ตอนที่ 367 วังวน
หนิวโหย่วเต้าออกมาจากห้องโดยสาร เรียกกงซุนปู้มาหาแล้วเดินไปที่หัวเรือ กลับเห็นว่ามีคนผู้หนึ่งนั่งกอดเข่าพิงหัวเรือ แหงนหน้ามองดูดวงดาวพร่างพราวบนท้องนภา เหม่อมองดูหมู่ดาวที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตอย่างเหม่อลอย ชายกระโปรงปลิวไสว เป็นก่วนฟางอี๋นั่นเอง
หนิวโหย่วเต้าคิดไม่ถึงว่านางจะอยู่ที่นี่
พอได้ยินเสียงฝีเท้า ก่วนฟางอี๋ก็หันมามองเล็กน้อย โพล่งถามออกไปประโยคหนึ่ง “บ้านของข้าอยู่ที่ใด?”
หนิวโหย่วเต้าไม่ได้ตอบคำถามนี้ของนาง แต่กลับถามกงซุนปู้ว่า “สืบทราบฐานะของลูกเรือเหล่านั้นหรือยัง? ใช่คนของหอจันทร์กระจ่างหรือไม่?”
กงซุนปู้ตอบว่า “ไม่มีผู้ใดยอมรับว่าตนคือคนของหอจันทร์กระจ่างขอรับ แต่ประวัติภูมิหลังในฉากหน้าล้วนแตกต่างกันไป ซับซ้อนเป็นอย่างมาก การที่กล้าจัดคนที่มีประวัติภูมิหลังซับซ้อนมารวมกลุ่มดำเนินงานเช่นนี้ได้ มีความเป็นไปได้เช่นกันว่าจะเลือกมาเพื่อปกปิดอำพรางตัวตนของหอจันทร์กระจ่างขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เมื่อไม่ยอมพูดก็ไม่ต้องเสียเวลากับปลาซิวปลาสร้อยพวกนี้อีก เก็บไว้ก็สิ้นเปลืองเสบียงเปล่าๆ ถ่ายทอดคำสั่งไปยังขบวนเรือต่างๆ สังหารทิ้งให้หมด!”
“เอ่อ…” กงซุนปู้ตะลึงงัน เอ่ยถามไปว่า “สังหารหมดทั้งสามร้อยคนเลยหรือขอรับ? เก็บบางส่วนไว้สืบความเป็นมาให้กระจ่างสักหน่อยดีหรือไม่ขอรับ ไม่แน่ว่าอาจจะสืบพบอะไรขึ้นมาก็ได้”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หากเป็นคนของหอจันทร์กระจ่างจริงๆ การที่หอจันทร์กระจ่างคงอยู่มานานหลายปีขนาดนี้ได้โดยไม่ถูกเปิดโปง แสดงว่าจะต้องมีมาตรการป้องกันเตรียมไว้แน่ ตอนนี้พวกเราไม่สะดวกจะดำเนินการใดๆ เมื่อไรที่พวกเขารู้ตัวว่าขบวนเรือถูกปล้นไป รายชื่อของคนเหล่านี้ต้องถูกตัดออกจากองค์กรแน่ เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ กำจัดทั้งหมดทิ้ง ให้พวกเขาไปเป็นเพื่อนเฮยหมู่ตานเสีย!”
ประโยคสุดท้ายทำให้กงซุนปู้ไม่ลังเลอีกต่อไป ประสานมือตอบรับ “ขอรับ!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสริมไปอีกประโยคว่า “อย่าปล่อยให้ซากศพลอยอยู่กลางทะเลจนเผยพิรุธใดออกไป สับทั้งหมดให้เละแล้วโยนให้ปลากินซะ! บอกให้ต้วนหู่มาพบข้าด้วย”
สับคนสามร้อยคนให้เละอย่างนั้นหรือ? มุมปากก่วนฟางอี๋กระตุกเล็กน้อย หันมามองอีกครั้ง
“ขอรับ!” กงซุนปู้รับคำสั่งแล้วถอยออกไป
ไม่นานนักต้วนหู่ก็มาหา สองสามวันมานี้สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่มาก
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยขึ้นว่า “ต้วนหู่ ถึงแม้จะกล่าวกันว่าคนตายเป็นเหมือนดั่งตะเกียงสิ้นแสง แต่โลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ เรื่องความขัดแย้งบางอย่างยังจำเป็นต้องได้รับการสะสาง ตอนนางยังมีชีวิตอยู่มีเรื่องทุกข์ใจบางเรื่องที่นางไม่ยอมปริปากเล่า ข้าเองก็ไม่ได้ถามมากเช่นกัน สามีเก่าของเฮยหมู่ตาน ชายที่ทอดทิ้งเฮยหมู่ตานไปเสพสุขกับลาภยศคนนั้น แล้วก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เฮยหมู่ตานเคยเล่าให้ข้าฟัง บอกว่านางเคยตกเป็นของเล่นของชายผู้หนึ่ง ต้องทนรับความอัปยศอดสูจนแทบจะทนนึกย้อนถึงอีกไม่ได้ เรื่องนี้เจ้าน่าจะรู้ดีกระมัง บอกข้ามาว่าสองคนนี้เป็นใคร อยู่ที่ไหน?”
ต้วนหู่ที่ก้มหน้าอยู่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา มองแผ่นหลังของเขาที่ยืนตัวตรง หันหน้ามองออกไปยังผืนสมุทรและหมู่ดาว
….
กลางทะเลสาบในยามวิกาล นาวาลำหนึ่งล่องลอยไปบนน้ำโดยไร้ซึ่งคนพาย มองไม่เห็นแสงไฟจากภายในเรือ
ม่านระย้าถูกม้วนขึ้นครึ่งหนึ่ง แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทำให้มองเห็นฉินเหมียนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง ถือถ้วยชาไว้แล้วละเลียดลิ้มรส
น้ำในทะเลสาบไหลกระเพื่อมเป็นวง เงาร่างหนึ่งมุดขึ้นมาบนเรือ ฝ่าความมืดเข้าไปในห้องโดยสารแล้วค่อยๆ นั่งลงตรงข้ามฉินเหมียน เป็นเว่ยฉู!
ฉินเหมียนยกกาขึ้นรินน้ำชาให้เขา
เว่ยฉูกล่าวขอบคุณ
ฉินเหมียนเอ่ยถาม “ส่งมอบภารกิจทางอวี้อ๋องและจินอ๋องเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?”
“อธิบายไปชัดเจนหมดแล้ว” เว่ยฉูพยักหน้ารับ ก่อนจะโน้มกายไปด้านหน้าเล็กน้อย “ข้าไม่เข้าใจเลย ข้าทำงานอยู่ทางนี้ดีๆ โยกย้ายตัวข้าไปจะดีหรือ?”
ฉินเหมียนกล่าวว่า “ที่โยกย้ายท่านออกไปย่อมมีเหตุผลอยู่ ครั้งนี้ท่านประมุขเป็นผู้ระบุตัวท่านเอง ต้องการให้ท่านไปทำงานอยู่ใกล้ชิดเขา ข้าคิดว่าท่านประมุขน่าจะต้องการดำเนินการบางอย่างกับทางฝั่งนี้ จึงจำเป็นต้องให้คนที่รู้รายละเอียดทางนี้อย่างท่านไปช่วยตัดสินใจ”
เว่ยฉูเอ่ยด้วยความแปลกใจ “ย้ายข้าไปอยู่ข้างกายท่านประมุขหรือ?”
ฉินเหมียนพยักหน้ารับ “หลังจากนี้ท่านจะกลายเป็นคนใกล้ชิดของท่านประมุขแล้ว พวกเรารู้จักกันมานานหลายปี ข้าคิดว่าหลายปีมานี้ก็ไม่มีเรื่องใดที่ทำผิดต่อพี่เว่ยไปเลย หวังว่าในอนาคตพี่เว่ยจะช่วยพูดถึงความดีของข้ากับทางท่านประมุขบ้าง”
“กล่าวหนักไปแล้วๆ” เว่ยฉูเอ่ยถ่อมตัวทันที ทว่ายากจะปกปิดความตื่นเต้นที่ฉายชัดบนใบหน้าได้ แต่ไม่นานนักก็แสดงสีหน้าเศร้าใจออกมาเล็กน้อย ยกชาขึ้นจิบช้าๆ สองสามอึก ถามไปว่า “จะดำเนินการเรื่องใดกัน? แล้วจะส่งผลร้ายต่อน้องสาวของข้ารวมถึงอวี้อ๋องหรือไม่?”
ฉินเหมียนเอ่ยว่า “อย่าถามเรื่องที่ไม่ควรถามเลย ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน หากว่าจะดำเนินการอันใดจริงๆ เมื่อท่านได้ไปอยู่ใกล้ชิดท่านประมุขแล้วน่าจะรู้ดีกว่าข้า ไม่จำเป็นต้องมาถามเอากับข้าเลย”
เว่ยฉูคิดๆ ไปก็พบว่าจริงดั่งว่า
“ทางฝั่งอวี้อ๋องยังมีเรื่องใดที่ต้องฝากฝังชี้แนะอีกหรือไม่ จะได้ไม่ทำให้ผู้ที่มารับช่วงต่อต้องลำบาก”
“ไม่มีอะไรแล้ว เรื่องสำคัญบางส่วนข้ารายงานต่อเบื้องบนไปแล้ว แล้วก็เรื่องเบ็ดเตล็ดในครอบครัวบางอย่าง ผู้รับช่วงต่อจะทราบหรือไม่ก็ไม่ส่งผลเช่นกัน…”
ภายใต้แสงจันทร์ ทั้งสองนั่งพูดคุยอยู่ตรงข้ามกันภายในเรือ
คุยไปคุยมา เว่ยฉูพลันรู้สึกขึ้นมารางๆ ว่าร่างกายของตนค่อนข้างชา อีกทั้งคล้ายจะมีของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากโพรงจมูก จึงยกมือขึ้นเช็ดเล็กน้อย นิ้วมือกลับเต็มไปด้วยคราบเลือด
เว่ยฉูตกใจ ลุกขึ้นยืนทันที ชี้คนที่อยู่ตรงหน้า “เจ้า…” ร่างเขาส่ายโงนเงนอยู่พักหนึ่ง
โครม! เขาปัดเก้าอี้ล้มลง วิ่งซวนเซออกไปด้านนอก ร่างกายชาหนึบ เคลื่อนไหวติดขัด ยากจะรักษาสมดุลไว้ได้
วิ่งไม่ทันพ้นจากห้องโดยสาร ร่างกายพลันแข็งเกร็ง เขาก้มมองไปที่ตำแหน่งหัวใจของตน คมกระบี่เล่มหนึ่งแทงทะลุออกมาจากทรวงอก โลหิตสดๆ ไหลนอง
“เพราะเหตุใด?” เว่ยฉูมีสีหน้าทรมาน เอ่ยถามอย่างยากลำบาก
ต่อให้หลับฝันเขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าฉินเหมียนจะลงมือสังหารเขาได้ เนื่องจากเขาทราบดีว่าตำแหน่งงานของตนมีความสำคัญมากแค่ไหน ขอเพียงเขาระมัดระวังตัวไว้สักหน่อย ยังไงเขาก็ไม่มีทางถูกกำจัดทิ้งแน่ ตามหลักแล้วเขาควรเป็นเป้าหมายที่ต้องให้การปกป้องถึงจะถูก
“พี่เว่ย พวกเรารู้จักกันมานานหลายปี ข้าเองก็ไม่อยากทำเช่นนี้เลย แต่เบื้องบนสั่งการมา ท่านมีความสำคัญมากเกินไป สำคัญจนไม่อนุญาตให้เกิดความผิดพลาดใดๆ ขึ้นได้ แม้จะเพียงน้อยนิดก็ไม่ได้ ดังนั้นในเมื่อท่านไม่สามารถเผยหน้าปรากฏตัวต่อโลกนี้ได้อีก วิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือทำให้ท่านหายไปอย่างถาวร” ฉินเหมียนเอ่ยกระซิบริมหูเขาจากทางด้านหลัง จากนั้นชักกระบี่ออก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า