ตอน ตอนที่ 362 ตัดสินใจโดยพลการ จาก ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 362 ตัดสินใจโดยพลการ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ตอนที่ 362 ตัดสินใจโดยพลการ
จันทราลอยสูงเหนือท้องสมุทร เกลียวคลื่นซัดสาด
เงาดำทะมึนลอยเด่นอยู่บนท้องทะเล เป็นโขดหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง ไม่ไกลออกไปมีเรือใหญ่ลำหนึ่งแล่นเข้ามา
เรือใหญ่ลำนี้ไม่เพียงแต่แล่นเข้ามาใกล้เท่านั้น แต่ยังแล่นวนกลับไปกลับมาไม่หยุด
จากมุมมองของคนนอกอาจจะเห็นว่าผ่านที่นี่ไปแล้ว แต่ความจริงแล้วยังคงแล่นวนเวียนอยู่ในน่านน้ำแถบนี้ตลอด เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้คนยากจะสังเกตเห็นว่าเรือลำนี้ยังคงรั้งอยู่ในน่านน้ำแถบนี้
เรือลำนี้ก็คือเรือที่นัดหมายกับหนิวโหย่วเต้าไว้ลำนั้น แต่มิใช่เรือที่บรรทุกม้าศึกเอาไว้ เป็นเพียงเรือลำหนึ่งในหมู่เรือบรรทุกเสบียงสองร้อยลำ
เรือบรรทุกม้าศึกจากไปนานแล้ว หนิวโหย่วเต้าไม่มีทางยอมปล่อยให้เรือบรรทุกม้าศึกมาวนเวียนอยู่ที่นี่ เพราะแบบนั้นอันตรายเกินไป หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นจะทำให้เรื่องปล้นม้าศึกครั้งนี้รั่วไหลออกไปได้ง่ายๆ
หากเป็นเรือบรรทุกเสบียงลำหนึ่ง ถึงเกิดเรื่องใดขึ้นก็ยังพออธิบายได้
บนดาดฟ้าเรือ เฮยหมู่ตานและกงซุนปู้ยืนเคียงข้างกัน ทอดสายตามองไปยังชายฝั่งทะเล
“เหตุใดถึงยังไม่มาอีก?” เฮยหมู่ตานค่อนข้างร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด
ความร้อนรนของนางใช่ว่าจะไร้ซึ่งสาเหตุ แม้จะไม่ทราบว่าหนิวโหย่วเต้ากระทำการใดอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีกันแน่ แต่จากข้อความที่เสิ่นชิวส่งมาทำให้ทราบเรื่องที่หงซิ่วหงฝูถูกขับไล่ออกจากสวนไม้เลื้อย หลังจากนั้นก็หลบหนีออกมาโดยสลัดลิ่งหูชิวทิ้ง ในเวลานั้นนางก็ตระหนักได้แล้วว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เต้าเหยี่ยจะแตกหักกับลิ่งหูชิวแล้ว
เรื่องระหว่างหนิวโหย่วเต้าและลิ่งหูชิวนางทราบกระจ่างดีมาแต่แรกแล้ว ทั้งยังทราบถึงฐานะของลิ่งหูชิวด้วย การแตกหักกับลิ่งหูชิวก็เท่ากับเป็นการปะทะกับหอจันทร์กระจ่างแล้ว
แม้นางจะทราบแต่แรกแล้วว่าระหว่างหนิวโหย่วเต้าและลิ่งหูชิวไม่มีทางอยู่กันแบบนั้นไปได้ตลอด ไม่ช้าก็เร็วคงต้องแตกหักกัน แต่พอวันนั้นมาถึงเข้าจริงๆ นางก็ยังอดรู้สึกตกใจขึ้นมาไม่ได้ หอจันทร์กระจ่างเป็นการมีอยู่ที่น่าหวาดกลัวขนาดไหน นางใช่ว่าจะไม่รู้
กงซุนปู้เอ่ยปลอบว่า “วางใจเถอะ วิเคราะห์จากจดหมายที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ เต้าเหยี่ยน่าจะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่แล้ว”
ในเวลานี้เอง ปีกทองตัวหนึ่งบินฝ่าราตรีเข้ามา บินมุ่งมาที่เรือลำนี้ มุดผ่านหน้าต่างบานหนึ่งของห้องโดยสารเข้าไป
ทั้งสองสบตากันเล็กน้อย หันหลังเดินออกจากดาดฟ้าเรืออย่างรวดเร็ว เข้ามาในห้องโดยสาร มุดเข้าไปในห้องที่ใช้สำหรับส่งปีกทองสื่อสารพร้อมกัน
“ใช่ข่าวจากทางเต้าเหยี่ยหรือไม่?” กงซุนปู้เอ่ยถามหลังจากปิดประตูแล้ว
ศิษย์ทั้งสองที่อยู่ในห้องเพิ่งจะนำจดหมายลับออกมา ทั้งสองลุกขึ้นพร้อมกัน มีคนหนึ่งตอบว่า “ใช่ขอรับ เป็นข่าวจากทางเต้าเหยี่ย”
กงซุนปู้เอ่ยเสียงขรึม “รีบถอดความออกมา”
“ขอรับ!” ศิษย์คนนั้นตอบรับ รีบถอดความเนื้อหาอย่างรวดเร็ว เขียนลงบนกระดาษแผ่นหนึ่ง จากนั้นยื่นส่งให้กงซุนปู้
เฮยหมู่ตานยื่นหน้าเข้ามาอ่านข้อความจากจดหมายลับด้วยทันที หลังจากอ่านจบทั้งสองคนมองหน้ากัน
กงซุนปู้ขมวดคิ้วพึมพำว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? จะมาพบกันที่นี่ไม่ใช่หรือ? ให้พวกเราออกเดินทางช่วงรุ่งสางวันพรุ่งนี้มันหมายความว่าอย่างไร?”
เฮยหมู่ตานใบหน้าตึงเครียด เอ่ยว่า “ต้องเกิดเหตุไม่คาดฝันอันใดขึ้นแน่นอน ก็เลยไม่อยากให้พวกเราถูกจับได้ รีบส่งจดหมายไปสอบถามสถานการณ์เถอะ!”
กงซุนปู้พยักหน้ารับ ออกคำสั่งทันที “ส่งจดหมายตอบกลับไปสอบถามสถานการณ์!”
“ขอรับ!” ศิษย์ทั้งสองดำเนินการอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่นานนัก ปีกทองตัวหนึ่งก็ถูกปล่อยออกไป
ในช่วงเวลาหลังจากนั้น กงซุนปู้กับเฮยหมู่ตานต่างรอคอยด้วยความร้อนใจ บางทีก็เดินวนกลับไปกลับมาอยู่ในห้องโดยสาร บางทีก็ออกไปที่ดาดฟ้าเรือ
ทว่าระยะเวลาที่ต้องรอในครั้งนี้ไม่ได้นานจนเกินไปนัก ผ่านไปราวสองชั่วยามก็เห็นปีกทองตัวหนึ่งบินฝ่าราตรีกลับมา
ทั้งสองกลับไปที่ห้องโดยสารอีกครั้ง กงซุนปู้ยังคงเอ่ยถามประโยคเดิม “ใช่ข่าวจากทางเต้าเหยี่ยหรือไม่?”
“ใช่ขอรับ!” ศิษย์ตอบด้วยความนอบน้อม
กงซุนปู้ชี้ไปที่จดหมายลับ “รีบถอดความเดี๋ยวนี้!”
เขาหันไปมองเฮยหมู่ตานอีกครั้ง “คำนวณจากระยะเวลาที่ปีกทองเดินทางไปกลับนับว่าอยู่ไม่ไกลแล้ว อย่างมากไม่เกินครึ่งวันก็น่าจะมาถึง ดูเหมือนที่เต้าเหยี่ยบอกให้ออกเรือตอนฟ้าสางใช่ว่าจะไร้เหตุผล”
เฮยหมู่ตานเม้มปาก อันที่จริงในใจของทั้งสองล้วนไม่ได้คิดในแง่ดีเลย เต้าเหยี่ยบอกให้พวกเขาออกเดินเรือยามฟ้าสาง แต่ไม่ได้บอกว่าจะมาพบพวกเขาที่นี่ช่วงฟ้าสาง
กระทั่งได้รับเนื้อความที่ผ่านการถอดความมาแล้ว กงซุนปู้และเฮยหมู่ตานต่างเงียบงันไป
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรที่ทำให้รู้สึกเป็นกังวลต่อหน้าศิษย์ของสำนักเบญจคีรี หากแต่พากันออกจากห้องนี้ไป
ในตอนที่ออกมาห้องโดยสารแล้ว เฮยหมู่ตานนำทางไปที่ห้องพักของต้วนหู่ ส่งสัญญาณมือเรียกต้วนหู่ที่อยู่ด้านในออกมา
กงซุนปู้เหลือบมองเฮยหมู่ตานอีกครั้ง ไม่รู้ว่านางเรียกต้วนหู่ออกมาด้วยเจตนาใด เรื่องที่น่ากังวลเช่นนี้ควรจะให้คนรู้น้อยเข้าไว้
ต้วนหู่ออกมาอย่างรวดเร็ว ตามทั้งสองคนออกมาที่ดาดฟ้าเรือ จากนั้นเอ่ยถาม “ลูกพี่ สีหน้าท่านดูไม่ดีเลย เป็นอะไรไป?”
เฮยหมู่ตานยื่นจดหมายลับให้เขาอ่าน
หลังจากต้วนหู่อ่านจบก็เอ่ยอย่างสับสนว้าวุ่นใจ “นัดพบกันที่นี่ไม่ใช่หรือ? ให้อีกกลุ่มเดินทางอ้อมไปที่เกาะในฝั่งทะเลแคว้นจิ้นมันหมายความว่าอย่างไรกัน?”
เฮยหมู่ตานกล่าวว่า “จากเนื้อความที่เสิ่นชิวเล่า เห็นได้ชัดว่าถูกพบร่องรอยแล้ว เต้าเหยี่ยน่าจะรับรู้ได้ถึงอันตรายอันใดเข้า ดังนั้นทั้งห้าคนจึงแยกกันเดินทาง”
ต้วนหู่มองกงซุนปู้ จากนั้นมองเฮยหมู่ตานอีกครั้ง เอ่ยถามไปว่า “มีอันตรายอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นทำอย่างไรกันดี?”
เฮยหมู่ตานถามเขาว่า “ไปกับข้า พวกเราไปช่วยล่ออันตรายให้พ้นจากเต้าเหยี่ย เจ้ากลัวหรือเปล่า?”
ต้วนหู่ยืดอกพลางเอ่ยว่า “ท่านไม่กลัว แล้วข้ามีอะไรต้องกลัวด้วย?”
ม้าสองตัวถูกจูงออกมา หลังจากฝ่ายหญิงทำการตรวจสอบเล็กน้อยก็เอ่ยกับฝ่ายชายว่า “เต้าเหยี่ย เรียบร้อยดีเจ้าค่ะ!”
จากนั้นทั้งสองก็ปีนขึ้นหลังม้า ควบทะยานหายไปท่ามกลางรัตติกาล
พอพ้นเขตพื้นที่เลี้ยงสัตว์ ฝ่ายชายถามขึ้นมา “เช่นนี้ใช้ได้หรือเปล่า?”
ฝ่ายหญิงตอบว่า “น่าจะใช้ได้แล้ว หากอีกฝ่ายต้องการสืบหาตัวจริงๆ ล่ะก็ พอพบพื้นที่เลี้ยงสัตว์ก็น่าจะมาสอบถามข่าวแน่…”
….
ในที่สุดเพลิงไหมก็ถูกดับลง ทว่าพื้นที่เลี้ยงสัตว์กลับเต็มไปด้วยเถ้าธุลี เหล่าคนเลี้ยงสัตว์ออกตามหาสัตว์เลี้ยงที่ตกใจหนีหายไปภายใต้แสงจันทร์
สวีเต๋อไห่ที่ยืนเงียบอยู่ท่ามกลางกองเถ้าถ่านพลันเงยหน้าขึ้นมา มองเห็นวิหคขนาดใหญ่หลายตัวบินโฉบผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนไปอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ปีกทองตัวหนึ่งบินฝ่าราตรีเข้ามา ร่อนลงบนมือของสวีเต๋อไห่ สวียงเห็นเหตุการณ์ก็เร่งเดินเข้าไปหา
สวีเต๋อไห่ที่ดึงจดหมายลับออกมาอ่านมีสีหน้าไม่พอใจ
สวียงเข้าไปถาม “เป็นอย่างไรบ้าง?”
สวีเต๋อไห่ตอบว่า “เบื้องบนตอบกลับมาแล้วขอรับ ดูเหมือนจะพบร่องรอยของหนิวโหย่วเต้าทางแถบลุ่มน้ำจิ่วเต้า”
สวียงถาม “เหตุใดถึงบอกว่าดูเหมือน?”
สวีเต๋อไห่ตอบว่า “ในจดหมายไม่ได้ระบุรายละเอียด เบื้องบนให้แจ้งต่อคุณชายสวีว่าโปรดอดทนรอคอยข่าวก่อน ในเมื่อทางเมืองหลวงออกคำสั่งมาแล้วก็จะพยายามทุ่มเทสุดความสามารถ มีการส่งคนไล่ตามไปสอบถามยืนยันแล้วขอรับ…”
จันทราลอยเด่นบนท้องฟ้ายามราตรี เงาร่างคนสองคนร่อนโฉบอยู่บนท้องทะเล ร่อนลงบนโขดหินสูงเด่นแล้วมองสำรวจรอบข้างก่อน สุดท้ายถึงทะยานมุ่งหน้าไปยังเรือที่ปรากฏเลือนรางอยู่ไกลออกไป
ทั้งสองมิใช่ใครอื่น เป็นหนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋
พอร่อนลงเหยียบเรือ หนิวโหย่วเต้าค้ำกระบี่ไว้ด้านหน้า แสดงท่าทางอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวเขาออกมา
ประตูห้องโดยสารเปิดออก กงซุนปู้โผล่หน้าออกมาดูเล็กน้อย อีกฝ่ายบังเอิญย้อนแสงพอดี เขาจึงไม่กล้ามั่นใจ
พอเห็นกงซุนปู้ออกมา หนิวโหย่วเต้าก็ดึงหนวดเคราบนหน้าออกมา
กงซุนปู้พลันวิ่งถลาเข้ามาด้วยความดีใจ ประสานมือเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย ในที่สุดท่านก็มาแล้ว!”
หนิวโหย่วเต้ามองไปรอบๆ พรูลมหายใจออกมาพลางเอ่ยว่า “ใช่ ในที่สุดก็มาถึงแล้ว ไปเถอะ ออกเรือได้!”
“เอ่อ…” กงซุนปู้มีสีหน้าลำบากใจ เอ่ยแจ้งว่า “เต้าเหยี่ย เฮยหมู่ตานกับต้วนหู่ขึ้นฝั่งไป ยังไม่กลับมาเลยขอรับ!”
……………………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า