สรุปเนื้อหา ตอนที่ 347 ซางเฉาจงโชคดีกว่าข้า – ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet
บท ตอนที่ 347 ซางเฉาจงโชคดีกว่าข้า ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ตอนที่ 347 ซางเฉาจงโชคดีกว่าข้า
เกาเจี้ยนโฮ่วตามเข้ามา พลางปิดประตูห้องแล้วยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู
ชั้นบนของศาลา หน้าต่างที่อยู่สองฝั่งซ้ายขวาเปิดแง้มอยู่ เชอปู้ฉือและเซี่ยหลงเฟยแยกกันเฝ้าคนละบาน คอยสังเกตการณ์ด้านนอก
“หนิวโหย่วเต้า ก่วนฟางอี๋ คารวะท่านอ๋อง” แขกผู้มาเยือนทั้งสองประสานมือคำนับพร้อมกัน
อิงอ๋องเฮ่าเจินเอ่ยด้วยรอยยิ้มสบายๆ “ข้าได้ยินชื่อเสียงของทั้งสองคนมานานแล้ว นั่งลงเถอะ!”
เขาผายมือเชิญเล็กน้อย ทั้งสองฝ่ายนั่งล้อมอยู่รอบโต๊ะ มู่จิ่วยืนประสานมืออยู่ข้างๆ เฮ่าเจิน
“ต้องการพบข้าด้วยธุระใดหรือ?” เฮ่าเจินถาม
หนิวโหย่วเต้ากวาดตามองไปรอบๆ เล็กน้อย สื่อว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยจะคุยสะดวกหรือ?
เฮ่าเจินกล่าวว่า “พูดมาได้เลย!”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้าก็ไม่เสียเวลาอ้อมค้อมกับเขาเช่นกัน “มีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือจากท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าเจินกล่าวว่า “หากข้าช่วยได้จะให้ความช่วยเหลือแน่นอน”
หนิวโหย่วเต้าแปลกใจ ไม่คิดเลยว่าคนผู้นี้จะตอบรับเร็วขนาดนี้ ทว่าจากนั้นอีกฝ่ายก็เอ่ยเสริมเนิบๆ ว่า “แต่หากเป็นเรื่องที่ขัดต่อกฎหมายแคว้นฉีข้าจะไม่ทำ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องม้าศึก!”
เห็นได้ชัดว่าเฮ่าเจินก็เดาไว้ว่าหนิวโหย่วเต้ามาเยือนแคว้นฉีในครานี้ก็เพื่อม้าศึก นึกสงสัยว่าจะมาหาเขาเพราะเรื่องม้าศึก
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยไปว่า “เรื่องม้าศึกฝ่าบาททรงประทานให้กระหม่อมแล้ว คงไม่รบกวนท่านอ๋องอีก”
เจ้านี่กำลังหลอกคนอีกแล้ว! สีหน้าก่วนฟางอี๋เรียบเฉย แต่ภายในใจกลับกำลังบ่นพึมพำ
“เจ้าจะบอกว่าเสด็จพ่อทรงประทานม้าศึกให้เจ้าแล้วอย่างนั้นหรือ?” เฮ่าเจินถามด้วยน้ำเสียงสงสัย
หนิวโหย่วเต้าสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ ล้วงป้ายคำสั่งอันหนึ่งออกมา แสดงให้เฮ่าเจินที่นั่งตรงข้ามดู “เรื่องขนส่งม้าศึกมิใช่ปัญหาสำหรับกระหม่อม หวังว่าท่านอ๋องจะช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
พอเห็นป้ายคำสั่งในมือเขา เฮ่าเจินร้อง “โอ้” คำหนึ่ง พยักหน้าเล็กน้อย ทว่าภายในใจกลับค่อนข้างแปลกใจ กำลังครุ่นคิดถึงความเกี่ยวข้องระหว่างคนผู้นี้กับพระบิดาของตนอย่างรวดเร็ว
มู่จิ่วที่อยู่ฝั่งตรงข้ามย่อมมองเห็นป้ายคำสั่งเช่นกัน แววตาวูบไหวเล็กน้อย
เฮ่าเจินเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นความประสงค์ส่วนพระองค์ของเสด็จพ่อ ข้าก็จะไม่ถามซักไซ้อีก แล้วก็จะทำเหมือนไม่เคยรับรู้เรื่องนี้ เพียงแต่ข้ามีคำถามอยู่ข้อหนึ่ง ที่เจ้ามาหาข้าในวันนี้ เป็นความต้องการของตัวเจ้าเองหรือเป็นพระประสงค์ของเสด็จพ่อกันแน่?”
เกาเจี้ยนโฮ่วที่ยืนอยู่ตรงประตูก็อยากเห็นเช่นกันว่าป้ายคำสั่งที่อยู่ในมือหนิวโหย่วเต้าคือป้ายคำสั่งใด จนปัญญาที่มองไม่เห็น
ก่วนฟางอี๋ก็อยากเห็นป้ายคำสั่งในมือหนิวโหย่วเต้าเช่นกัน จนใจที่พอหนิวโหย่วเต้าแสดงเสร็จก็เก็บป้ายคำสั่งเข้าแขนเสื้อไป นางมองเห็นเพียงมุมข้างของป้ายคำสั่งเท่านั้น
เรื่องนี้ทำให้ก่วนฟางอี๋หงุดหงิดใจเหลือเกิน จากท่าทีของเฮ่าเจินแล้ว ดูเหมือนป้ายคำสั่งในมือหนิวโหย่วเต้าจะมีไว้ใช้ในด้านนั้นจริงๆ คิดไม่ถึงว่าสารเลวผู้นี้จะไม่เคยเผยให้ตนทราบเลย
แต่ในขณะเดียวก็เกิดความสงสัยว่าในเมื่อมีไพ่ตายสำหรับส่งออกม้าศึกแล้ว เหตุใดยังต้องหาเรื่องเดือดร้อนไปปล้นม้าศึกของคนอื่นอีก?
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ไม่เกี่ยวข้องกับองค์ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ เป็นเรื่องส่วนตัวของกระหม่อมเอง”
เฮ่าเจินถาม “มีเรื่องใดที่เสด็จพ่อจัดการไม่ได้ด้วยหรือ ถึงจำเป็นต้องมาให้ข้าจัดการ?” ความหมายในวาจาคือ เจ้าสามารถติดต่อไปหาเสด็จพ่อเลยก็ได้ ไยต้องมาหาข้าที่เป็นแค่ท่านอ๋องคนหนึ่งด้วย?
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “องค์อ๋องเต้ไม่มีทางช่วยธุระนี้ของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าเจินถาม “ธุระใดกันแน่?”
หนิวโหย่วเต้าตอบไปว่า “อยากขอให้ท่านอ๋องช่วยจับคนผู้หนึ่งมาให้กระหม่อม เป็นขุนนางผู้หนึ่งของทางราชสำนัก ช่วยมอบคนให้กระหม่อมด้วย!”
เฮ่าเจินสบตากับมู่จิ่วเล็กน้อย ถามต่อว่า “จับขุนนางของราชสำนักมาด้วยเรื่องส่วนตัว เจ้าล้อเล่นอยู่หรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ไม่ได้ล้อเล่นพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นคงไม่มาหาท่านอ๋อง”
เฮ่าเจินเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าเป็นขุนนางคนใดกันที่ทำให้น้องหนิวไม่พอใจ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ลูกน้องของซีย่วนต้าอ๋อง นามว่าจางสิงรุ่ยพ่ะย่ะค่ะ!”
จางสิงรุ่ย? เฮ่าเจินขมวดคิ้ว ไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับนามนี้เลย ย่อมมิใช่ขุนนางใหญ่โตอันใดแน่ มิเช่นนั้นไม่มีทางที่เขาจะจำไม่ได้ เขาหันไปมองมู่จิ่วที่อยู่ด้านข้าง “คนของเสด็จอามีคนผู้นี้หรือไม่?”
มู่จิ่วค้อมกายเอ่ยตอบ “มีพ่ะย่ะค่ะ เป็นขุนนางว่างงานที่รับหน้าที่จดบันทึกทะเบียนทรัพย์สินเชื้อพระวงศ์ของทางเรือนประจิมพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าเจินแปลกใจยิ่งกว่าเดิม หันกลับไปมองหนิวโหย่วเต้า “ขุนนางที่เก็บตัวอยู่เงียบๆ อีกทั้งไม่มีอะไรสะดุดตาผู้หนึ่ง เหตุใดถึงทำให้น้องหนิวที่มีชื่อเสียงก้องหล้ายึดติดได้ถึงขนาดนี้?”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา “ท่านอ๋องก็ทรงเก็บตัวอยู่เงียบๆ เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าเจินเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าจะมีอะไรไปโอ้อวดได้เล่า?”
หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่จำเป็นต้องถกเถียงเรื่องนี้กับอีกฝ่ายอย่างจริงจังเช่นกัน ถ้อยคำบางอย่างควรหยุดไว้เพียงเท่านี้ ทุกคนรู้อยู่แก่ใจก็พอ เขากลับเข้าประเด็นว่า “กุ่ยหมู่แห่งเขาลับแล ไม่ทราบว่าท่านอ๋องเคยได้ยินมาบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เฮ่าเจินตอบ “เคยได้ยินมาเล็กน้อย หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับจางสิงรุ่ยผู้นี้?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “จางซิงรุ่ยคือทายาทรุ่นหลังของกุ่ยหมู่ที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นเหลนชายของกุ่ยหมู่พ่ะย่ะค่ะ”
พอเขากล่าวประโยคนี้ออกไป เฮ่าเจิน มู่จิ่ว เกาเจี้ยนโฮ่ว แล้วก็ยังมีเชอปู้ฉือและเซี่ยหลงเฟยที่เงี่ยหูฟังอยู่ชั้นบน ทุกคนต่างตกตะลึง!
คิ้วและตาที่ลู่ตกลงของเฮ่าเจินค่อยๆ เบิกขยาย แววตาลุ่มลึกขึ้นมา เผยให้เห็นท่าทีที่แปลกออกไป เขาเอ่ยถามว่า “ซีย่วนต้าอ๋องทราบหรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้างกายท่านอ๋องมีคนจากสามสำนักคอยช่วยเหลืออยู่แล้ว หากมาอยู่ทางนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าสามสำนักกระหม่อมจะนับเป็นอันใดได้ แบบนั้นมิเท่ากับต้องคอยเชื่อฟังพวกเขาอยู่ตลอดหรือ? นี่มิใช่สิ่งที่กระหม่อมต้องการพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าเจินถาม “แล้วทางสำนักหยกสวรรค์คุยง่ายนักหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “อย่างน้อยสำนักหยกสวรรค์ก็ทำอะไรกระหม่อมกระหม่อมไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ลองใคร่ครวญดูอีกสักนิดหรือ?”
“ยงผิงจวิ้นอ๋องดีต่อกระหม่อมมากพ่ะย่ะค่ะ!”
“เฮ้อ ซางเฉาจงโชคดีกว่าข้ามากนัก หวังว่าเจ้าจะจดจำคำมั่นของตัวเจ้าไว้!” เฮ่าเจินถอนหายใจ โบกมือส่งสัญญาณให้ทางศาลากลางน้ำ พวกมู่จิ่วทั้งสี่พลันมุ่งหน้ามา เฮ่าเจินหันหลังออกเดิน “ไปเถอะ!”
ตอนที่ทั้งสี่ทยอยเดินผ่านหนิวโหย่วเต้าไป ล้วนเพ่งพิศหนิวโหย่วเต้าตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง
ทั้งสี่ก็อยากถามเฮ่าเจินเหลือเกินว่าหนิวโหย่วเต้าพูดอะไรบ้าง แต่ทั้งสี่รู้ดี หากเฮ่าเจินอยากบอก เขาย่อมต้องให้พวกเขาฟังเอง มิเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องถาม
หนิวโหย่วเต้าประสานมือคำนับ สายตามองตามหลังไป
ก่วนฟางอี๋มาอยู่ข้างกายอย่างเงียบๆ เอ่ยถามว่า “เขาตกลงแล้ว?”
หนิวโหย่วเต้าตอบ “น่าจะนับว่าตกลงแล้ว”
ก่วนฟางอี๋ประหลาดใจ ก่อนหน้านี้นางคัดค้านที่หนิวโหย่วเต้าจะมาหาอิงอ่อง เพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่มีทางยอมตกลงในเรื่องนี้ ท่าทีของอีกฝ่ายเมื่อครู่นี้นางเองก็ได้เห็นแล้ว นางถามด้วยความรู้สึกสงสัย “เจ้าพูดอะไรกับเขากันแน่ ไยเขาถึงยอมตกลง?”
“เพียงผูกมิตรอย่างจริงใจเท่านั้น”
“เจ้าหลอกข้าให้มันน้อยๆ หน่อย!”
เรื่องบางอย่างไม่อาจบอกให้คนอื่นรู้ได้ง่ายๆ หนิวโหย่วเต้าจ้องมองแผ่นหลังของเฮ่าเจินที่เดินจากไป เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อีกสามคนเป็นผู้ใด?”
ก่วนฟางอี๋กลอกตาคราหนึ่ง ทราบดีว่าถึงถามไปก็ไม่ได้ความ “นั่นคือมู่จิ่วขันทีผู้ดูแลประจำจวนอิงอ๋อง อีกสองคนที่คือเชอปู้ฉือแห่งสำนักมหาบรรพตและเซี่ยหลงเฟยแห่งสำนักศาสตราลึกล้ำ”
“อิงอ๋องคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ!”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว องค์ชายทุกคนล้วนมีศิษย์จากสามสำนักติดตามคุ้มกัน”
“ข้าคิดมากอย่างนั้นหรือ? ถึงจินอ๋องจะมีคนจากสามสำนักติดตามคุ้มกัน แต่พอเป็นเรื่องส่วนตัวกลับกล้าเรียกใช้เพียงเว่ยฉูเท่านั้น ทว่าท่านอ๋องผู้นี้กลับทำให้ศิษย์ของสามสำนักเปลี่ยนมาภักดีต่อเขาได้!” หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หันหลังพลางเอ่ยว่า “ไปเถอะ”
ก่วนฟางอี๋ฟังแล้วพลันกระจ่างขึ้นมาในทันใด เผยสีหน้าใช้ความคิดออกมา
………………………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า