ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 37

ตอนที่ 37 มีตาแต่ไร้แวว

จบแล้ว! สวี่อี่เทียนและเฉินกุยซั่วลอบถอนใจ เดิมทีพอรู้ว่าพวกเขาจะถูกปล่อยตัวไปก็โล่งใจ แต่อารมณ์กลับดิ่งวูบลงอีกครั้งเพราะคำพูดของหนิวโหย่วเต้า ไม่ต้องเดาให้มากความเลย ซ่งเหยี่ยนชิงไร้ศักดิ์ศรี คายทุกอย่างออกมาหมดแล้วแน่นอน มิเช่นนั้นหนิวโหย่วเต้าจะพูดจาเหมือนรู้ดีเช่นนี้ได้อย่างไร?

ซ่งเหยี่ยนชิงคายความลับออกมาเช่นนี้ เท่ากับทำให้หนิวโหย่วเต้าจับจุดอ่อนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้ ทั้งสองต่างไม่รู้เลยว่ากลับไปแล้วควรจะอธิบายกับถังซู่ซู่ว่าอย่างไร เกรงว่าถังซู่ซู่คงรู้สึกขายหน้าจนพาลโกรธเป็นแน่!

หยวนกังพลันตวัดมือลงมีด ใช้มีดสั้นตัดเชือกบนร่างเฉินกุยซั่ว ก่อนจะยกเท้าถีบหลังเฉินกุยซั่วทีหนึ่ง เฉินกุยซั่วกลิ้งหลุนๆ ตกบันไดไป

เมื่อเฉินกุยซั่วตะเกียกตะกายลุกขึ้นแล้วหันกลับไปมอง ม่านตาเขาพลันหดตัวลง สีหน้าเต็มไปด้วยหวาดหวั่นพรั่นพรึง มองเห็นประกายเยียบเย็นวาดผ่านลำคอสวี่อี่เทียน เลือดอุ่นๆ พุ่งกระฉูดออกมา

มีดสั้นปาดเข้าที่ลำคอสวี่อี่เทียน จากนั้นหยวนกังถีบสวี่อี่เทียนที่ดวงตาเบิกถลน ปากมีเลือดทะลักผุดเป็นฟองให้กลิ้งหลุนๆ ตกลงไปอีกราย

เมื่อเห็นสวี่อี่เทียนที่กลิ้งมาชักกระตุกอยู่ตรงแทบเท้าตน เฉินกุยซั่วกลืนน้ำลายคราหนึ่ง ไม่กล้าบุ่มบ่ามผลีผลาม พลังของหนิวโหย่วเต้าเป็นที่ประจักษ์แล้ว อีกอย่างตนก็บาดเจ็บอยู่ สถานการณ์เช่นนี้ถึงอยากหนีก็หนีไม่พ้น

หนิวโหย่วเต้าที่สองมือค้ำกระบี่ไว้ด้านหน้ามีสีหน้าไร้อารมณ์ เขาเองก็ไม่ถามหยวนกังเลยว่าเหตุใดถึงฆ่าสวี่อี่เทียน ไม่มองการกระทำของหยวนกังเลยด้วยซ้ำ

กลับเป็นหยวนกังที่เอ่ยชี้แจงกับเขาเองว่า “แค่กลับไปส่งข้อความ คนเดียวก็พอแล้ว!”

หนิวโหย่วเต้ายังคงไม่พูดอะไร ไม่กะพริบตาเลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่ได้ฟังทหารองครักษ์เล่าถึงเหตุการณ์สังหารที่เชิงเขา เขาก็คาดการณ์ไว้ในใจแล้ว เพราะเขารู้จักเจ้าลิงดี พอเห็นสวี่อี่เทียนตาย การคาดเดาบางอย่างที่อยู่ในใจเขาจึงได้รับการยืนยัน สวี่อี่เทียนสังหารองครักษ์ไปมากมายขนาดนั้น เจ้าลิงไม่มีทางปล่อยให้เขารอดไปได้เด็ดขาด!

“ไสหัวไป!” จากนั้นหยวนกังตวาดกร้าวใส่เฉินกุยซั่วที่อยู่ด้านล่าง

เฉินกุยซั่วมิกล้ารั้งรอ พอได้รับอนุญาต เขารีบกลับหลังหัน วิ่งลงเขาไปอย่างรวดเร็ว

หนิวโหย่วเต้าสีหน้าเรียบเฉย ยกกระบี่ที่อยู่ในมือขึ้นมา หันหลังเดินเข้าไปดูในวัด…

…..

เนื่องจากข้อจำกัดบางอย่าง ทำให้ไม่สะดวกนำศพของเหล่าพี่น้ององครักษ์กว่าสามสิบคนเดินทางไปด้วยได้ และด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันก็ทำให้ไม่สะดวกส่งคืนบ้านเกิดได้ มีคำกล่าวกันว่ากระดูกผู้ภักดีฝังอยู่ทั่วเขาเขียวขจี ทหารกลุ่มหนึ่งจึงเลือกสรรทำเลดีเป็นมงคลแห่งหนึ่งในป่าเขา ขุดหลุมศพขึ้น จากนั้นฝังศพทหารองครักษ์ที่สิ้นชีพในการต่อสู้ลงไปทีละคน

คนจำนวนมากลงมือพร้อมกันย่อมรวดเร็วยิ่ง มีคนไปตัดไม้มาทำป้ายหลุมศพ หลังจากจารึกนามแล้ว ก็นำไปปักไว้หน้าหลุมศพทีละป้ายๆ

ในขณะที่เหล่าทหารทางนี้ยุ่งอยู่กับการจัดการหลุมศพ ซางซูชิงกลับเรียกพบพยานในเหตุการณ์ไปซักถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดอีกครั้ง จึงได้ทราบว่าก่อนตายกวนเถี่ยเคยเกลี้ยกล่อมให้หยวนกังรั้งอยู่ต่อ จากนั้นนางก็ซักถามถึงอากัปกริยาของหยวนกังในยามนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง

หลังจากเข้าใจสถานการณ์พอสมควรแล้ว ซางซูชิงก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด

หลังจากจัดการศพขององครักษ์ทั้งหมดที่สิ้นชีพในการต่อสู้เรียบร้อยแล้ว ซางเฉาจงก็เรียกซางซูชิงเข้ามา เซ่นสุรา จุดธูปและส่งวิญญาณด้วยกัน โดยธูปที่ใช้ก็นำมาจากในวัด

เมื่อเสร็จสิ้นพิธีศพก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เหล่าทหารต่างแยกย้ายกันไป คนที่ควรเฝ้าระวังก็เฝ้าระวัง คนที่ควรพักผ่อนก็ไปพักผ่อนในวัด ภายในใจทุกคนต่างรู้สึกหนักอึ้ง ยังไม่ทันถึงเมืองศักดินา ก็สูญเสียทหารกล้าไปกว่าสามสิบนายแล้ว

ซางเฉาจง หลานรั่วถิงและซางซูชิงเพิ่งเดินกลับมาถึงหน้าประตูวัด จู่ๆ ก็มีองครักษ์นายหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานซางเฉาจงทันที “ท่านอ๋อง หยวนกังไปที่สุสานของเหล่าพี่น้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ซางเฉาจงพยักหน้ารับ ไม่ได้คิดอะไรมากอีก ขณะที่กำลังจะก้าวเข้าประตูวัด ซางซูชิงกลับเอ่ยขึ้นว่า “เสด็จพี่ ข้าจะกลับไปที่สุสานหน่อยเพคะ”

ซางเฉาจงเอียงคอทอดถอนใจพลางกล่าวว่า “เหล่าพี่น้องตายไปมากมายเช่นนี้ ทุกคนต่างรู้สึกเศร้าหมอง เรื่องบางอย่างจดจำไว้แค่ในใจก็พอ มาคิดกันดีกว่าว่าต้องชดเชยให้ทางบ้านของพวกเขาอย่างไรถึงจะดีที่สุด อย่าได้ใส่ใจพิธีการผิวเผินนักเลย คนกันเองทั้งนั้น ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจ ไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอก อีกอย่างพวกเราก็ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมทางนี้ เจ้าเป็นสตรีบอบบางไร้กำลังไม่เหมาะจะออกไปคนเดียว อย่าคิดมากเลย กลับไปพักเถอะ พักผ่อนให้สดชื่น พรุ่งนี้เช้ายังต้องเร่งเดินทางต่อ”

ซางซูชิงรู้ว่าเขาเข้าใจเจตนาตนผิดไปแล้ว นึกว่าตนจะไปเฝ้าสุสาน “เสด็จพี่ ข้าจะไปดูหยวนกังสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจช่วยเสด็จพี่รั้งตัวเขาไว้ได้!”

“หือ?” ซางเฉาจงค่อยๆ หันกลับมา หลานรั่วถิงก็หันมามองนางเช่นกัน ต่างมีสีหน้าฉงนงงงัน

ซางซูชิงพยักหน้าส่งสัญญาณให้ทั้งสองคนเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเร่งฝีเท้าเดินออกไปทันที เรือนร่างงามระหงเดินพลิ้วลงเขาไป

“ชิงเอ๋อร์หมายความว่าอย่างไร? นางสามารถกล่อมให้หยวนกังรั้งอยู่ได้จริงๆ น่ะหรือ” ซางเฉาจงหันไปถามหลานรั่วถิง

หรานรั่วถิงส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “คาดว่าเป็นไปได้ยากพ่ะย่ะค่ะ เห็นได้ชัดว่าหยวนกังเชื่อฟังหนิวโหย่วเต้า แม้หนิวโหย่วเต้าจะเป็นศิษย์ของท่านตงกัว ทว่าไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนจากท่านตงกัว ความคิดไม่แตกต่างไปจากผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ เกรงว่าคงไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว เพียงแต่ท่านหญิงฉลาดเฉลียวปรีชา ไม่มีทางลงมือโดยไร้เป้าหมาย ในเมื่อท่านหญิงเอ่ยมาเช่นนี้ คาดว่าต้องมีเหตุผลบางอย่างเป็นแน่ ท่านอ๋องรอดูไปก่อนก็ไม่เสียหายหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

ท้องฟ้าเริ่มสลัว ภายในภูเขาเขียวขจี หลุมฝังศพใหม่เอี่ยมตั้งเรียงราย

หยวนกังเดินวนอยู่ในละแวกนี้พักหนึ่ง เก็บดอกไม้ป่ามาหนึ่งกำ มัดรวบเป็นช่อดอกไม้งามช่อหนึ่ง เขาถือช่อดอกไม้มายังเบื้องหน้าสุสานใหม่เอี่ยม หลุมศพของกวนเถี่ยอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางด้านหน้าสุด หาพบง่ายยิ่ง หยวนกังเดินเข้าไปหยุดหน้าหลุมศพ ค้อมตัวก้มลงไป วางช่อดอกไว้ด้านหน้าหลุมศพ จากนั้นก็ยืดตัวขึ้น ยืนตัวตรงอยู่เช่นนั้น มองดูชื่อบนป้ายหลุมศพเงียบๆ แววตาคล้ายเหม่อลอยเล็กน้อย ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า