ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 363

สรุปบท ตอนที่ 363 เผชิญภัย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

สรุปตอน ตอนที่ 363 เผชิญภัย – จากเรื่อง ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet

ตอน ตอนที่ 363 เผชิญภัย ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่ 363 เผชิญภัย

หนิวโหย่วเต้าที่กำลังจะเดินเข้าไปในห้องโดยสารชะงักเท้าทันที หันกลับไปมองทางแผ่นดิน “ขึ้นฝั่งไปแล้ว?”

กงซุนปู้ถอนหายใจ “เฮยหมู่ตานกังวลว่าท่านจะมีอันตรายจึงพาต้วนหู่ขึ้นฝั่งไป บอกว่าจะช่วยล่ออันตรายไปจากท่านขอรับ”

“ช่วยล่ออันตรายไปจากข้า?” หนิวโหย่วเต้าถอนสายตากลับมามองใบหน้าเขา ค่อยๆ หันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับเขา ตวาดถามว่า “หมายความว่ายังไง?”

เสียงตวาดนี้ดึงดูดลู่หลีจวินที่อยู่ด้านในให้ออกมาดู เขายืนอยู่หน้าประตูห้องโดยสารพลางมองมาทางนี้

“ก่อนหน้านี้ทางเราได้รับข้อความบอกให้พวกเราออกเดินทางยามรุ่งสาง เฮยหมู่ตานวิเคราะห์ว่าเต้าเหยี่ยอาจจะเผชิญอันตรายเข้าแล้ว…” กงซุนปู้บอกเล่าเรื่องราวโดยละเอียด

ก่วนฟางอี๋กะพริบตาปริบๆ ลอบรู้สึกทอดถอนใจ ไม่ว่าสิ่งที่เฮยหมู่ตานทำจะผิดหรือถูกก็จำเป็นต้องยอมรับเลยว่าเป็นลูกน้องที่มีใจภักดีคนหนึ่ง บนโลกนี้คนประเภทนี้หาได้ยากนัก!

“เหลวไหล!” หนิวโหย่วเต้าตำหนิด้วยความโกรธ กระบี่ในมือกระแทกพื้นดาดฟ้าแรงๆ หลายที “ไม่ให้เรือเข้าใกล้ชายฝั่งให้พวกเจ้ารออยู่บนทะเล แล้วยังจะขึ้นฝั่งไปทำไม? ใครเป็นคนบอกให้พวกเจ้าขึ้นฝั่งไป?”

จะให้กงซุนปู้ตอบคำถามนี้อย่างไร? แต่กงซุนปู้ก็มองออกเช่นกันว่าการที่หนิวโหย่วเต้าโมโหเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ เห็นทีจะมีอันตรายจริงๆ ในใจจึงอดนึกเป็นห่วงเฮยหมู่ตานกับต้วนหู่ขึ้นมาไม่ได้

สีหน้าของหนิวโหย่วเต้าดูแย่ เขาเดินวนกลับไปกลับมาบนดาดฟ้าเรือ มองไปทางชายฝั่งทะเลเป็นระยะๆ แววตาเจือความร้อนใจ

ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกว่าค่อนข้างผิดปกติเช่นกัน หลังจากหนีออกจากพื้นที่เลี้ยงสัตว์มาแล้ว การเดินทางก็ราบรื่นอย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่รู้สึกว่าถูกค้นพบร่องรอยเลยสักนิด

เขายังคิดอยู่เลยว่าตนอาจจะกังวลมากเกินไป ไม่มีสถานการณ์ที่ตนกังวลปรากฏขึ้น ไม่พบอุปสรรคใดๆ แม้แต่น้อย

ตอนนี้พอคิดดูแล้ว อาจจะเป็นตนที่กังวลมากเกินไปจริงๆ หรือไม่ก็เป็นเพราะความเคลื่อนไหวของเฮยหมู่ตานที่ช่วยล่อกองกำลังค้นหาไปจากตนได้จริงๆ

เหตุผลมันก็เข้าใจได้ไม่ยาก หากว่ามีอันตรายเช่นนั้นอยู่จริงๆ เมื่อคำนวณจากความคลาดเคลื่อนของช่วงเวลาและสถานการณ์ระหว่างตนกับศัตรูแล้ว มันก็พอจะทำการวิเคราะห์ออกมาได้

ขอให้เป็นตัวเองที่คิดมากไป ขออย่าให้มีอันตรายอย่างที่ตัวเองกังวลปรากฏขึ้นมา

“พวกเขาได้นำปีกทองติดตัวไปด้วยหรือไม่?” หนิวโหย่วเต้าที่ยืนอยู่ข้างกราบเรือหันกลับเอ่ยถามประโยคหนึ่ง

กงซุนปู้ตอบว่า “ไม่ขอรับ!”

หนิวโหย่วเต้าถามต่อ “พวกเขาได้บอกไว้หรือไม่ว่าจะมุ่งหน้าไปทางไหน?”

กงซุนปู้ส่ายหน้า “ไม่เช่นกันขอรับ บอกเพียงว่าหากพวกเขามาไม่ทัน พวกเขาจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่เดียวกันกับที่พวกเสิ่นชิวไป จะไปพบพวกเราที่นั่นขอรับ”

ตุบ! หนิวโหย่วเต้ายกดาบกระแทกพื้นเรือเต็มแรงอีกครั้ง ความโกรธในใจไร้หนทางที่จะระบายออกมา

ไม่มีปีกทองก็ไม่สามารถติดต่อกับพวกเฮยหมู่ตานได้ ไม่ทราบว่าพวกเขามุ่งหน้าไปในทิศทางไหนก็ตามหาพวกเขาไม่ได้ แผ่นดินกว้างใหญ่ปานนี้ ด้วยกำลังคนเท่านี้ ขืนออกไปค้นหาส่งเดชก็ไม่ได้ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทรเลย!

“เต้าเหยี่ย ตอนนี้จะทำอย่างไรดีขอรับ?” กงซุนปู้ลองสอบถามดู ความหมายในวาจาคือยังต้องการออกเรือหรือไม่

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยความโมโห “ยังจะทำอย่างไรได้เล่า? รอ!”

เดิมทีก่วนฟางอี๋ยังคิดจะแสดงความแง่งอนของตนออกมาตามความเคยชินเล็กน้อย พอเห็นจุดนัดพบนี้ นางก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก รู้สึกว่าหนิวโหย่วเต้าเจ้าเล่ห์เหลือเกิน ตอนที่ส่งพวกลุงเฉินทั้งสามออกไปแล้วก็ยังไม่ยอมเปิดเผยสถานที่นัดพบกับนาง เห็นได้ชัดว่าต้องการป้องกันไว้ก่อน

แต่พอเห็นหนิวโหย่วเต้าเป็นเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ากำลังมีโทสะ นางจึงเก็บความเจ้าอารมณ์กลับไป

….

ณ เทือกเขาที่เชื่อมต่อกันเป็นแถว เขาสูงสายน้ำไหลเชี่ยว นามของสถานที่แห่งนี้คือลุ่มน้ำจิ่วเต้า

ณ ตีนเขา มีม้าสองตัวควบทะยาน

“ลูกพี่ แย่แล้ว!”

ต้วนหู่ที่คอยสอดส่ายสายตามองรอบข้างอย่างระแวดระวังเป็นระยะอยู่บนหลังม้าพลันอุทานขึ้นมา

เฮยหมู่ตานหันขวับกลับมา มองไปในทิศทางเดียวกับเขาทันที เห็นว่าบนท้องนภาที่มีจันทราส่องสกาวมีเงาดำหลายร่างโฉบผ่านอย่างต่อเนื่อง เป็นวิหคยักษ์

สีหน้าเฮยหมู่ตานแปรเปลี่ยนไปทันที เรื่องราวค่อนข้างเหนือไปจากที่นางคาดการณ์ไว้ เดิมนางคิดว่าหลังจากสร้างความเคลื่อนไหวแล้ว นางจะหลบหนีไปยังสถานที่ที่มีชัยภูมิซับซ้อนอันตรายทันที คิดจะอาศัยประโยชน์ของภูมิประเทศหนีเอาตัวรอด แต่นึกไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะใช้วิหคยักษ์ออกไล่ล่าตามหา ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้วิหคยักษ์มากมายถึงเพียงนี้อีก

ตามความเข้าใจของนาง แค่วิหคยักษ์ตัวเดียวก็มีราคาสูงลิ่วแล้ว ไม่เคยคิดถึงเลยว่าจะมีคนใช้วิหคยักษ์มากมายขนาดนี้เพื่อออกไล่ล่า

ก่อนหน้านี้นางคิดว่าโอกาสที่จะหลบหนีรอดมีสูงมาก แต่อีกฝ่ายกลับใช้วิหคยักษ์ออกตามไล่ล่า ตอบสนองได้รวดเร็วเหนือไปจากที่นางคาดการณ์ไว้ คิดไม่ถึงว่าจะถูกไล่ตามมาทันได้เร็วถึงเพียงนี้ ทำให้โอกาสที่จะหนีรอดลดน้อยลงไป!

นางไม่คาดหวังว่าวิหคยักษ์เหล่านี้จะเพียงแค่บังเอิญผ่านทางมาโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกนาง นางทราบดีว่าตอนนี้เผชิญปัญหาเข้าจริงๆ แล้ว เจออันตรายอย่างแท้จริงแล้ว!

“ไป!” เฮ้ยหมู่ตานตะโกนบอก เหินออกจากหลังม้าทะยานขึ้นสู่ภูเขา

ต้วนหู่ก็เหินตามออกไป ในขณะที่ทั้งสองเหินออกจากพาหนะก็ได้โยนหมวกม่านแพรทิ้ง เผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา หลบหนีเอาชีวิตรอดด้วยความแตกตื่น!

บนท้องนภา วิหคยักษ์ห้าตัวกระจายตัวออกไป ค้นหาไปทั่วบริเวณ เดี๋ยวบินสูง เดี๋ยวโฉบต่ำ

วิหคยักษ์ตัวหนึ่งแทบจะบินขนานเรี่ยไปกับพื้น เมื่อโฉบผ่านเหนือร่างอาชาทั้งสองไปก็เชิดหัวบินขึ้นสู่อากาศ ไล่ตามทั้งสองคนที่เหินทะยานขึ้นเขาไป

“แกว่ก!” วิหคยักษ์เปล่งเสียงร้องแหลมแจ้งเตือน

วิหคอีกสี่ตัวที่บินอยู่รอบๆ เปลี่ยนทิศทางทันที ปีกสยายกระพือเร็วขึ้นกว่าเดิม เร่งความเร็วไล่ตามมาทางด้านนี้

ไม่นานนักเฮยหมู่ตานและต้วนหู่ก็ถูกต้อนขึ้นไปถึงยอดเขา อีกด้านของภูเขาคือผาขาดแห่งหนึ่ง ภายในหุบเหวเบื้องล่างมีสายน้ำเชี่ยวกรากกำลังส่งเสียงคำราม

วิหคยักษ์ตัวหนึ่งบินวนอยู่เหนือศีรษะพวกเขา อีกสองตัวบินวนล้อมรอบตัวพวกเขา มีอีกตัวร่อนลงบนฝั่งตรงข้ามของหุบเหว ส่วนตัวสุดท้ายบินร่อนกลับไปกลับมาเหนือแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวอยู่ในร่องเหว

พอเห็นว่าสามารถดันตัวเฮยหมู่ตานเข้าไปได้ง่ายๆ ก็แปลว่าด้านในยังมีพื้นที่ว่าง เขาจึงมุดตามเข้าไปด้วย

หลังจากที่มุดเข้าไปแล้ว ถึงพบว่าเป็นถ้ำใต้น้ำแห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าพื้นที่ว่างด้านในมีขนาดใหญ่แค่ไหน เขาจึงโอบตัวเฮยหมู่ตานไว้แล้วซุกตัวอยู่ด้านใน ไม่กล้าขยับเขยื้อน มือหนึ่งอุดปากของเฮยหมู่ตานไว้ ไม่ปล่อยให้กลิ่นคาวเลือดในปากและจมูกของนางเล็ดรอดไปสู่ภายนอก

หลังจากเห็นแสงสว่างวับแวมเคลื่อนผ่านนอกถ้ำไป ต้วนหู่แหย่ขาข้างหนึ่งลองหยั่งพื้นที่ด้านหลังดู ก่อนจะเจอโพรงเล็กๆ อีกแห่งหนึ่งเข้า

แรกเริ่มเขาไม่ได้สนใจโพรงเล็กๆ นี้เลย หากแต่โอบเฮยหมู่ตานไว้แล้วว่ายเข้าสู่พื้นที่ด้านในที่กว้างกว่า ไม่นานนักทั้งสองก็โผล่ขึ้นสู่ผิวน้ำ ไม่รู้เหมือนกันว่าพื้นที่ด้านในกว้างมากแค่ไหน

เดิมทีเขาคิดจะอุ้มเฮยหมู่ตานขึ้นฝั่งไป แต่พอคิดไปคิดมาก็มุดกลับลงน้ำไปอีกครั้ง ไปที่โพรงเล็กๆ ข้างปากถ้ำก่อนหน้านี้ สำรวจดูเล็กน้อย พบว่าพื้นที่ด้านในเพียงพอจะบรรจุคนได้สามถึงสี่คนเท่านั้น เขาดันเฮยหมู่ตานเข้าไป จากนั้นเข้าไปในถ้ำใต้น้ำเพียงลำพังแล้วอุ้มหินใหญ่ก้อนหนึ่งมา ยัดตัวเข้าไปในโพรงเช่นกัน ก่อนจะลากก้อนหินมาปิดปากโพรงไว้

แสงจากไข่มุกราตรีส่องสว่างอยู่บนผิวน้ำที่ไหลเชี่ยว คนผู้หนึ่งโผล่พ้นน้ำขึ้นมาพลางโบกไข่มุกราตรีเล็กน้อย จากนั้นก็มุดลงน้ำไปอีกครั้ง

มีคนสิบคนร่อนลงมาจากกลางอากาศทันที แต่ละคนล้วงไข่มุกราตรีออกมาแล้วมุดลงสู่ใต้น้ำ มองเห็นแสงว่างปรากฏขึ้นใต้แม่น้ำเชี่ยวกรากจากนั้นแยกย้ายกันค้นหาทั้งต้นน้ำปลายน้ำ

วิหคสองตัวที่ต่างบรรทุกคนเอาไว้หนึ่งคนบินลาดตระเวนกลับไปกลับมาอยู่เหนือกระแสน้ำ

กลางอากาศยังมีวิหคยักษ์อีกสองตัวที่บรรทุกคนเอาไว้ตัวละคนบินลาดตระเวนไปตามภูเขา

คนชุดดำที่เป็นผู้ลงมือยืนอยู่บนเชิงผา มีวิหคยักษ์ตัวหนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง

มีคนสังเกตเห็นปากถ้ำที่ต้วนหู่เข้าไปซ่อนตัว จึงมุดเข้าไปโดยที่ถือไข่มุกราตรีไว้

ต้วนหู่ที่ซ่อนตัวอยู่ในโพรงเล็กข้างปากถ้ำเกิดความตึงเครียดเป็นอย่างมากทันที เขามองเห็นแสงไฟที่ส่องลอดร่องเล็กๆ ระหว่างก้อนหินที่ปิดปากโพรงไว้

ทว่าการตัดสินใจด้วยไหวพริบในช่วงเวลาคับขันของเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว คนชุดดำไม่สนใจบริเวณปากถ้ำ มุดเข้าไปภายในถ้ำต่อ เคลื่อนตัวผ่านหินก้อนใหญ่ที่อยู่ตรงมุมด้านข้างไป มุดเข้าไปแล้วใช้พลังตรวจสอบด้านในไปทั่ว ไม่ได้คิดถึงเลยว่าจะมีคนซ่อนตัวอยู่บริเวณปากทางเข้าถ้ำ

ในแง่หนึ่งแล้ว ที่ตอนแรกเฮยหมู่ตานเลือกลุ่มน้ำจิ่วเต้าเป็นเส้นทางหลบหนีก็เพราะคิดมาดีแล้ว

คนชุดดำมุดเข้าไปด้านในแล้วโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ จากนั้นขึ้นฝั่ง ถือไข่มุกราตรีตรวจสอบพื้นที่ที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินหลายสิบจั้งจนทั่ว โพรงถ้ำน้อยใหญ่ที่เชื่อมอยู่ภายในถ้ำมากล้วนไม่ปล่อยผ่านไป

หลังจากสำรวจอย่างละเอียดไปรอบหนึ่งแล้วก็ไม่พบเห็นผู้ใด คนชุดดำจึงกลับลงสู่ใต้น้ำแล้วมุดออกจากถ้ำไปอีกครั้ง จากนั้นก็มุดโผล่ออกไปยังแม่น้ำเชี่ยวกรากด้านนอกเพื่อไปค้นหาที่อื่นต่อ

ต้วนหู่ที่ซ่อนตัวอยู่ในโพรงเล็กมองเห็นแสงสว่างวาบผ่านด้านนอกไป

เขาทราบดีว่าอีกฝ่ายน่าจะออกไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่กล้าขยับเขยื้อน ยังคงซ่อนตัวต่อไป

จนกระทั่งเห็นว่าเฮยหมู่ตานที่สลบอยู่ในวงแขนใกล้จะขาดอากาศแล้ว เขาถึงจำเป็นต้องยอมเสี่ยง ผลักก้อนหินที่ปิดปากทางออกไปอย่างระมัดระวัง ดึงเฮยหมู่ตานมุดออกไปแล้วเข้าไปในถ้ำ อุ้มเฮยหมู่ตานขึ้นฝั่ง

เขาใช้พลังควบคุมหยดน้ำที่อยู่บนร่างของทั้งสอง มุ่งหน้าเข้าไปด้านใน แล้วก็เสาะหาที่ว่างแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านในแล้วเข้าไปซ่อนด้วยกัน จากนั้นถึงจะลงมือปฐมพยาบาลเฮยหมู่ตานอย่างเร่งด่วน…

……………………………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า