น

ก่อนคุนหลินซู่จะเข้าไปเก็บตัวก็ได้ฝากจดหมายฉบับนี้ไว้กับทางนี้ ฝากส่งต่อให้หั่วเฟิ่งหวง

เก็บตัวถึงสิบปีเช่นนี้ เถียนอันเหรินก็อยากสอบถามผางจั๋วเช่นกันว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ เขาจึงถือจดหมายไปหาผางจั๋ว

หลังจากผางจั๋วทราบเรื่องก็ตกใจเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเหตุกาณ์เช่นนี้ขึ้น!

“แล้วการที่เจ้าปล่อยคนเข้าถ้ำไปโดยไม่ตรวจสอบอะไรให้ดีก่อนมันเหมาะสมแล้วหรือ?”

“ในถ้ำก็ไม่ได้ซุกซ่อนสมบัติอันใดที่ต้องกลัวว่าคนจะเข้าไปขโมยไว้ ในเมื่อเต็มใจจะเข้าไปเผชิญความลำบากเอง ขอเพียงปฏิบัติตามขั้นตอนครบถ้วนก็เข้าไปได้ เจ้าพูดมาสิว่ามีกฎสำนักข้อไหนบอกไว้ว่าต้องตรวจสอบข้อมูลให้แน่นอนก่อน? ศิษย์ของเจ้าเองแท้ๆ เจ้ายังไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ แล้วยังคิดจะผลักความรับผิดชอบมาให้ข้าอีกหรือ?”

ทั้งสองเริ่มทะเลาะถกเถียงกันตรงนั้นอีกครั้ง

“อาจารย์!” หั่วเฟิ่งหวงในสภาพน้ำตานองหน้าพลันคุกเข่าลง ทั้งสองหยุดทะเลาะกันทันที ผางจั๋วเอ่ยด้วยความตกใจ “อวิ๋นฉาง นี่เจ้าจะทำอะไร?”

หั่วเฟิ่งหวงเอ่ยเสียงสะอื้น “ขออาจารย์โปรดอนุญาตให้ศิษย์เข้าไปเก็บตัวด้วยเถอะเจ้าค่ะ!”

“ไม่ได้!” ผางจั๋วปฏิเสธทันที แบบนี้ใช่เข้าไปเก็บตัวเสียที่ไหน เห็นๆ อยู่ว่าต้องการเข้าไปคุยให้รู้เรื่อง เขตหวงห้ามใช่สถานที่เล่นสนุกหรือ?

ในเวลานี้เอง แสงเพลิงพลันส่องวาบทั่วนภา วิหคไฟฝูงหนึ่งกระพือปีกใหญ่โตบินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

วิหคเพลิงร่อนลงพื้น แสงเพลิงดับลง เผยให้เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่ถูกห่อหุ้มอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง ผู้ที่เดินนำเข้ามาสวมอาภรณ์สีแดงหลวมโคร่ง รูปลักษณ์สง่าภูมิฐาน บุคลิกสูงส่งดั่งนั่งบนยอดเมฆา นั่นคืออวี่เหวินเยียนเจ้าสำนักเพลิงนภา คณะที่ติดตามมาคือผู้อาวุโสระดับสูงของสำนัก

เก็บตัวในถ้ำสิ้นแสงสิบปี นอกจากบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักแล้ว ไม่มีผู้ใดทำเช่นนี้ได้อีก พอคุนหลินซู่ทำเช่นนี้ย่อมสร้างความตื่นตะลึงให้เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักเพลิงนภาด้วย

ทุกคนตกใจ หั่วเฟิงหวงถูกผางจั๋วดึงให้ลุกขึ้นมา ทำความเคารพพร้อมกัน “คารวะท่านเจ้าสำนัก!”

อวี่เหวินเยียนยกมือปรามไม่ให้มากพิธี เอ่ยถามเสียงเรียบเฉย “ได้ยินว่าคุนหลินซู่มีปณิธานแน่วแน่จะเข้าถ้ำไปเก็บตัวสิบปีอย่างนั้นหรือ?”

ผางจั๋วและเถียนอันเหรินอันตอบพร้อมกัน “เป็นเช่นนี้จริงๆ ขอรับ!”

อวี่เหวินเยียนทอดสายตามองไปทางปากถ้ำ พยักหน้าเล็กน้อย “ชีวิตคนเราไม่มีทางราบรื่นไปได้ตลอด ใครบ้างที่ไม่เคยประสบช่วงเวลาอดสูน่าอับอาย? รู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาด มีความแน่วแน่และเด็ดขาดถึงเพียงนี้ ยังต้องกลัวว่าลบล้างความอัปยศไม่ได้อีกเหรอ สำนักเพลิงนภาของข้ามีผู้สืบทอด นี่นับเป็นเรื่องที่ดี!”

หั่วเฟิ่งหวงทรุดตัวคุกเข่าลงอีกครั้ง อ้อนวอนอาจารย์ไม่สำเร็จจึงขอร้องเจ้าสำนักต่อ

หลังจากอวี่เหวินเยียนทราบความเป็นมาของเรื่องราว เขาหลุบตามองคนที่คุกเข่าอยู่ เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ที่นี่คือเขตหวงห้าม มิใช่เรือนหอของพวกเจ้า! เขาตัดขาดกิเลสทางโลกเก็บตัวบำเพ็ญเพียร หากเจ้าเข้าไป กิเลสทางโลกย่อมตามติดเป็นเงาตามตัว เขาจะสงบใจบำเพ็ญเพียรได้อย่างไร? ข้าพอจะเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่เขาตั้งปณิธานเอาไว้สิบปีเป็นเรื่องที่หาได้ยาก ชีวิตคนเราสั้นนัก มีเวลาให้ใช้สักกี่สิบปีกัน? เจ้าอย่าได้ถ่วงเขาเลย!”

กล่าวจบก็หันหลังไป แสงเพลิงพลันลุกโชน เปลวไฟขยายตัวขึ้นสู่อากาศ กลายเป็นวิหคเพลิงอีกครั้ง ห่อหุ้มตัวคนไว้จากนั้นสยายปีกบินจากไป

เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักเพลิงนภามองหั่วเฟิ่งหวงที่คุกเข่าอยู่บนพื้น บางคนมีสีหน้าเรียบเฉย บางคนมีสีหน้าสงสารเห็นใจ ต่างพากันดีดตัวขึ้นสู่อากาศ แต่ละคนมีเปลวเพลิงลุกโชนแล้วโผบินจากไป

หั่วเฟิ่งหวงคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง งงงันเลื่อนลอย นางรู้ดีว่าเมื่อเจ้าสำนักกล่าวมาเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่มีผู้กล้าปล่อยให้นางเข้าไปแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า