สรุปตอน ตอนที่ 379 ผู้ชำนาญศึกมักไร้ซึ่งผลงานเกรียงไกร – จากเรื่อง ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet
ตอน ตอนที่ 379 ผู้ชำนาญศึกมักไร้ซึ่งผลงานเกรียงไกร ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่ 379 ผู้ชำนาญศึกมักไร้ซึ่งผลงานเกรียงไกร
ขณะที่พูดเขาจับมือซางเฉาจงไว้ ออกแรงบีบเล็กน้อย สื่อความนัยลุ่มลึก
ซางเฉาจงพยักหน้ารับด้วยความรู้สึกตื้นตัน
หนิวโหย่วเต้ากล่าวไปอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องที่ท่านอ๋องต้องจำไว้ ม้าศึกสามหมื่นตัวนี้เป็นสำนักหยกสวรรค์จัดหามา ผู้วางแผนกำหนดกลยุทธ์อย่างแท้จริงก็คือสำนักหยกสวรรค์ เงินที่ใช้ซื้อม้าศึกก็มาจากสำนักหยกสวรรค์ กระหม่อมเพียงช่วยวิ่งเต้นให้เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ซางเฉาจงแปลกใจ “จะเป็นไปได้อย่างไร? สำนักหยกสวรรค์เสียเวลาไปนานปานนั้นแต่ทำงานไม่สำเร็จ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นผลงานของเต้าเหยี่ย”
หนิวโหย่วเต้าโบกมือ “ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ทั้งหมดเป็นเพราะแผนการที่สำนักหยกสวรรค์จัดวางไว้อย่างดี”
ซางเฉาจงเอ่ยว่า “ไม่มีทางเด็ดขาด หากว่าพวกเขาวางแผนได้เป็นอย่างดี พวกเขาจะไม่รู้กำหนดการกลับมาของท่านได้อย่างไร เหตุใดถึงยังวิ่งโร่ไปจับพวกหยวนฟางมาอีก? เต้าเหยี่ย สำนักหยกสวรรค์ทำเช่นนี้มันจะเกินไปแล้วกระมัง หรือแม้แต่ผลงานนี้ก็จะยึดไปด้วย?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ท่านอ๋องลืมถ้อยคำเมื่อครู่ของกระหม่อมไปแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ทนไว้ให้ถึงที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นคือสำนักหยกสวรรค์ต้องการเกียรตินี้มากกว่ากระหม่อม อีกอย่างยังไม่แน่ว่าเกียรติในครั้งนี้จะเป็นผลดีต่อกระหม่อม”
ซางเฉาจงเข้าใจแล้ว แต่ยังคงเอ่ยเกลี้ยกล่อมว่า “เต้าเหยี่ย ผลงานที่ตัวท่านเองลำบากลำบนเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มา ต้องยกให้คนเขาไปมันไม่น่าเสียดายหรือ? หากเก็บเอาไว้จะช่วยเพิ่มชื่อเสียงในโลกบำเพ็ญเพียรให้ท่านได้อีกมากโข!”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “รูปลักษณ์ที่งดงามที่สุดคือไร้รูป ท่วงทำนองที่ไพเราะที่สุดคือไร้เสียง กระหม่อมปรารถนามิให้มีผู้ใดรับรู้ถึงการคงอยู่ของกระหม่อมได้จะเป็นการดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ ทว่ารูปการณ์กลับขัดแย้งกับความปรารถนา มีหลากหลายเรื่องราวที่ไม่เป็นไปตามต้องการ ทำให้เกิดชื่อเสียงก้องลือเลื่องขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นไปอีก รังแต่จะเป็นภาระให้กระหม่อม ขับเน้นให้กระหม่อมดูดุดันก้าวร้าว จะต้องมีคนมุ่งหน้ามากำราบแน่นอน อันเกียรตินี้หากสำนักหยกสวรรค์อยากได้ก็ให้พวกเขาไปเถิด กระหม่อมไม่ต้องการเลย…ท่านอ๋อง ผู้ชำนาญศึกมักไร้ซึ่งผลงานเกรียงไกรนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ซางเฉาจงผงะไป ในที่สุดก็ฟังเข้าใจแล้ว จิตใจหดหู่ไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พรูลมหายใจออกมา พยักหน้ารับแล้วกวาดตามองไปรอบๆ เอ่ยถามอีกครั้ง “หยวนเหยี่ยเล่า? เหตุใดถึงไม่เห็นเขากลับมาด้วย?”
“วิถีทางแตกต่าง เขามีเส้นทางที่ตัวเองอยากเดินไป ปล่อยเขาไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ…”
ดึกดื่นแล้ว แต่ขบวนม้าศึกชุดใหญ่เพิ่งมาถึง ไม่ได้เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าเลยสักนิด ซางเฉาจงยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องไปจัดการ ไม่สะดวกรั้งอยู่ที่นี่ ทั้งขบวนจำเป็นต้องจากไป
หนิวโหย่วเต้าพาพวกพ้องกลับไปยังคฤหาสน์บนเขาอันกว้างขวาง
คฤหาสน์หลังน้อยที่สร้างขึ้นบนยอดเขาแห่งนี้ย่อมไม่ได้ใหญ่โตมโหฬารมากนัก เมื่อก่วนฟางอี๋ขึ้นไปถึงยอดเขาก็อาศัยความสว่างจากแสงจันทร์กวาดตามองรอบๆ อยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกผิดหวังพอสมควร
คฤหาสน์เล็กแห่งนี้ใหญ่ไม่ถึงครึ่งของสวนไม้เลื้อยในเมืองหลวงของนางที่พื้นที่ทุกตารางนิ้วมีค่าดั่งทองด้วยซ้ำ สภาพแวดล้อมที่จัดแต่งก็ยิ่งเทียบกับสวนไม้เลื้อยของนางไม่ได้
เมื่อทอดสายตาออกไปไกล จะมองเห็นแสงไฟจากตัวจังหวัดชิงซาน มองเห็นเป็นหย่อมๆ เท่านั้น เทียบกับซอกมุมหนึ่งในเมืองหลวงแคว้นฉีไม่ได้เลย
ภูเขาแห่งนี้ก็ไม่ได้สูงมากเช่นกัน ทั้งไม่งดงามและไม่น่าพิสมัย เป็นเพียงบ้านพักบนเขาที่ยากไร้ในเขตหุบเขากันดารรกร้างเท่านั้น
ลิ่งหูชิวคุยโวโอ้อวดเอาไว้เสียดิบดี แต่ไม่ได้ดีถึงขนาดนั้นเลย
“พวกคนโกหก!” ก่วนฟางอี๋กัดฟันร้องด่า “สถานที่ซอมซ่อในถิ่นชนบทกันดารจะมีอะไรดีกัน?”
หนิวโหย่วเต้าทราบดีว่าสตรีนางนี้เคยชินกับชีวิตหรูหราฟุ้งเฟ้อแล้ว จึงนึกกลัวขึ้นมาชั่วขณะว่าจะปรับตัวไม่ได้ เขาหันไปเอ่ยเรียกด้วยรอยยิ้ม “หยวนฟาง!”
“เต้าเหยี่ย!” หยวนฟางเข้ามาหาทันที
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หลายเดือนนี้ลอยคออยู่บนเรือในทะเลมาตลอด ไม่ได้กินของดีอันใดเลย มีแขกผู้ทรงเกียรติมาเยือนทั้งที จัดสุราอาหารชั้นดีมาหลายอย่างหน่อย นำอาหารจานเด็ดของพวกเจ้ามาขึ้นโต๊ะด้วย”
“ได้ขอรับ!” หยวนฟางตบอกรับประกันแล้ววิ่งออกไป
ตรงข้ามกับคฤหาสน์คือยอดเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีเสียงกระทบดังตึงตังแว่วเข้ามา ซ้ำยังมีผีเสื้อจันทราส่องแสง หนิวโหย่วเต้าจึงออกจากคฤหาสน์แล้วมุ่งหน้าไป
ใต้ต้นสนบนยอดเขา มีเนินหลุมศพแห่งหนึ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ ชื่อที่สลักอยู่ป้ายหลุมศพคือเฮยหมู่ตาน ศพที่อยู่ในหลุมย่อมเป็นเฮยหมู่ตานเช่นกัน
พวกต้วนหู่ขนย้ายก้อนหินมาปรับเสริมหลุมศพ เรียงซ้อนไว้บนเนินหลุม แต่ละคนขอบตาแดงก่ำ
ดวงตาของซางซูชิงก็แดงเรื่อเช่นกัน นางนั่งยองๆ อยู่ตรงนั้นแต้มสีให้รอยจารึกที่สลักอยู่บนป้ายหลุมศพ
หนิวโหย่วเต้าหยุดยืนอยู่ห่างๆ สีหน้าสงบราบเรียบ แววตาลุ่มลึก จ้องมองอยู่เงียบๆ พักหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังจากไปเงียบๆ ไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเขา
….
ณ จวนผู้ว่าการ ซางเฉาจง หลานรั่วถิงและเหมิงซานหมิงนั่งอยู่ข้างตะเกียง
พอได้ฟังคำบอกเล่าจากซางเฉาจง เหมิงหานหมิงถอนหายใจเบาๆ “เป็นผู้ชำนาญศึกไร้ซึ่งผลงานเกรียงไกรที่ยอดเยี่ยมจริงๆ! เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ได้ เห็นทีว่าคงจะมอบคำอธิบายที่น่าพอใจให้เผิงโย่วไจ้ไปแล้ว ตอนนี้น่าจะไม่เกิดความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายขึ้นอีก”
หลานรั่วถิงลูบเครา ถอนหายใจเบาๆ เช่นกัน “ช่างเป็นยอดคนโดยแท้!”
….
ภายในคฤหาสน์บนเขา หนิวโหย่วเต้าให้สมาชิกจากสวนไม้เลื้อยเลือกสถานที่สำหรับเข้าพักอาศัย
ก่วนฟางอี๋ตัดปัญหาโดยการเข้าไปยึดครองห้องหนึ่งภายในเรือนพำนักของหนิวโหย่วเต้าทันที
กระทั่งทุกคนเลือกสถานที่พักเรียบร้อยแล้ว หยวนฟางก็จัดแจงสุราอาหารหลายสำรับไว้ในเรือนพักเสร็จเรียบร้อยพอดี
พวกกุ่ยหมู่ไม่ได้มาร่วมงานรื่นเริงด้วย เนื่องจากมีฐานะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรผี สุราอาหาศเลิศรสของแดนมนุษย์สิ้นวาสนากับพวกเขามานานแล้ว
สมาชิกจากสวนไม้เลื้อยกลับล้อมวงจดๆ จ้องๆ สุราอาหารเหล่านั้น
ตอนยังอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉี ทุกคนก็นับว่ารู้จักอาหารการกินมาหลากหลายมากมายเช่นกัน แต่กับอาหารที่จัดวางอยู่เต็มโต๊ะนี้ พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนมองดูด้วยความตะลึง ไม่เคยพบเห็นมาก่อน มีหลากหลายชนิดนัก
โดยเฉพาะกลิ่นหอมยั่วยวนที่ชวนให้คนต้องกลืนน้ำลายนั้น
กวนฟางอี๋จ้องมองตาปริบๆ อยู่พักหนึ่ง จากนั้นเงยหน้าถามหนิวโหย่วเต้า “นี่คืออาหารอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่ลิ่งหูชิวกล่าวถึงหรือ?”
“จะอร่อยหรือไม่ ต้องชิมดูถึงจะรู้!” หนิวโหย่วเต้าผายมือเชิญทุกคนเข้าประจำที่ “ทุกท่านเชิญชิมได้ตามสะดวก”
มีคนหยิบตะเกียบเตรียมจะลงมือกิน ก่วนฟางอี๋กลับถลึงตาใส่ “จะรีบไปเกิดใหม่หรือไง! ตรวจสอบดูก่อน!”
สมาชิกจากสวนไม้เลื้อยต่างหันไปมองหนิวโหย่วเต้า
ภายในถังน้ำร้อน หนิวโหย่วเต้าแช่อยู่ในถังอาบน้ำพลางหลับตาลง สตรีที่มักจะเปลือยกายอาบน้ำกับเขาเป็นประจำคนนั้นไม่มีวันปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว
หลังจากอาบน้ำเสร็จก็นั่งลงตรงโต๊ะหนังสือที่ตั้งตะเกียงไว้ในสภาพปล่อยผมยาวสยาย เขาเติมน้ำฝนหมึก ผีเสื้อจันทราเกาะอยู่บนคานส่องแสงสว่างไสว
เขาดึงกระดาษออกมาวางจุ่มพู่กันลงในหมึก เริ่มเขียนคำว่า ‘เอกะ’ สองคำ
เขาเขียนอักษรแต่ละตัวอย่างละเอียดตั้งใจ จนกระทั่งฟ้าสางเขาถึงได้เขียนเสร็จ
ยามที่เปิดประตูออกก็พบว่าซางซูชิงอยู่ด้านนอก ยืนหันหลังรออยู่
“ท่านหญิงมาแล้วหรือ!” หนิวโหย่วเต้ายิ้มนิดๆ หันกลับเข้าไปในห้อง นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
ซางซูชิงตามเข้ามา หยิบหวีแล้วยืนด้านหลังเขา เริ่มหวีผมยาวสลวยให้เขา
ออกไปอยู่ด้านนอกนานถึงเพียงนี้ ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับทำให้หนิวโหย่วเต้าฝึกเกล้าผมให้ตัวเองจนชินไปแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธซางซูชิงที่ยังคงปฏิบัติเหมือนเดิม
อันที่จริงแยกจากกันไปนานถึงเพียงนี้ ซางซูชิงก็ค่อนข้างกระวนกระสายเช่นกัน ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต้ายังจะให้นางหวีผมให้อีกหรือไม่ แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นไปตามเดิม
“เต้าเหยี่ย ตะเกียงในห้องท่านสว่างอยู่ทั้งคืน ไม่ได้พักผ่อนทั้งคืนเลยหรือ?” ซางซูชิงถามเสียงเบา
“อื้อ มีเรื่องนิดหน่อยน่ะพ่ะย่ะค่ะ” หนิวโหย่วเต้าจ้องมองเงาคนในคันฉ่อง “มองจากสีหน้าท่านหญิงแล้ว คงจะพักผ่อนไม่เต็มที่เช่นกันใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
หากไม่ได้พักผ่อนมาสองคืนติดแล้วสีหน้ายังดูดีอยู่ก็แปลกแล้ว ซางซูชิงตอบว่า “ยังพอไหว!”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ท่านหญิงผอมลงไม่น้อยเลย แทบจะปลิวไปตามแรงลมแล้ว ช่วงที่กระหม่อมไม่อยู่หยวนฟางเกียจคร้านไม่ได้ดูแลอาหารการกินให้ท่านหญิงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เปล่าเลย เพราะเรื่องม้าศึกยืดเยื้อไม่มาถึงเสียที ข้ารู้สึกกังวลใจกับสถานการณ์ของสองจังหวัดจนส่งผลต่อความอยากอาหารเท่านั้น โชคดีที่เต้าเหยี่ยกลับมาทันเวลาพอดี”
หนิวโหย่วเต้าก็ยิ้มออกมาเช่นกัน เพียงเอ่ยหยอกล้อเพื่อคลายความกระอักกระอ่วนจากการห่างหายกันไปนานเท่านั้น หยวนฟางติดตามเขามานานขนาดนี้ ทำให้มีจุดหนึ่งที่เขาพอจะทราบดี นั่นคือปีศาจอย่างหยวนฟางไม่มีทางทำเช่นนั้น
หลังจากทั้งสองฝ่ายเงียบกันไปสักพัก ซางซูชิงก็ลองถามไปว่า “สตรีนางนั้นคือหงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉีผู้โด่งดังกระมัง? ด้านนอกร่ำลือว่าเต้าเหยี่ยจะแต่งกับนางอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าไหนเลยจะรับสตรีนางนี้ไหว ที่ปล่อยข่าวลือออกไปก็เพื่อรับมือกับสถานการณ์บางอย่างในขณะนั้นเท่านั้น หาใช่ความจริงไม่พ่ะย่ะค่ะ” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยชี้แจงทั้งที่หลับตาอยู่
ซางซูชิงยิ้มมุมปากนิดๆ มือไม้กระฉับกระเฉงขึ้นไม่น้อย แววตาที่อ่อนล้าก็ดูสดใสขึ้นมาเช่นกัน
หลังจากเกล้าผมเสร็จ หนิวโหย่วเต้าก็ลุกขึ้น หยิบเอาสิ่งที่เขียนอยู่ทั้งคืนจากบนโต๊ะหนังสือ มุ่งตรงออกไปนอกคฤหาสน์ มาที่หน้าหลุมศพใต้ต้นสนบนยอดเขาเล็กๆ
มือหนึ่งถือกระบี่ยันพื้น อีกมือชูปึกกระดาษที่ถือไว้ขึ้นมา เกิดเสียงดังพรึบ กระดาษติดไฟขึ้นมาเอง ไม่นานนักก็สลายเป็นเถ้าธุลีปลิดปลิวไปตามสายลม
ตอนอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉี เขาเคยบอกเฮยหมู่ตานไว้ว่าหลังจากกลับมาจะมอบของขวัญชิ้นหนึ่งให้นาง ซึ่งก็คือเคล็ดวิชา ‘เอกะวิถี’ ฉบับนี้ แต่น่าเสียดายที่คำสัญญานี้ไม่มีวันเป็นจริงได้อีก
………………………………………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า